ASTV ผู้จัดการรายวัน -ยกระดับ BIG&BIH ขึ้นแท่นงานแฟร์สินค้ากิฟท์และพรีเมียมประจำอาเซียน กอดคอมาเลเซีย สิงคโปร์ เพิ่มศักยภาพขยายตลาดจูงใจผู้ซื้อต่างชาติ ยันย้ายสถานที่ไปไบเทคบางนา 100% เผยแนวโน้มส่งออกติดลบลด ตั้งเป้าสิ้นปี มูลค่ารวม 62,000 ล้านบาท
นายจิรบูลย์ วิทยสิงห์ นายกสมาคมของขวัญ ของชำร่วยไทยและของตกแต่งบ้าน เปิดเผยว่า การจัดงานแสดงสินค้าของขวัญ และงานแสดงสินค้าของใช้ในบ้าน หรือ BIG&BIH ครั้งต่อไปที่จัดราวเดือนเมษายนปีหน้า (2553) จะยกระดับเป็นงานแสดงสินค้าของขวัญ ประจำปีของอาเซียน ซึ่งเป็นผลมาจากบันทึกข้อตกลงขับเคลื่อนสินค้ากิฟท์และพรีเมียมในภูมิภาค ระหว่างสมาคมของขวัญประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย ซึ่งทั้งสามชาติเป็นผู้นำตลาดสินค้านี้ในภูมิภาคอาเซียน
ทั้งนี้ หนึ่งในข้อตกลง กำหนดว่า นับแต่นี้ การจัดงานแฟร์ประจำปีของทั้งสามชาติไม่ว่าจะเป็นของไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ อีกสองชาติจะต้องส่งสมาชิกไปเข้าร่วมงานด้วย เพื่อเพิ่มศักยภาพของงานให้เป็นตลาดที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งจะช่วยดึงดูดความสนใจจากผู้ซื้อนานาชาติได้เพิ่มขึ้น และในฐานะที่งาน BIG&BIH ถือว่าเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ดังนั้น จึงรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพดำเนินการนำร่อง โดยประกาศให้งาน BIG&BIH 2010 เป็นงานแฟร์สินค้ากิฟท์และพรีเมียมประจำภูมิภาคอาเซียน
นอกจากนั้น บันทึกความร่วมมือดังกล่าวยังครอบคลุมไปถึงการเชื่อมเครือข่ายการผลิตซึ่งกันและกันด้วย และยังเป็นการแสดงพลัง เพื่อให้ภาครัฐของแต่ละประเทศ หันมาตื่นตัวและให้การสนับสนุนสินค้ากลุ่มนี้มากยิ่งขึ้นด้วย อีกทั้ง ในอนาคตจะพยายามดึงประเทศในอาเซียนอีก 7 ชาติให้เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกด้วย
นายจิรบูลย์ ระบุด้วยว่า งาน BIG&BIH ครั้งต่อไป จะย้ายสถานที่จัดจากเมืองทองธานี ไปที่ไบเทคบางนา เนื่องจากมีความพร้อมและเหมาะสมกว่าในหลายๆ ด้าน เช่น ทำเลที่ตั้งใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งสะดวกในการเดินทางของผู้ซื้อต่างชาติ รวมถึง มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่สมบูรณ์มากกว่าด้วย
สำหรับสถานการณ์ส่งออกของกลุ่มสินค้ากิฟท์และพรีเมียมของไทยนั้น นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ปรับตัวดีขึ้น เหลือติดลบประมาณ 12% จากช่วงต้นปีเคยติดลบสูงสุดถึงกว่า 40% เนื่องจากสินค้าของไทย วางตำแหน่งตลาดเป็นสินค้าตลาดบน ทำให้การฟื้นตัวเร็วกว่าสินค้าตลาดล่าง นอกจากนั้น ยังได้อานิสงส์จากสินค้าจีนมีปัญหาด้านคุณภาพความปลอดภัย ทำให้ผู้ซื้อหันมาซื้อสินค้าจากไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากแนวโน้มดังกล่าว ตั้งเป้าว่า ถึงสิ้นปีนี้ ตัวเลขการส่งออกสินค้ากิฟท์ไทย จะติดลบเหลือ 0% หรือยอดขายเท่ากับปีที่แล้ว โดยมีมูลค่ารวมกว่า 62,000 ล้านบาท
