ASTVผู้จัดการรายวัน - ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ลงโทษนักการเมืองโกหกพกลมเป็นรายที่ 2 ติดต่อกันในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสั่งเว้นวรรคทางการเมือง "ยุทธ ตู้เย็น" 5 ปี จำคุก 2 เดือน แต่ให้รอลงอาญา และปรับ 4 พันบาท ฐานใช้ชื่อน้องเมียซุกหุ้น ศาลชี้หลักฐานชัดเจน ทำนิติกรรมอำพรางให้น้องเมียถือหุ้นแทน เพื่อเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี รวมต่อเวลาให้เว้นวรรคทางการเมืองร่วมกับคดียุบพรรคไปอีก 8 ปี เจ้าตัวยังอุบ จะเล่นการเมืองต่อหรือไม่ พร้อมครวญขอความเห็นใจ หลัง คมช.ยึดอำนาจโดนคดีความนับโหล
วานนี้ (28 ก.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายศิริชัย จิระบุญศรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 2 /2552 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยกรณีที่ นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้คัดค้าน ฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของตนเองหรือคู่สมรส หรือบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ม.263 และ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ.2542 ม.119
คดีนี้ ป.ป.ช.ยื่นคำร้องสรุปว่า ผู้คัดค้านเป็น ส.ส. และ รมว.ทรัพยากรฯ ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ รวม 5 ครั้ง กรณีเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2548 กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 กรณีพ้นตำแหน่งเป็นเวลา 1 ปี เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2550 กรณีเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2551 และกรณีพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2551 โดยระบุว่า มีทรัพย์สินเป็นเงินให้กู้ยืมจำนวน 1,600,000 บาท ที่ได้มาจากการขายหุ้นบริษัท มิติฟู้ด โปรดักส์ จำกัด จำนวน 24,5000 หุ้น รวม 2,450,000 บาท ให้กับ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ยุววรรณ น้องภรรยา โดยมีการชำระเงินสดจำนวน 800,000 บาท ส่วนที่เหลือทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ แต่ความจริงแล้วไม่มีเจตนาซื้อขายหุ้นและไม่มีการชำระเงินกันจริง เป็นการอำพรางทรัพย์สิน เพื่อให้ผู้คัดค้านมีคุณสมบัติ เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากร ได้
ทั้งนี้ นายยงยุทธ ได้ยื่นเอกสารและให้การคัดค้านว่า มติของ ป.ป.ช.ผู้ร้องมิชอบ เนื่องจากการขายหุ้นดังกล่าวได้มีการจดแจ้งเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นกับนายทะเบียนอย่างถูกต้อง และมีการซื้อขายชำระเงินกันจริง โดยบริษัทมิติฟู้ด ประกอบกิจการประเภทแปรรูปผลไม้กระป๋อง ต่อมาปี 2548 ผู้ค้านได้ขายหุ้นจำนวน 24,500 หุ้น ให้กับ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ โดยชำระเงินแล้ว 800,000 บาท ที่เหลือทำสัญญารับสภาพหนี้ เมื่อปี 2549 โดย พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ มีฐานะที่จะซื้อหุ้นและชำระเงินได้ เนื่องจากมีทรัพย์สินเป็นที่ดิน เงินฝากบัญชี และในสหกรณ์ออมทรัพย์ อีกทั้งภรรยาก็มีทรัพย์สินเป็นเงินฝากบัญชีจำนวนมาก ส่วนบริษัทมิติฟู้ด ก็มีทรัพย์สินที่มีมูลค่าสมควรแก่การซื้อหุ้น
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามสัญญาซื้อขายหุ้นระบุว่า เงินส่วนที่เหลือ 1,600,000 บาท พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ จะชำระเมื่อมีการโอนหุ้นและจดแจ้งทะเบียนผู้ถือหุ้นเรียบร้อยแล้ว หากผิดสัญญาจะต้องโอนหุ้นคืนให้ผู้คัดค้านและยินยอมให้ริบเงินที่จ่ายไปแล้ว แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อมีการโอนหุ้นและจดแจ้งทะเบียนผู้ถือหุ้นแล้ว เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2548 แต่ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ยังไม่ได้ชำระเงินส่วนที่เหลือให้กับผู้คัดค้าน จึงถือว่ากระทำผิดสัญญา แต่ผู้คัดค้านไม่ดำเนินการใดๆ เพียงแต่ให้ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ทำหนังสือรับสภาพหนี้ เมื่อครบกำหนดยังไม่ชำระ หลังจากนั้น 3 ปี จึงมีการชำระเงินเพียงบางส่วน โดยผู้คัดค้านอ้างว่า เหตุที่ไม่ท้วงถามเนื่องจากเป็นน้องภรรยา ซึ่งศาลเห็นว่าหากเป็นตามที่ผู้คัดค้านอ้างก็ไม่มีเหตุที่จะต้องให้ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ทำสัญญารับสภาพหนี้ และเมื่อพิจารณาจากบัญชีงบดุลของบริษัทมิติฟู้ด ที่ยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่ปี 2544-48 พบว่า ไม่มีทรัพย์สินถาวร มีทรัพย์สินเพียงเล็กน้อย ส่วนบัญชีเงินฝากที่บริษัทเปิดไว้ที่ จ.เชียงราย ก็ถูกปิดไปนานกว่า 7 ปี จึงเชื่อว่าบริษัทไม่มีผลประกอบการหรือรายได้ที่จะทำให้ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ที่จะซื้อหุ้นมูลค่าสูงถึง 2,450,000 บาท อีกทั้ง พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ให้การว่า หลังจากซื้อหุ้นแล้วไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารงาน และไม่ทราบว่ากรรมการผู้มีอำนาจเป็นใคร ผลประกอบการเป็นอย่างไร ผิดวิสัยนักลงทุนที่จะซื้อหุ้นบริษัทในจำนวนสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของหุ้นที่มีอยู่
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายยงยุทธ ผู้คัดค้าน ทำนิติกรรมอำพรางให้ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ถือหุ้นแทน โดยไม่มีเจตนาซื้อขายชำระเงินกันจริง เพื่อไม่ให้นายยงยุทธ มีคุณสมบัติต้องห้ามในการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีตามที่ พ.ร.บ.จัดการหุ้นส่วนและหุ้นรัฐมนตรี พ.ศ.2543 ที่ห้ามมิให้ถือหุ้นในบริษัทเกินร้อยละ 5 องค์คณะจึงมีมติเสียงข้างมากกว่า นายยงยุทธ ผู้คัดค้าน มีเจตนาจงใจยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของตนเองหรือคู่สมรส หรือบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ พิพากษาลงโทษห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองและในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ม. 263 วรรค 2 นับแต่วันที่ศาลมีวินิจฉัย และให้ลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. ฯ ม.119 แต่ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายยงยุทธ เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยสีหน้าเรียบเฉย มีกลุ่มผู้สนับสนุนประมาณ 30 คน เข้าฟังการพิจารณา ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้วนายยงยุทธ เดินลงมาให้สัมภาษณ์และพูดคุยกับกลุ่มผู้สนับสนุนที่สวมเสื้อแดงที่มารอให้กำลังใจประมาณ 5 คน ด้วยความเป็นกันเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้ นายยงยุทธ เคยถูกตุลาการรัฐธรรมนูญพิพากษาเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2550 ในคดียุบพรรคพลังประชาชน นอกจากนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ยังได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)มีมติให้ใบแดง ฐานซื้อเสียงใน จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2551
ภายหลัง นายยงยุทธ กล่าวว่า ไม่รู้สึกอะไร พูดได้อย่างเดียว ยังมุ่งมั่นที่จะให้ประชาชนรักกัน ซึ่งตนเคยพูดตอนพ้นตำแหน่งใหม่ๆที่โดนใบแดงว่า แม้กระทั่งตนเป็นเหยื่อก็ยินดี ไม่เล่นการเมือง เดินกลับบ้านก็ยินดี แต่ขอให้คนไทยรักและสามัคคีกัน เพราะวันนี้การกล่าวหาโยนความผิด กล่าวร้ายกันนั้น สุดท้ายมาถามว่า เราจะไล่ออกนอกประเทศ โยนออก มันโยนไม่ได้ เพราะพวกเราเป็นพี่น้องกัน ต้องมีความรักต่อกัน และวันนี้ที่ถามว่าตนมีความรู้สึกไหม ก็คงไม่มีความรู้สึกอะไร เนื่องจากตนเป็นอะไรก็ได้ ไม่เป็นอะไรก็ได้ อนาคตการเมืองไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราสามารถที่จะไปทำงานอะไรต่างๆได้เยอะแยะ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังเหลืออีกกี่คดีที่ถูกฟ้องร้อง แล้วหนักใจบ้างหรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า ตั้งแต่ คมช.เข้ามาตนโดน 1 โหล คดีนี้เป็นคดีที่ 4.
