ช่วงนี้ดูท่าพรรคประชาธิปัตย์จะเจอ‘งานเข้า’ อยู่ตลอดเวลา
แต่ “งาน” ที่ว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องไม่ค่อยจะสุขสมอารมณ์หมายเท่าที่ควร
ด้วยที่ แต่ละอัน แต่ละเรื่องล้วนจุกจิก หยุมหยิม คอยกวนใจไม่ให้คนในพรรคได้มีเวลานั่งเสพสุขกับการเป็นรัฐบาลได้อย่างสบายอกสบายใจเหมือนที่เคยคาดหวังไว้
กว่า 9 เดือนแล้วที่พรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล เปรียบเป็นคนก็ถือว่า ครบกำหนดคลอดออกมาเป็นมนุษย์ลืมตาดูโลกแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าช่วง 9 เดือนของรัฐบาลชุดนี้ จะย่ำอยู่บนกองปฏิกูลเน่าเหม็น ของการถูกกล่าวหาเรื่องการทุจริต คอร์รัปชั่น แอบแทะ แอบกินผลประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดินผ่านหลายๆโครงการอยู่อย่างต่อเนื่อง
แม้พรรคประชาธิปัตย์ จะโชคดีมีตัวแทนที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในเรื่องของความใจซื่อ มือสะอาด อย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค มาเป็นตัวกันชนการถูกครหาก็ตาม
แต่กรรมใดใครก่อ ย่อมได้ผลแก่คนผู้นั้น ต่อให้มีร้อยพัน “อภิสิทธิ์” ก็ไม่สามารถช่วยปัดอาจม ที่เกลือกกลั้วให้ขาวสะอาดของใครต่อใครได้
จากอดีตที่ผ่านมา กับข้อครหาอันอื้อฉาว จากปลากระป๋องเน่า ในโครงการแจกถุงยังชีพให้กับประชาชน ของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สมัยของนายวิทูรย์ นามบุตร เป็นรัฐมนตรีว่าการ ที่แม้จะมีการเปลี่ยนมือมาป็น นายอิสระ สมชัย มานั่งเก้าอี้แทนแล้วก็ตาม แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังเป็นที่คลุมเครือต่อความรู้สึกของประชาชนอย่างไม่จางหาย
แถมการดำเนินการของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาให้อย่างแก้เกี้ยว ก็เงียบหายเป็นเป่าสาก...?
ตอกย้ำเข้าไปอีกกับพฤติกรรมหากินกับทุจริตโครงการนมเด็ก ในกระทรวงศึกษาธิการ งานนี้เล่นแรงถึงขนาดคนตรงอย่าง สุธรรม นทีทอง อดีตเลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ ยังทนแรงเสียดทานไม่ไหว
ต้องเผ่นหนีไปนั่งวิปัสสนาล้างซวย ที่วัดป่าสวนโมกข์ นานร่วมเดือน
แม้หน่วยงานระดับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ จะลงมือไปทำด้วยเอง ด้วยการบุกไปตรวจสอบถึงพื้นที่เกิดเหตุ แต่ก็พากันอึ้งกิมกี่ เพราะไปเจอตออันเบ้อเริ่มเทิ่ม ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายเลยแก้เกี้ยวด้วยการหันไปจับปลาซิว ปลาสร้อย มาเป็นแพะ หวังหลบหลีกข้อกังขาจากสังคม
ยังไม่รวมถึงกลิ่นตุๆ อีกหลายกรณี อย่าง โครงการชุมชนพอเพียง แม้จะอาศัยใช้ชื่อโครงการในพระราชดำริแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่วายจะถูกฝูงเหลือบ ฝูงแร้งรุมทึ้งเม็ดเงินแผ่นดินกันอย่างมันปาก
สุดท้าย ก็จบลงอีหรอบเดิม ด้วยการตัดตอนจับแพะมาเซ่นสังเวยโครงการฉาว ตามระบอบการเมืองน้ำเน่าแบบเดิมๆ
บังเอิญสมัยนี้ เวรกรรมมันรวดเร็วยิ่งกว่าติดจรวด ใครทำกรรมไว้ย่อมหนีไม่พ้น ระดับบิ๊กอย่าง กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ จึงต้องมีอาการเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีร้อน สุดท้ายยินยอมหลีกทางให้ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี มือหนึ่งในทีมเศรษฐกิจในพรรคประชาธิปัตย์ มานั่งแทน
มหกรรมสุดฉาวยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น ผ่านไปรวดเร็วชนิดที่ตดยังไม่ทันหายเหม็น รัฐมนตรีที่ ปากกล้าบ้าบิ่นจากเมืองตรัง อย่าง “น้องเดียว” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ก็ถูกเปิดโปง ความไม่ชอบมาพากล ในการใช้งบประชาสัมพันธ์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
แต่งานนี้ผิดคาด “น้องเดียว” กลับปิดปากเงียบไม่ออกมาชี้แจง หรือปฏิเสธข้อกล่าวหาซักแอะ เล่นมุกง่ายๆปล่อยให้เรื่องมันเงียบไป เดี๋ยวสังคมก็ลืมไปเอง...แต่คงลืมไปว่า สมัยนี้ระบบการตรวจสอบของสื่อมวลชน และประชาชน ล้วนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าในอดีต
ที่ออกมาสดร้อนๆ “โครงการไทยเข้มแข็ง” โครงการที่เด็กหนุ่มของสองคน “มาร์ค” และ”กรณ์” ภาคภูมิใจหนักหนากับผลงานโบว์แดง ถึงขนาดเชื่อมั่นว่า เมื่อผลผลิตจากการหว่านโปรยเม็ดเงินลงไป ได้เวลาการเก็บเกี่ยว จะส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า
แต่ก็ไม่วาย”เจอดี” เมื่อกลุ่มแพทย์ชนบท ออกมาเปิดโปงถึงขบวนการการทุจริตในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข เล่นเอา “หมอน้อย” วิทยา แก้วภารดัย ออกอาการหนาวๆ ร้อนๆ ยิ่งกว่าโรคไข้หวัด 2009
แรงไม่แรงถึงขนาด ขาใหญ่ อย่าง ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู หรือ “แม่เลี้ยงติ๊ก” กับพรรคพวกทีมที่ปรึกษา ต้องลาออกจากตำแหน่งยกแก๊ง อ้างว่าต้องการแสดงความรับผิดชอบ
มีเสียงหยิกแกมหยอกเล็ดลอกมาจาก คนในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเองว่า
“อยากจะโกงแต่ไม่ใช่มืออาชีพ ก็เลยโฉ่งฉ่างไปหน่อย ไม่เหมือนรัฐบาลทักษิณ ที่กินเนียน เงียบสนิท สงสัยต้องไปฝึกมาอีกเยอะ”
หลายพฤติกรรมที่หยิบยกมาเอ่ยอ้าง ล้วนแต่บั่นทอนความเชื่อมั่น และความศรัทธาของประชาชน ที่เคยมีให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะที่เคยเป็นมือปราบปรามทุจริต คอร์รัปชั่น จนปลุกกระแสให้มีการโค่นระบอบทักษิณได้สำเร็จ ให้ต้องลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเริ่มแรกเป็นรัฐบาลใหม่ๆ แกนนำพรรค อย่าง บัญญัติ บรรทัดฐาน เคยทำนายไว้ว่า รัฐบาลจะอายุสั้นด้วยเหตุผลเดียว คือปัญหาการทุจริต คอร์รัปชั่น แต่ในเวลานั้น “บัญญัติ” เพ็งเล็งไปที่พรรคร่วมรัฐบาลเสียมากกว่า
ดูท่า กระแสเรื่องการทุจริต คอร์รัปชั่น จะโหมแรงจนหยุดไม่อยู่ ผู้ใหญ่ในพรรคเริ่มอ่านเกมออกว่าเห็นท่าจะไม่ดี เลยต้องสะกิดเตือนผ่านที่ประชุมส.ส.ว่า “ช่วยให้เพลาๆ กันหน่อย หากยังอยากจะเป็นรัฐบาลยาวนานกว่านี้”
สั้นๆง่ายๆ แต่ก็มีน้ำหนักพอที่จะประเมินสถานการณ์ได้ว่า งานนี้หนักเอาการทีเดียว
อย่าลืมว่า แม้“อภิสิทธิ์” จะมีบุญเก่าเรื่องความซื่อสัตย์เป็นต้นทุนทางสังคมอยู่ก็ตาม แต่สักวัน ก็อาจจะหมดลงได้ ถ้ายังปล่อยให้ลิ่วล้อทำตัวเป็นอีแร้งรุมทึ้งเงินแผ่นดินต่อไป
ต่อให้ “หนุ่มมาร์ค” เดินสายไปทั่วอีสาน เพื่อขอคะแนนความเมตตาสงสารจากชาวบ้านจนขาขวิด ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ! เพราะแว่วๆมาว่า ยังจะทยอยเปิดโปงออกมาอีกหลายเรื่อง…คงต้องเตรียมรับมือกันให้ดี
การพยายามควบคุมให้รัฐนาวาชุดนี้เดินไปอย่างโปร่งใส ไร้ปัญหาคอร์รัปชั่น ดูจะเป็นภาระที่หนักอึ้งของ"นายกฯอภิสิทธิ์" ที่หนักมากกว่าการบริหารบ้านเมืองในยามวิกฤติเสียอีก..!
