เอเอฟพี/เอเยนซีส์ - คาดหมายกันว่า เงินสกุลดอลลาร์ของสหรัฐฯ จะกลายเป็นประเด็นถกเถียงในที่ประชุมซัมมิตกลุ่ม 20 ประเทศอุตสาหกรรมและประเทศเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ขนาดใหญ่ 20 (จี 20) วันพฤหัสบดีและศุกร์ (24-25) นี้ หลังจากจีนนำหน้าเรียกร้องให้ทบทวนเรื่องการใช้เงินดอลลาร์เป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ ขณะที่สหรัฐฯ กับอีกหลายประเทศพยายามผลักดันให้ที่ประชุมมุ่งเน้นแก้ปัญหา "ความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจ" ของโลก โดยบอกว่าเป็นสาเหตุให้เกิดวิกฤตการณ์การเงินโลกครั้งล่าสุด
"แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่าจะผลักดันแผนการดังกล่าว (การแก้ความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจ) กันอย่างไร แต่มาตรการที่จะนำมาใช้ ก็ต้องรวมถึงการลดการขาดดุลงบประมาณและเพิ่มการออมในสหรัฐฯ ส่วนจีนจะลดการพึ่งพาการส่งออกสินค้าลง และยุโรปจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อสนับสนุนการลงทุนทางธุรกิจ" นักวิเคราะห์ของธนาคารโซซิเยเต้ เจเนราลแห่งฝรั่งเศสระบุในรายงาน
จาก "ความไม่สมดุล" ที่เกิดขึ้นมานาน เวลานี้สหรัฐฯที่มีแต่จับจ่ายใช้จ่ายมานานปี กำลังเผชิญปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมหาศาล ซึ่งคาดว่าอาจสูงถึง 9 ล้านล้านดอลลาร์ภายในสิบปี ในขณะที่จีนกลับมียอดเกินดุลจำนวนมาก และก็ถือสินทรัพย์สกุลดอลลาร์เอาไว้จำนวนมหาศาล
ควบคู่ไปกับที่สหรัฐฯกำลังพยายามผลักดันให้ทั่วโลกปรับความสมดุลทางเศรษฐกิจกันใหม่ จีนก็มีความเคลื่อนไหวเสนอแนะให้หาสกุลเงินตราระหว่างประเทศใหม่ มาแทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ
เวินเจียเป่า นายกรัฐมนตรีของจีน ได้แสดงความวิตกต่อปัญหานี้เมื่อเดือนมีนาคม เนื่องจากจีนเป็นผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นมูลค่าสูงกว่า 800,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้จีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ไปโดยปริยาย
ต่อมา โจวเสี่ยวชวน ผู้ว่าการธนาคารกลางของจีน ซึ่งเป็นผู้ดูแลสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ที่มีสำรองในจีนถึงกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ก็ได้ออกมาเสนอความเห็นว่าควรใช้เงินเอสดีอาร์ หรือ special drawing right ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศเป็นผู้ริเริ่มขึ้น เป็นสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศสกุลใหม่แทนสกุลดอลลาร์ และปรากฏว่ามีหลายประเทศขานรับความคิดเห็นดังกล่าว เช่น รัสเซีย และบราซิล เป็นต้น
"ประเทศเหล่านี้ตระหนักดีว่าตนจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก หากเกิดเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจนกระทบต่อมูลค่าของพันธบัตรสกุลดอลลาร์ที่ตนถือครองอยู่" ริชาร์ด คูเปอร์ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าว
แต่คูเปอร์กํบอกว่า ยังมองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะใช้เงินสกุลอื่นแทนดอลลาร์ซึ่งใช้กันแพร่หลายไปทั่วโลก และเป็นที่นิยมมากกว่าเงินเอสดีอาร์ที่อิงอยู่กับระบบตะกร้าเงินดอลลาร์ ยูโร เยน และปอนด์รวมกัน
ทว่าพวกนักวิเคราะห์ในโลกตะวันตกรู้สึกงุนงง เมื่อหน่วยงานของสหประชาชาติ คือ องค์การการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) ที่มี ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ เป็นเลขาธิการ ออกมาแสดงความเห็นด้วยกับการใช้เงินตราสกุลใหม่เป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ โดยในรายงานของอังค์ถัดที่เผยแพร่ในเดือนนี้ระบุว่า สนับสนุนข้อเสนอให้ใช้เงินเอสดีอาร์ในการชำระเงินระหว่างประเทศได้
ขณะเดียวกัน จีนก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉยๆ โดยกำลังเสนอให้ที่ประชุม "จี 20" พิจารณาจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งระหว่างประเทศ เพื่อนำเงินเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของสมาชิกไปลงทุนในประเทศกำลังพัฒนา
"ความเห็นเช่นนี้เป็นการย้ำยืนความปรารถนาของพวกเขาที่จะกระจายออกจากต้องลงทุนแต่ในสกุลดอลลาร์ และการส่งเสริมให้ชาติอื่นๆ กระทำอย่างเดียวกันด้วย" แคธี เหลียน หัวหน้ายุทธศาสตร์แห่ง โกลบอล ฟอเร็กซ์ เทรดดิ้ง ให้ความเห็น
ในการทำข้อตกลงสองสามครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ ปรากฏว่าจีนยอมรับให้ผู้ซื้อชำระเงินด้วยสกุลเงินตราของผู้ซื้อเอง แทนที่จะเป็นดอลลาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบราซิล ซึ่งจีนกำลังตามจีบให้เป็นผู้ซัปพลายน้ำมันรายใหญ่ให้แก่ตนเองต่อไป