วานนี้ (28 ก.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายศิริชัย จิระบุญศรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 2 /2552 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยกรณีที่ นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้คัดค้าน ฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของตนเองหรือคู่สมรส หรือบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ม.263 และ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ.2542 ม.119
คดีนี้ ป.ป.ช.ยื่นคำร้องสรุปว่า ผู้คัดค้านเป็น ส.ส. และ รมว.ทรัพยากรฯ ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ รวม 5 ครั้ง กรณีเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2548 กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 กรณีพ้นตำแหน่งเป็นเวลา 1 ปี เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2550 กรณีเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2551 และกรณีพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2551 โดยระบุว่า มีทรัพย์สินเป็นเงินให้กู้ยืมจำนวน 1,600,000 บาท ที่ได้มาจากการขายหุ้นบริษัท มิติฟู้ด โปรดักส์ จำกัด จำนวน 24,5000 หุ้น รวม 2,450,000 บาท ให้กับ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ยุววรรณ น้องภรรยา โดยมีการชำระเงินสดจำนวน 800,000 บาท ส่วนที่เหลือทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ แต่ความจริงแล้วไม่มีเจตนาซื้อขายหุ้นและไม่มีการชำระเงินกันจริง เป็นการอำพรางทรัพย์สิน เพื่อให้ผู้คัดค้านมีคุณสมบัติ เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากร ได้
ทั้งนี้ นายยงยุทธ ได้ยื่นเอกสารและให้การคัดค้านว่า มติของ ป.ป.ช.ผู้ร้องมิชอบ เนื่องจากการขายหุ้นดังกล่าวได้มีการจดแจ้งเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นกับนายทะเบียนอย่างถูกต้อง และมีการซื้อขายชำระเงินกันจริง โดยบริษัทมิติฟู้ด ประกอบกิจการประเภทแปรรูปผลไม้กระป๋อง ต่อมาปี 2548 ผู้ค้านได้ขายหุ้นจำนวน 24,500 หุ้น ให้กับ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ โดยชำระเงินแล้ว 800,000 บาท ที่เหลือทำสัญญารับสภาพหนี้ เมื่อปี 2549 โดย พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ มีฐานะที่จะซื้อหุ้นและชำระเงินได้ เนื่องจากมีทรัพย์สินเป็นที่ดิน เงินฝากบัญชี และในสหกรณ์ออมทรัพย์ อีกทั้งภรรยาก็มีทรัพย์สินเป็นเงินฝากบัญชีจำนวนมาก ส่วนบริษัทมิติฟู้ด ก็มีทรัพย์สินที่มีมูลค่าสมควรแก่การซื้อหุ้น
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามสัญญาซื้อขายหุ้นระบุว่า เงินส่วนที่เหลือ 1,600,000 บาท พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ จะชำระเมื่อมีการโอนหุ้นและจดแจ้งทะเบียนผู้ถือหุ้นเรียบร้อยแล้ว หากผิดสัญญาจะต้องโอนหุ้นคืนให้ผู้คัดค้านและยินยอมให้ริบเงินที่จ่ายไปแล้ว แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อมีการโอนหุ้นและจดแจ้งทะเบียนผู้ถือหุ้นแล้ว เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2548 แต่ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ยังไม่ได้ชำระเงินส่วนที่เหลือให้กับผู้คัดค้าน จึงถือว่ากระทำผิดสัญญา แต่ผู้คัดค้านไม่ดำเนินการใดๆ เพียงแต่ให้ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ทำหนังสือรับสภาพหนี้ เมื่อครบกำหนดยังไม่ชำระ หลังจากนั้น 3 ปี จึงมีการชำระเงินเพียงบางส่วน โดยผู้คัดค้านอ้างว่า เหตุที่ไม่ท้วงถามเนื่องจากเป็นน้องภรรยา ซึ่งศาลเห็นว่าหากเป็นตามที่ผู้คัดค้านอ้างก็ไม่มีเหตุที่จะต้องให้ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ทำสัญญารับสภาพหนี้ และเมื่อพิจารณาจากบัญชีงบดุลของบริษัทมิติฟู้ด ที่ยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่ปี 2544-48 พบว่า ไม่มีทรัพย์สินถาวร มีทรัพย์สินเพียงเล็กน้อย ส่วนบัญชีเงินฝากที่บริษัทเปิดไว้ที่ จ.