xs
xsm
sm
md
lg

ASEAN SUMMIT ครั้งที่ 15 : ชาติไทยเป็นเจ้าภาพ!

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

เริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้สำหรับ “การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (Asean Summit) ครั้งที่ 15” แต่เป็นการเริ่มประชุมในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจ และระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ที่เรียกว่า “SEOM : Senior Economic Officer Meeting และ SOM : Senior Officer Meeting”

“การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (Asean Summit) ครั้งที่ 15”
จะเริ่มอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 23-25 ตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นการประชุมปิดฉากครั้งสุดท้ายสำหรับประเทศไทย ในฐานะ “เจ้าภาพ” แต่เรียกขานอย่างเป็นทางการว่า “ประธานอาเซียน” โดยจะมี “ผู้นำ (Leaders)” ของหมู่มวลสมาชิก 10 ประเทศ เข้าร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน

เพียงแต่วันที่ 21-22 ตุลาคม จะเป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่และข้าราชการระดับอาวุโส หรือแม้กระทั่งระดับรัฐมนตรี ก็มีการประชุมใน “เชิงทวิภาคี (Bileteral)” ตั้งแต่เย็นวันนี้ และต่อด้วยวันพรุ่งนี้ (22 ตุลาคม) เพื่อเป็นการเตรียมการนอกรอบ และความพร้อมสำหรับผู้นำแต่ละประเทศ ที่จะประชุมร่วมกันตั้งแต่ 23-25 ตุลาคม

“ความจริง” ของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนแต่ละครั้งนั้น ได้มีการเตรียมการจากบรรดาหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ “กระทรวงการต่างประเทศ” ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการเตรียมจัดการประชุม ตลอดจน “เนื้อหา : สารัตถะ” ต่างๆ ตลอดจน “กรอบเจรจาข้อตกลง” ด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อ “สุดยอดผู้นำ” จะได้เพียง “นำเสนอ-เจรจา” กันเท่านั้น ในที่ประชุมใหญ่

พูดง่ายๆ หมายความว่า “เวทีการประชุมสุดยอดผู้นำ” จะเป็นเพียงเวทีสำหรับ “การนำเสนอ-เจรจา-ตกลง” กันเท่านั้น ซึ่งเป็นเพียงในเชิง “Forum” หรือ “Plenary” โดยมีการตั้ง “Platform” กันมาก่อนล่วงหน้าแล้ว

คำว่า “Forum” หมายถึง “เวทีที่ประชุม” ส่วน “Plenary” นั้น ความหมายคล้ายคลึงกันกับ “เวทีการประชุม” ที่มีการประชุมและแถลงการณ์ร่วมกัน ส่วนคำว่า “Platform” นั้น น่าจะหมายถึง “ฐานในการกำหนดเวที” ว่าจะดำเนินการให้มี “กรอบ-ทิศทาง-ผลสรุป” อย่างไรเท่านั้น

ดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น “กระทรวงการต่างประเทศ” เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญมากที่สุด สำหรับ “การประชุมระดับนานาชาติ” เช่นนี้ทุกครั้งไป เรียกว่าเป็น “เจ้าภาพ” ตัวจริงเสียงจริง ในการ “กำหนดหัวข้อ-กรอบการเจรจา และแม้กระทั่ง กรอบข้อตกลง” เบื้องต้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม “การเจรจาในเชิงทวิภาคี” ก็เกิดขึ้นได้ช่วงระหว่าง “การประชุมสุดยอดผู้นำ” เนื้อหา “ข้อสรุป (Solutions” ที่ดีที่สุด

ที่สำคัญ นอกเหนือไปจากนั้น “การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน” แต่ละปีจะต้องมี ปฏิญญา (Declaration) ที่เป็น “กรอบข้อตกลง” ในการดำเนินการคืบหน้าสำหรับอนาคตต่อๆ ไป

การประชุมครั้งนี้ มีความสำคัญสำหรับประเทศไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากการเป็น “เจ้าภาพ” และ/หรือ “ประธานอาเซียน” ที่ดำเนินการมาด้วยดี มาโดยตลอดตั้งแต่ “รับไม้ต่อ” จากประเทศสิงคโปร์เมื่อปลายปี 2550 และประเทศไทยเราก็ได้ “เลขาธิการอาเซียน” ที่เป็นคนไทย คือ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ซึ่งเป็นผู้ที่ช่ำชองและความรู้ครบถ้วนด้านการต่างประเทศ พร้อมทั้งได้รับการยอมรับจากข้าราชการอาวุโส รัฐมนตรีต่างประเทศ และด้านการพาณิชย์จากสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ

เราได้รับไม้ต่อจากสิงคโปร์และเริ่มดำเนินการเป็นประธานอาเซียนตั้งแต่ต้นปี 2551 เรื่อยมา แต่เนื่องด้วยสภาวการณ์ด้านการเมืองของบ้านเราตลอดปี 2551 “สับสนวุ่นวาย” จนต้องมีการเลื่อนการประชุมมาตลอดทั้งปี จนเกิด “การจลาจล” ด้วย “การปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล-ปิดล้อมสนามบินฯ” จนไม่สามารถจัดให้มีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนได้

จนมาในสมัยของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีประเทศไทยเมื่อปลายปีที่แล้ว และก็สามารถจัดให้มีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนได้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา ที่อำเภอชะอำ และอำเภอหัวหิน อย่างสวยสดงดงาม!