แต่ “งาน” ที่ว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องไม่ค่อยจะสุขสมอารมณ์หมายเท่าที่ควร
ด้วยที่ แต่ละอัน แต่ละเรื่องล้วนจุกจิก หยุมหยิม คอยกวนใจไม่ให้คนในพรรคได้มีเวลานั่งเสพสุขกับการเป็นรัฐบาลได้อย่างสบายอกสบายใจเหมือนที่เคยคาดหวังไว้
กว่า 9 เดือนแล้วที่พรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล เปรียบเป็นคนก็ถือว่า ครบกำหนดคลอดออกมาเป็นมนุษย์ลืมตาดูโลกแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าช่วง 9 เดือนของรัฐบาลชุดนี้ จะย่ำอยู่บนกองปฏิกูลเน่าเหม็น ของการถูกกล่าวหาเรื่องการทุจริต คอร์รัปชั่น แอบแทะ แอบกินผลประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดินผ่านหลายๆโครงการอยู่อย่างต่อเนื่อง
แม้พรรคประชาธิปัตย์ จะโชคดีมีตัวแทนที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในเรื่องของความใจซื่อ มือสะอาด อย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค มาเป็นตัวกันชนการถูกครหาก็ตาม
แต่กรรมใดใครก่อ ย่อมได้ผลแก่คนผู้นั้น ต่อให้มีร้อยพัน “อภิสิทธิ์” ก็ไม่สามารถช่วยปัดอาจม ที่เกลือกกลั้วให้ขาวสะอาดของใครต่อใครได้
จากอดีตที่ผ่านมา กับข้อครหาอันอื้อฉาว จากปลากระป๋องเน่า ในโครงการแจกถุงยังชีพให้กับประชาชน ของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สมัยของนายวิทูรย์ นามบุตร เป็นรัฐมนตรีว่าการ ที่แม้จะมีการเปลี่ยนมือมาป็น นายอิสระ สมชัย มานั่งเก้าอี้แทนแล้วก็ตาม แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังเป็นที่คลุมเครือต่อความรู้สึกของประชาชนอย่างไม่จางหาย
แถมการดำเนินการของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาให้อย่างแก้เกี้ยว ก็เงียบหายเป็นเป่าสาก...?
ตอกย้ำเข้าไปอีกกับพฤติกรรมหากินกับทุจริตโครงการนมเด็ก ในกระทรวงศึกษาธิการ งานนี้เล่นแรงถึงขนาดคนตรงอย่าง สุธรรม นทีทอง อดีตเลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ ยังทนแรงเสียดทานไม่ไหว
ต้องเผ่นหนีไปนั่งวิปัสสนาล้างซวย ที่วัดป่าสวนโมกข์ นานร่วมเดือน
แม้หน่วยงานระดับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ จะลงมือไปทำด้วยเอง ด้วยการบุกไปตรวจสอบถึงพื้นที่เกิดเหตุ แต่ก็พากันอึ้งกิมกี่ เพราะไปเจอตออันเบ้อเริ่มเทิ่ม ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายเลยแก้เกี้ยวด้วยการหันไปจับปลาซิว ปลาสร้อย มาเป็นแพะ หวังหลบหลีกข้อกังขาจากสังคม
ยังไม่รวมถึงกลิ่นตุๆ อีกหลายกรณี อย่าง โครงการชุมชนพอเพียง แม้จะอาศัยใช้ชื่อโครงการในพระราชดำริแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่วายจะถูกฝูงเหลือบ ฝูงแร้งรุมทึ้งเม็ดเงินแผ่นดินกันอย่างมันปาก
สุดท้าย ก็จบลงอีหรอบเดิม ด้วยการตัดตอนจับแพะมาเซ่นสังเวยโครงการฉาว ตามระบอบการเมืองน้ำเน่าแบบเดิมๆ
บังเอิญสมัยนี้ เวรกรรมมันรวดเร็วยิ่งกว่าติดจรวด ใครทำกรรมไว้ย่อมหนีไม่พ้น ระดับบิ๊กอย่าง กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ จึงต้องมีอาการเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีร้อน สุดท้ายยินยอมหลีกทางให้ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี มือหนึ่งในทีมเศรษฐกิจในพรรคประชาธิปัตย์ มานั่งแทน
มหกรรมสุดฉาวยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น ผ่านไปรวดเร็วชนิดที่ตดยังไม่ทันหายเหม็น รัฐมนตรีที่ ปากกล้าบ้าบิ่นจากเมืองตรัง อย่าง “น้องเดียว” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ก็ถูกเปิดโปง ความไม่ชอบมาพากล ในการใช้งบประชาสัมพันธ์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
แต่งานนี้ผิดคาด “น้องเดียว” กลับปิดปากเงียบไม่ออกมาชี้แจง หรือปฏิเสธข้อกล่าวหาซักแอะ เล่นมุกง่ายๆปล่อยให้เรื่องมันเงียบไป เดี๋ยวสังคมก็ลืมไปเอง...แต่คงลืมไปว่า สมัยนี้ระบบการตรวจสอบของสื่อมวลชน และประชาชน ล้วนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าในอดีต
ที่ออกมาสดร้อนๆ “โครงการไทยเข้มแข็ง” โครงการที่เด็กหนุ่มของสองคน “มาร์ค” และ”กรณ์” ภาคภูมิใจหนักหนากับผลงานโบว์แดง ถึงขนาดเชื่อมั่นว่า เมื่อผลผลิตจากการหว่านโปรยเม็ดเงินลงไป ได้เวลาการเก็บเกี่ยว จะส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า
แต่ก็ไม่วาย”เจอดี” เมื่อกลุ่มแพทย์ชนบท ออกมาเปิดโปงถึงขบวนการการทุจริตในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข เล่นเอา “หมอน้อย” วิทยา แก้วภารดัย ออกอาการหนาวๆ ร้อนๆ ยิ่งกว่าโรคไข้หวัด 2009
แรงไม่แรงถึงขนาด ขาใหญ่ อย่าง ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู หรือ “แม่เลี้ยงติ๊ก” กับพรรคพวกทีมที่ปรึกษา ต้องลาออกจากตำแหน่งยกแก๊ง อ้างว่าต้องการแสดงความรับผิดชอบ
มีเสียงหยิกแกมหยอกเล็ดลอกมาจาก คนในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเองว่า
“อยากจะโกงแต่ไม่ใช่มืออาชีพ ก็เลยโฉ่งฉ่างไปหน่อย ไม่เหมือนรัฐบาลทักษิณ ที่กินเนียน เงียบสนิท สงสัยต้องไปฝึกมาอีกเยอะ”
หลายพฤติกรรมที่หยิบยกมาเอ่ยอ้าง ล้วนแต่บั่นทอนความเชื่อมั่น และความศรัทธาของประชาชน ที่เคยมีให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะที่เคยเป็นมือปราบปรามทุจริต คอร์รัปชั่น จนปลุกกระแสให้มีการโค่นระบอบทักษิณได้สำเร็จ ให้ต้องลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเริ่มแรกเป็นรัฐบาลใหม่ๆ แกนนำพรรค อย่าง บัญญัติ บรรทัดฐาน เคยทำนายไว้ว่า รัฐบาลจะอายุสั้นด้วยเหตุผลเดียว คือปัญหาการทุจริต คอร์รัปชั่น แต่ในเวลานั้น “บัญญัติ” เพ็งเล็งไปที่พรรคร่วมรัฐบาลเสียมากกว่า
ดูท่า กระแสเรื่องการทุจริต คอร์รัปชั่น จะโหมแรงจนหยุดไม่อยู่ ผู้ใหญ่ในพรรคเริ่มอ่านเกมออกว่าเห็นท่าจะไม่ดี เลยต้องสะกิดเตือนผ่านที่ประชุมส.ส.ว่า “ช่วยให้เพลาๆ กันหน่อย หากยังอยากจะเป็นรัฐบาลยาวนานกว่านี้”
สั้นๆง่ายๆ แต่ก็มีน้ำหนักพอที่จะประเมินสถานการณ์ได้ว่า งานนี้หนักเอาการทีเดียว
อย่าลืมว่า แม้“อภิสิทธิ์” จะมีบุญเก่าเรื่องความซื่อสัตย์เป็นต้นทุนทางสังคมอยู่ก็ตาม แต่สักวัน ก็อาจจะหมดลงได้ ถ้ายังปล่อยให้ลิ่วล้อทำตัวเป็นอีแร้งรุมทึ้งเงินแผ่นดินต่อไป
ต่อให้ “หนุ่มมาร์ค” เดินสายไปทั่วอีสาน เพื่อขอคะแนนความเมตตาสงสารจากชาวบ้านจนขาขวิด ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ! เพราะแว่วๆมาว่า ยังจะทยอยเปิดโปงออกมาอีกหลายเรื่อง…คงต้องเตรียมรับมือกันให้ดี
การพยายามควบคุมให้รัฐนาวาชุดนี้เดินไปอย่างโปร่งใส ไร้ปัญหาคอร์รัปชั่น ดูจะเป็นภาระที่หนักอึ้งของ"นายกฯอภิสิทธิ์" ที่หนักมากกว่าการบริหารบ้านเมืองในยามวิกฤติเสียอีก..!