นายจิรบูลย์ วิทยสิงห์ นายกสมาคมของขวัญ ของชำร่วยไทยและของตกแต่งบ้าน เปิดเผยว่า การจัดงานแสดงสินค้าของขวัญ และงานแสดงสินค้าของใช้ในบ้าน หรือ BIG&BIH ครั้งต่อไปที่จัดราวเดือนเมษายนปีหน้า (2553) จะยกระดับเป็นงานแสดงสินค้าของขวัญ ประจำปีของอาเซียน ซึ่งเป็นผลมาจากบันทึกข้อตกลงขับเคลื่อนสินค้ากิฟท์และพรีเมียมในภูมิภาค ระหว่างสมาคมของขวัญประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย ซึ่งทั้งสามชาติเป็นผู้นำตลาดสินค้านี้ในภูมิภาคอาเซียน
ทั้งนี้ หนึ่งในข้อตกลง กำหนดว่า นับแต่นี้ การจัดงานแฟร์ประจำปีของทั้งสามชาติไม่ว่าจะเป็นของไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ อีกสองชาติจะต้องส่งสมาชิกไปเข้าร่วมงานด้วย เพื่อเพิ่มศักยภาพของงานให้เป็นตลาดที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งจะช่วยดึงดูดความสนใจจากผู้ซื้อนานาชาติได้เพิ่มขึ้น และในฐานะที่งาน BIG&BIH ถือว่าเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ดังนั้น จึงรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพดำเนินการนำร่อง โดยประกาศให้งาน BIG&BIH 2010 เป็นงานแฟร์สินค้ากิฟท์และพรีเมียมประจำภูมิภาคอาเซียน
นอกจากนั้น บันทึกความร่วมมือดังกล่าวยังครอบคลุมไปถึงการเชื่อมเครือข่ายการผลิตซึ่งกันและกันด้วย และยังเป็นการแสดงพลัง เพื่อให้ภาครัฐของแต่ละประเทศ หันมาตื่นตัวและให้การสนับสนุนสินค้ากลุ่มนี้มากยิ่งขึ้นด้วย อีกทั้ง ในอนาคตจะพยายามดึงประเทศในอาเซียนอีก 7 ชาติให้เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกด้วย
นายจิรบูลย์ ระบุด้วยว่า งาน BIG&BIH ครั้งต่อไป จะย้ายสถานที่จัดจากเมืองทองธานี ไปที่ไบเทคบางนา เนื่องจากมีความพร้อมและเหมาะสมกว่าในหลายๆ ด้าน เช่น ทำเลที่ตั้งใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งสะดวกในการเดินทางของผู้ซื้อต่างชาติ รวมถึง มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่สมบูรณ์มากกว่าด้วย
สำหรับสถานการณ์ส่งออกของกลุ่มสินค้ากิฟท์และพรีเมียมของไทยนั้น นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ปรับตัวดีขึ้น เหลือติดลบประมาณ 12% จากช่วงต้นปีเคยติดลบสูงสุดถึงกว่า 40% เนื่องจากสินค้าของไทย วางตำแหน่งตลาดเป็นสินค้าตลาดบน ทำให้การฟื้นตัวเร็วกว่าสินค้าตลาดล่าง นอกจากนั้น ยังได้อานิสงส์จากสินค้าจีนมีปัญหาด้านคุณภาพความปลอดภัย ทำให้ผู้ซื้อหันมาซื้อสินค้าจากไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากแนวโน้มดังกล่าว ตั้งเป้าว่า ถึงสิ้นปีนี้ ตัวเลขการส่งออกสินค้ากิฟท์ไทย จะติดลบเหลือ 0% หรือยอดขายเท่ากับปีที่แล้ว โดยมีมูลค่ารวมกว่า 62,000 ล้านบาท
