ผมเคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ระบอบประชาธิปไตยไม่ได้ทำให้รัฐเปลี่ยนแปลงเป็นรัฐประชาธิปไตยไปได้ ทั้งนี้เพราะรัฐมีวิวัฒนาการมายาวนาน ตลอดระยะเวลาหลายร้อยปี รัฐได้สร้างกฎหมาย ระบบราชการ รวมทั้งคุณค่าที่กำหนดพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ ส่วนระบอบประชาธิปไตยนั้นเกิดทีหลัง และยังไม่มีพลังพอที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะเดิมของรัฐที่เป็นอำนาจนิยม
พลังที่จะเปลี่ยนลักษณะอำนาจนิยมรวมศูนย์ของรัฐได้ก็คือ พลังประชาชน การมีส่วนร่วมของประชาชนย่อมทำให้เกิดความสัมพันธ์ชุดใหม่ขึ้น เป็นความสัมพันธ์สองทาง
การมีระบอบประชาธิปไตยไม่ได้หมายความว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนจะเพิ่มมากขึ้นโดยอัตโนมัติ การมีส่วนร่วมของประชาชนอาจจำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะการให้สิทธิการเลือกตั้งเป็นครั้งคราวเท่านั้น
การมีส่วนร่วมของประชาชนจะมีขอบเขตกว้างขวางมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการคือ
1. การมีข้อมูลข่าวสารของประชาชน
2. การตื่นตัวอยากมีส่วนร่วมของประชาชน
3. ประเด็นทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ที่ทำให้ประชาชนมีความตื่นตัว
4. กิจกรรมที่มีมากและถี่พอที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม
หากพิจารณาปัจจัยทั้งสี่ด้านแล้ว จะเห็นได้ว่าปัจจุบันประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารมากขึ้น ทำให้มีความรู้ ความเข้าใจในประเด็นปัญหาต่างๆ และนำไปสู่การตื่นตัวของประชาชน
แต่สิ่งที่ยังขาดไปก็คือ จำนวนกิจกรรมที่ประชาชนสามารถเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองได้นั้น มีอยู่น้อยมาก นอกจากการเลือกตั้งแล้ว ก็มีเรื่องสิ่งแวดล้อม และการกำหนดผังเมืองที่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีการทำประชาพิจารณ์ นอกจากนั้น ก็มีการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น
การที่ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมน้อยเป็นเพราะรัฐ โดยเฉพาะส่วนกลางได้เข้าไปดำเนินการต่างๆ จนประชาชนไม่มีโอกาสทำกิจกรรมหลายอย่างเองนอกจากกรม 100 กว่ากรมแล้ว ก็ยังมีรัฐวิสาหกิจ 60 กว่าแห่ง และองค์การมหาชนอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนั้น ส่วนกลางยังมีตัวแทนของกรมในภูมิภาคคือ ในจังหวัดทุกจังหวัดอีกด้วย
ดังนั้นประเทศไทยจึงประกอบไปด้วย กรม มากกว่าจังหวัด จังหวัดมีพื้นที่และกิจกรรมที่ตัวแทนของส่วนกลางเข้าไปทำกิจกรรมต่างๆ จนเต็ม ประชาชนในจังหวัดเองมีส่วนร่วมในการพัฒนาจังหวัดน้อยมาก
รัฐไทยเป็นรัฐเดี่ยว จังหวัดไม่ใช่ส่วนราชการตามพระราชบัญญัติงบประมาณ จึงไม่สามารถตั้งงบประมาณจังหวัดได้ เวลานี้ไม่มีข้อมูลว่าจังหวัดใดมีรายจ่ายด้านใดต่อหัวประชากรอย่างไร การพัฒนาจังหวัดก็คือ การรวมโครงการต่างๆ ที่กรมในส่วนกลางเป็นฝ่ายกำหนด ประชาคมในจังหวัดไม่มีส่วนร่วมในการตั้งเป้า