นอกเหนือจาก “กระทรวงการต่างประเทศ” และ “สำนักงานเลขาธิการอาเซียน” ที่มีบทบาทสำคัญแล้ว “กระทรวงพาณิชย์” เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะทาง “ด้านเศรษฐกิจ” ด้วย “กรอบเจรจา-ข้อตกลง” ด้านการค้าพาณิชย์ ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

“การประชุมรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจอาเซียน (AEM : Asean Economic Meeting)” เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยกระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพนั้น คุณพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะ “เจ้าภาพ-ประธาน” ในที่ประชุม ได้ดำเนินการด้วยความสัมฤทธิผลอย่างดีเยี่ยม จนประสบความสำเร็จ ได้รับการยอมรับถึง “ความเป็นอินเตอร์” ของ รมว.พรทิวา ที่ช่วงต้นของการรับตำแหน่งนั้น ไม่ค่อยได้รับการตอบรับเลย แต่ “การประชุม AEM” ที่ผ่านมา ทำให้ระดับฐานะของคุณพรทิวา นาคาศัย ได้ถูกยกระดับอย่างมาก

จากสภาวการณ์ของโลกในยุคปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า “เศรษฐกิจ (Economic)” มีความสำคัญอย่างมาก ที่จะทำให้แต่ละประเทศ แต่ละกลุ่มสามารถที่จะมีเสถีรภาพได้หรือไม่ แม้แต่ “ผู้นำ” ของแต่ละประเทศต้องมี “สมรรถนะ” และ “ศักยภาพ” มากเพียงพอในการนำ “รัฐนาวา” ของประเทศตนเองให้เดินหน้าต่อไปได้กับ “สงครามเศรษฐกิจยุคใหม่” ที่เป็น “ยุคดิจิตอล” มิใช่ “อนาล็อก (Analog)” อย่างเดิมอีกต่อไป

ไม่ต้องดูอื่นไกล แม้แต่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศในกลุ่มชั้นแนวหน้าด้านเศรษฐกิจมาโดยตลอด ยังต้องมีสภาพที่เผชิญและประสบกับ “ความล้มเหลว” ในการกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจโลก จนในที่สุด “พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP)” ยังมีอันต้องพังพาบไปคามือ ทาโร่ อาโซะ อดีตนายกรัฐมนตรี คนสุดท้ายของพรรคแอลดีพี จากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว จากการที่พรรคยึดครองอำนาจมายาวนานถึง 52 ปี

ประเทศไทยในฐานะ “ประธานอาเซียน” ในการประชุมสุดยอดผู้นำฯ ครั้งที่ 15 ในคราวนี้ ที่เริ่มเปิดฉากเรียบร้อยแล้ว จะเป็น “โอกาสสุดท้าย” ที่สามารถจัดการให้การประชุมฯ สำเร็จลุล่วงไปได้

ความห่วงใยของทุกฝ่าย แม้กระทั่งประชาชนคนไทยทั่วไป ต่างวิตกกันว่า “จะล้ม!” เหมือนที่จัดให้มีการประชุมฯ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาที่พัทยา จากการที่ “กลุ่มเสื้อแดง-กลุ่ม นปช.” ได้ทำการบุกสถานที่การประชุม โรงแรมรอยัลคลีฟบีชรีสอร์ท จน “การประชุมล่ม” และบรรดาผู้นำสมาชิกทั้ง 9 ประเทศ ต่างหนีตายกันโกลาหลอลหม่าน ด้วยการเดินทางด้วยความทุลักทุเล ทั้งทางเรือและทางอากาศ

“ความเสียหาย” ที่เกิดจากการประชุมล่มในครั้งนั้น สร้าง “ความอับอายขายขี้หน้า” ตลอด “ความเสียขวัญ-ไม่เชื่อมั่น-ไม่ศรัทธา” ต่อประเทศ มิใช่เฉพาะบรรดาผู้นำทั้ง 9 ประเทศเท่านั้น “กลุ่มประเทศคู่เจรจา : จีน-เกาหลี-อินเดีย-ญี่ปุ่น-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์” และไม่สำคัญเท่ากับ “เวทีโลก” ที่ข่าวดังกระหึ่มไปทั่วโลก

การประชุมครั้งนี้เช่นเดียวกัน นอกจากบรรดา “กลุ่มสมาชิกประเทศอาเซียน 9 ประเทศ” แล้ว เรายังมี “กลุ่มประเทศเจรจา 6 ประเทศ” ระดับผู้นำบินมาร่วมประชุมด้วยเช่นเดียวกัน

การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ สำหรับบริเวณพื้นที่การประชุมทั้ง 2 อำเภอ กล่าวคือ อำเภอชะอำ และอำเภอหัวหิน ตั้งแต่วันที่ 12-27 ตุลาคมนี้ ซึ่งนับว่า ถูกต้องที่ประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้ เพื่อมิให้เกิดสภาวการณ์เช่นเดิม!

อย่างไรก็ตาม การประกาศของกลุ่มเสื้อแดงที่จะนำ “เอกสาร” ไป “ฟ้อง” ต่อหมู่มวลสมาชิกระดับโลกกับการประชุมในครั้งนี้เพื่อ “ประจาน” และ “สร้างความเสียหน้า” ให้กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งต้องรับภาระหนักในการรักษาความมั่นคงและปลอดภัยให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

แต่ “ความเสียหาย” ถ้าจะเกิดขึ้นจริงๆ มิใช่รัฐบาล แต่เป็น “ชาติไทย” และ “คนไทย”

ได้โปรด “รักชาติ” กันบ้างเถิด!
กำลังโหลดความคิดเห็น