เชียงราย ก็ถูกปิดไปนานกว่า 7 ปี จึงเชื่อว่าบริษัทไม่มีผลประกอบการหรือรายได้ที่จะทำให้ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ที่จะซื้อหุ้นมูลค่าสูงถึง 2,450,000 บาท อีกทั้ง พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ให้การว่า หลังจากซื้อหุ้นแล้วไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารงาน และไม่ทราบว่ากรรมการผู้มีอำนาจเป็นใคร ผลประกอบการเป็นอย่างไร ผิดวิสัยนักลงทุนที่จะซื้อหุ้นบริษัทในจำนวนสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของหุ้นที่มีอยู่
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายยงยุทธ ผู้คัดค้าน ทำนิติกรรมอำพรางให้ พ.ต.ท.นัฎฐวุฒิ ถือหุ้นแทน โดยไม่มีเจตนาซื้อขายชำระเงินกันจริง เพื่อไม่ให้นายยงยุทธ มีคุณสมบัติต้องห้ามในการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีตามที่ พ.ร.บ.จัดการหุ้นส่วนและหุ้นรัฐมนตรี พ.ศ.2543 ที่ห้ามมิให้ถือหุ้นในบริษัทเกินร้อยละ 5 องค์คณะจึงมีมติเสียงข้างมากกว่า นายยงยุทธ ผู้คัดค้าน มีเจตนาจงใจยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของตนเองหรือคู่สมรส หรือบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ พิพากษาลงโทษห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองและในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ม. 263 วรรค 2 นับแต่วันที่ศาลมีวินิจฉัย และให้ลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. ฯ ม.119 แต่ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายยงยุทธ เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยสีหน้าเรียบเฉย มีกลุ่มผู้สนับสนุนประมาณ 30 คน เข้าฟังการพิจารณา ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้วนายยงยุทธ เดินลงมาให้สัมภาษณ์และพูดคุยกับกลุ่มผู้สนับสนุนที่สวมเสื้อแดงที่มารอให้กำลังใจประมาณ 5 คน ด้วยความเป็นกันเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้ นายยงยุทธ เคยถูกตุลาการรัฐธรรมนูญพิพากษาเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2550 ในคดียุบพรรคพลังประชาชน นอกจากนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ยังได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)มีมติให้ใบแดง ฐานซื้อเสียงใน จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2551
ภายหลัง นายยงยุทธ กล่าวว่า ไม่รู้สึกอะไร พูดได้อย่างเดียว ยังมุ่งมั่นที่จะให้ประชาชนรักกัน ซึ่งตนเคยพูดตอนพ้นตำแหน่งใหม่ๆที่โดนใบแดงว่า แม้กระทั่งตนเป็นเหยื่อก็ยินดี ไม่เล่นการเมือง เดินกลับบ้านก็ยินดี แต่ขอให้คนไทยรักและสามัคคีกัน เพราะวันนี้การกล่าวหาโยนความผิด กล่าวร้ายกันนั้น สุดท้ายมาถามว่า เราจะไล่ออกนอกประเทศ โยนออก มันโยนไม่ได้ เพราะพวกเราเป็นพี่น้องกัน ต้องมีความรักต่อกัน และวันนี้ที่ถามว่าตนมีความรู้สึกไหม ก็คงไม่มีความรู้สึกอะไร เนื่องจากตนเป็นอะไรก็ได้ ไม่เป็นอะไรก็ได้ อนาคตการเมืองไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราสามารถที่จะไปทำงานอะไรต่างๆได้เยอะแยะ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังเหลืออีกกี่คดีที่ถูกฟ้องร้อง แล้วหนักใจบ้างหรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า ตั้งแต่ คมช.เข้ามาตนโดน 1 โหล คดีนี้เป็นคดีที่ 4.