เวลานี้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการได้จัดทำตัวชี้วัดผลงานของกรมต่างๆ ขึ้น ทำให้กรมต่างๆ ต้องมีการตั้งเป้า และมีการวัดผลงานอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น แต่จังหวัดต่างๆ ไม่มีการตั้งเป้า และไม่มีตัวชี้วัด เราไม่มีข้อมูลเชิงเปรียบเทียบระดับการพัฒนาของแต่ละจังหวัด เราไม่มีความรู้ว่าจังหวัดใดล้าหลังกว่าจังหวัดอื่นในแง่การศึกษา การสาธารณสุข และสิ่งแวดล้อมอย่างไร
ในสหรัฐอเมริกา มลรัฐมีบทบาทหลักในการพัฒนาส่วนกลางมีบทบาทจำกัดมาก รัฐบางรัฐมีการจัดทำการเทียบเคียงมาตรฐานชีวิต (Benchmark) มลรัฐตั้งเป้าว่า แต่เดิมสภาพการดำรงชีพแต่ละด้านเป็นอย่างไร และมีเป้าหมายในการลดหรือเพิ่มระดับการดำรงชีวิตอย่างไร
หากจังหวัดของเรามีการตั้งเป้า ประชาคมในจังหวัดก็จะมาประชุมปรึกษาหารือกันถึงปัญหาที่เผชิญอยู่ และหาทางแก้ไข โดยการตั้งเป้าและมีตัวชี้วัด โดยมีงบประมาณเพื่อการนั้น
ปัจจุบันจะเห็นว่าจังหวัดของเรามีเฉพาะคำขวัญประจำจังหวัด เช่น มีสถานที่สำคัญ มีธรรมชาติสวยงาม แต่ไม่มีจังหวัดใดที่ตั้งเป้าว่าจะเป็นจังหวัดที่มีการให้บริการทางการศึกษาที่ดีที่สุดของประเทศ หรือมีอากาศบริสุทธิ์ มีสิ่งแวดล้อมที่ดี
ด้วยเหตุที่จังหวัดไม่มีกิจกรรม ไม่มีงบประมาณที่เกิดขึ้นจากความคิดริเริ่มของคนในจังหวัดนั้นเอง คนในจังหวัดจึงไม่มีส่วนร่วม เป็นเพียงผู้รับบริการจากโครงการต่างๆ ที่กำหนดมาจากส่วนกลาง ในชีวิตประจำวันของประชาชน การเมืองจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขามากนัก นอกจากนั้น รัฐบาลบางสมัยยังไปสร้างการพึ่งพารัฐให้แก่ประชาชน ด้วยการนำกองทุนต่างๆ ไปให้หมู่บ้าน และให้คนกู้ยืมอีกด้วย
การพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของเราเป็นไปได้ยาก ก็เพราะรัฐเข้าไปมีบทบาทมากจนประชาชนไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสินใจด้วยตนเอง รัฐประชาธิปไตยจะต้องลดบทบาทลง และเพิ่มบทบาทให้แก่ประชาชนมากขึ้น แทนที่จะให้ประชาชนมีบทบาทเพียงการไปออกเสียงลงคะแนนสี่ปีครั้งเท่านั้น
พลังที่จะเปลี่ยนลักษณะอำนาจนิยมรวมศูนย์ของรัฐได้ก็คือ พลังประชาชน การมีส่วนร่วมของประชาชนย่อมทำให้เกิดความสัมพันธ์ชุดใหม่ขึ้น เป็นความสัมพันธ์สองทาง
การมีระบอบประชาธิปไตยไม่ได้หมายความว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนจะเพิ่มมากขึ้นโดยอัตโนมัติ การมีส่วนร่วมของประชาชนอาจจำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะการให้สิทธิการเลือกตั้งเป็นครั้งคราวเท่านั้น
การมีส่วนร่วมของประชาชนจะมีขอบเขตกว้างขวางมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการคือ
1. การมีข้อมูลข่าวสารของประชาชน
2. การตื่นตัวอยากมีส่วนร่วมของประชาชน
3. ประเด็นทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ที่ทำให้ประชาชนมีความตื่นตัว
4. กิจกรรมที่มีมากและถี่พอที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม
หากพิจารณาปัจจัยทั้งสี่ด้านแล้ว จะเห็นได้ว่าปัจจุบันประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารมากขึ้น ทำให้มีความรู้ ความเข้าใจในประเด็นปัญหาต่างๆ และนำไปสู่การตื่นตัวของประชาชน
แต่สิ่งที่ยังขาดไปก็คือ จำนวนกิจกรรมที่ประชาชนสามารถเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองได้นั้น มีอยู่น้อยมาก นอกจากการเลือกตั้งแล้ว ก็มีเรื่องสิ่งแวดล้อม และการกำหนดผังเมืองที่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีการทำประชาพิจารณ์ นอกจากนั้น ก็มีการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น