นอกจากนั้น ในการลงนามซื้อพันธบัตรจากไอเอ็มเอฟเป็นจำนวนเท่ากับ 50,000 ล้านดอลลาร์ จีนก็ทำสิ่งที่ไม่ค่อยกระทำกัน ด้วยการจ่ายเงินเงินหยวนแทนที่จะเป็นดอลลาร์
"แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่าจะผลักดันแผนการดังกล่าว (การแก้ความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจ) กันอย่างไร แต่มาตรการที่จะนำมาใช้ ก็ต้องรวมถึงการลดการขาดดุลงบประมาณและเพิ่มการออมในสหรัฐฯ ส่วนจีนจะลดการพึ่งพาการส่งออกสินค้าลง และยุโรปจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อสนับสนุนการลงทุนทางธุรกิจ" นักวิเคราะห์ของธนาคารโซซิเยเต้ เจเนราลแห่งฝรั่งเศสระบุในรายงาน
จาก "ความไม่สมดุล" ที่เกิดขึ้นมานาน เวลานี้สหรัฐฯที่มีแต่จับจ่ายใช้จ่ายมานานปี กำลังเผชิญปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมหาศาล ซึ่งคาดว่าอาจสูงถึง 9 ล้านล้านดอลลาร์ภายในสิบปี ในขณะที่จีนกลับมียอดเกินดุลจำนวนมาก และก็ถือสินทรัพย์สกุลดอลลาร์เอาไว้จำนวนมหาศาล
ควบคู่ไปกับที่สหรัฐฯกำลังพยายามผลักดันให้ทั่วโลกปรับความสมดุลทางเศรษฐกิจกันใหม่ จีนก็มีความเคลื่อนไหวเสนอแนะให้หาสกุลเงินตราระหว่างประเทศใหม่ มาแทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ
เวินเจียเป่า นายกรัฐมนตรีของจีน ได้แสดงความวิตกต่อปัญหานี้เมื่อเดือนมีนาคม เนื่องจากจีนเป็นผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นมูลค่าสูงกว่า 800,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้จีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ไปโดยปริยาย
ต่อมา โจวเสี่ยวชวน ผู้ว่าการธนาคารกลางของจีน ซึ่งเป็นผู้ดูแลสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ที่มีสำรองในจีนถึงกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ก็ได้ออกมาเสนอความเห็นว่าควรใช้เงินเอสดีอาร์ หรือ special drawing right ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศเป็นผู้ริเริ่มขึ้น เป็นสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศสกุลใหม่แทนสกุลดอลลาร์ และปรากฏว่ามีหลายประเทศขานรับความคิดเห็นดังกล่าว เช่น รัสเซีย และบราซิล เป็นต้น
"ประเทศเหล่านี้ตระหนักดีว่าตนจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก หากเกิดเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจนกระทบต่อมูลค่าของพันธบัตรสกุลดอลลาร์ที่ตนถือครองอยู่" ริชาร์ด คูเปอร์ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าว
แต่คูเปอร์กํบอกว่า ยังมองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะใช้เงินสกุลอื่นแทนดอลลาร์ซึ่งใช้กันแพร่หลายไปทั่วโลก และเป็นที่นิยมมากกว่าเงินเอสดีอาร์ที่อิงอยู่กับระบบตะกร้าเงินดอลลาร์ ยูโร เยน และปอนด์รวมกัน
ทว่าพวกนักวิเคราะห์ในโลกตะวันตกรู้สึกงุนงง เมื่อหน่วยงานของสหประชาชาติ คือ องค์การการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) ที่มี ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ เป็นเลขาธิการ ออกมาแสดงความเห็นด้วยกับการใช้เงินตราสกุลใหม่เป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ โดยในรายงานของอังค์ถัดที่เผยแพร่ในเดือนนี้ระบุว่า สนับสนุนข้อเสนอให้ใช้เงินเอสดีอาร์ในการชำระเงินระหว่างประเทศได้
ขณะเดียวกัน จีนก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉยๆ โดยกำลังเสนอให้ที่ประชุม "จี 20" พิจารณาจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งระหว่างประเทศ เพื่อนำเงินเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของสมาชิกไปลงทุนในประเทศกำลังพัฒนา
"ความเห็นเช่นนี้เป็นการย้ำยืนความปรารถนาของพวกเขาที่จะกระจายออกจากต้องลงทุนแต่ในสกุลดอลลาร์ และการส่งเสริมให้ชาติอื่นๆ กระทำอย่างเดียวกันด้วย" แคธี เหลียน หัวหน้ายุทธศาสตร์แห่ง โกลบอล ฟอเร็กซ์ เทรดดิ้ง ให้ความเห็น
ในการทำข้อตกลงสองสามครั้งเมื่อเร็วๆ นี้ ปรากฏว่าจีนยอมรับให้ผู้ซื้อชำระเงินด้วยสกุลเงินตราของผู้ซื้อเอง แทนที่จะเป็นดอลลาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบราซิล ซึ่งจีนกำลังตามจีบให้เป็นผู้ซัปพลายน้ำมันรายใหญ่ให้แก่ตนเองต่อไป
นอกจากนั้น ในการลงนามซื้อพันธบัตรจากไอเอ็มเอฟเป็นจำนวนเท่ากับ 50,000 ล้านดอลลาร์ จีนก็ทำสิ่งที่ไม่ค่อยกระทำกัน ด้วยการจ่ายเงินเงินหยวนแทนที่จะเป็นดอลลาร์