การที่ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมน้อยเป็นเพราะรัฐ โดยเฉพาะส่วนกลางได้เข้าไปดำเนินการต่างๆ จนประชาชนไม่มีโอกาสทำกิจกรรมหลายอย่างเองนอกจากกรม 100 กว่ากรมแล้ว ก็ยังมีรัฐวิสาหกิจ 60 กว่าแห่ง และองค์การมหาชนอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนั้น ส่วนกลางยังมีตัวแทนของกรมในภูมิภาคคือ ในจังหวัดทุกจังหวัดอีกด้วย
ดังนั้นประเทศไทยจึงประกอบไปด้วย กรม มากกว่าจังหวัด จังหวัดมีพื้นที่และกิจกรรมที่ตัวแทนของส่วนกลางเข้าไปทำกิจกรรมต่างๆ จนเต็ม ประชาชนในจังหวัดเองมีส่วนร่วมในการพัฒนาจังหวัดน้อยมาก
รัฐไทยเป็นรัฐเดี่ยว จังหวัดไม่ใช่ส่วนราชการตามพระราชบัญญัติงบประมาณ จึงไม่สามารถตั้งงบประมาณจังหวัดได้ เวลานี้ไม่มีข้อมูลว่าจังหวัดใดมีรายจ่ายด้านใดต่อหัวประชากรอย่างไร การพัฒนาจังหวัดก็คือ การรวมโครงการต่างๆ ที่กรมในส่วนกลางเป็นฝ่ายกำหนด ประชาคมในจังหวัดไม่มีส่วนร่วมในการตั้งเป้า
เวลานี้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการได้จัดทำตัวชี้วัดผลงานของกรมต่างๆ ขึ้น ทำให้กรมต่างๆ ต้องมีการตั้งเป้า และมีการวัดผลงานอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น แต่จังหวัดต่างๆ ไม่มีการตั้งเป้า และไม่มีตัวชี้วัด เราไม่มีข้อมูลเชิงเปรียบเทียบระดับการพัฒนาของแต่ละจังหวัด เราไม่มีความรู้ว่าจังหวัดใดล้าหลังกว่าจังหวัดอื่นในแง่การศึกษา การสาธารณสุข และสิ่งแวดล้อมอย่างไร
ในสหรัฐอเมริกา มลรัฐมีบทบาทหลักในการพัฒนาส่วนกลางมีบทบาทจำกัดมาก รัฐบางรัฐมีการจัดทำการเทียบเคียงมาตรฐานชีวิต (Benchmark) มลรัฐตั้งเป้าว่า แต่เดิมสภาพการดำรงชีพแต่ละด้านเป็นอย่างไร และมีเป้าหมายในการลดหรือเพิ่มระดับการดำรงชีวิตอย่างไร
หากจังหวัดของเรามีการตั้งเป้า ประชาคมในจังหวัดก็จะมาประชุมปรึกษาหารือกันถึงปัญหาที่เผชิญอยู่ และหาทางแก้ไข โดยการตั้งเป้าและมีตัวชี้วัด โดยมีงบประมาณเพื่อการนั้น
ปัจจุบันจะเห็นว่าจังหวัดของเรามีเฉพาะคำขวัญประจำจังหวัด เช่น มีสถานที่สำคัญ มีธรรมชาติสวยงาม แต่ไม่มีจังหวัดใดที่ตั้งเป้าว่าจะเป็นจังหวัดที่มีการให้บริการทางการศึกษาที่ดีที่สุดของประเทศ หรือมีอากาศบริสุทธิ์ มีสิ่งแวดล้อมที่ดี
ด้วยเหตุที่จังหวัดไม่มีกิจกรรม ไม่มีงบประมาณที่เกิดขึ้นจากความคิดริเริ่มของคนในจังหวัดนั้นเอง คนในจังหวัดจึงไม่มีส่วนร่วม เป็นเพียงผู้รับบริการจากโครงการต่างๆ ที่กำหนดมาจากส่วนกลาง ในชีวิตประจำวันของประชาชน การเมืองจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขามากนัก นอกจากนั้น รัฐบาลบางสมัยยังไปสร้างการพึ่งพารัฐให้แก่ประชาชน ด้วยการนำกองทุนต่างๆ ไปให้หมู่บ้าน และให้คนกู้ยืมอีกด้วย
การพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของเราเป็นไปได้ยาก ก็เพราะรัฐเข้าไปมีบทบาทมากจนประชาชนไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสินใจด้วยตนเอง รัฐประชาธิปไตยจะต้องลดบทบาทลง และเพิ่มบทบาทให้แก่ประชาชนมากขึ้น แทนที่จะให้ประชาชนมีบทบาทเพียงการไปออกเสียงลงคะแนนสี่ปีครั้งเท่านั้น