โอเรียนทัลอายส์รุกตลาดหนังไทย ชูกลยุทธ์ ศิลปะผสมผสานตลาด วางแผนสร้างปีละ3เรื่อง ดึงซีทีบีวีจัดจำหน่ายให้ประเดิม 2เรื่องก่อน
นายวัชรินทร์ สุทธิประภา กรรมการผู้จัดการและผู้บริหารงานสร้าง บริษัท โอเรียนทัล อายส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯมีแผนที่จะรุกตลาดหนังไทย ด้วยแผนการสร้างหนังเฉลี่ย 2-3 เรื่องต่อปี โดยใช้งบลงทุนเฉลี่ย 200 ล้านบาท รวมทั้งการทำตลาดและประชาสัมพันธ์ด้วย
โดยในปีนี้ได้ลงทุนสร้างหนังไทยไว้ 3 เรื่องคือ เรื่อง 9วัด เป็นแนวสยองขวัญ เรื่องมายเบสท์บอดี้การ์ด หนังแนวแอ็คชั่น-ดราม่า และ พระนางจามเทวี แนวมหากาพย์ ซึ่งสองเรื่องนำแสดงโดยทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญา สิริวัฒาพรรณวดี และยังมีออีก 1 เรื่องเป็นการร่วมทุนกับต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องบทภาพยนตร์และนักแสดง
แนวทางการทำงานของบริษัทฯจะยึดคอนเซ็ปท์ ศิลปะผสมผสานกับตลาด และชูแนวคิด “Out Side In” คือการส่งทีมการตลาดไปยังผู้ชมเพื่อเก็บข้อมูลความต้องการที่แท้จริงของคนดูว่าต้องการอะไรแบบไหน เพื่อส่งข้อมูลให้ฝ่ายโปรดักชั่นตีความออกมาเป็นบทภาพยนตร์
ทั้งนี้เรื่อง 9วัดกับเรื่อง มายเบสท์บอดี้การ็ด ได้แต่งตั้งให้บริษัท ซีทีบีวีเป็นผู้จัดจำหน่ายหนังให้ในตลาดประเทศไทย โดยคาดว่าเรือง 9วัด จะทำรายได้ 50 ล้านบาท ส่วนเรื่องมายเบสท์บอดี้การ์ด จะทำรายได้ 100 กว่าล้านบาท
“เราเพิ่งเข้ามาสู่หนังไทยเมื่อปี 2549 เรื่องแรกก็คือ หัวใจเดียวกัน ออกฉายเมื่อปีที่แล้ว เรามองว่า อีก 3-4 ปีจากนี้ตลาดหนังไทยต้องไต่ระดับสูงขึ้นทั้งในแง่รายได้และส่วนแบ่งตลาด ซึ่งในปี 2553 เราคาดว่าจะสามารถทำรายได้ประมาณ 200 ล้านบาท” นายวัชรินทร์กล่าว
นายวัชรินทร์ สุทธิประภา กรรมการผู้จัดการและผู้บริหารงานสร้าง บริษัท โอเรียนทัล อายส์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯมีแผนที่จะรุกตลาดหนังไทย ด้วยแผนการสร้างหนังเฉลี่ย 2-3 เรื่องต่อปี โดยใช้งบลงทุนเฉลี่ย 200 ล้านบาท รวมทั้งการทำตลาดและประชาสัมพันธ์ด้วย
โดยในปีนี้ได้ลงทุนสร้างหนังไทยไว้ 3 เรื่องคือ เรื่อง 9วัด เป็นแนวสยองขวัญ เรื่องมายเบสท์บอดี้การ์ด หนังแนวแอ็คชั่น-ดราม่า และ พระนางจามเทวี แนวมหากาพย์ ซึ่งสองเรื่องนำแสดงโดยทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญา สิริวัฒาพรรณวดี และยังมีออีก 1 เรื่องเป็นการร่วมทุนกับต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องบทภาพยนตร์และนักแสดง
แนวทางการทำงานของบริษัทฯจะยึดคอนเซ็ปท์ ศิลปะผสมผสานกับตลาด และชูแนวคิด “Out Side In” คือการส่งทีมการตลาดไปยังผู้ชมเพื่อเก็บข้อมูลความต้องการที่แท้จริงของคนดูว่าต้องการอะไรแบบไหน เพื่อส่งข้อมูลให้ฝ่ายโปรดักชั่นตีความออกมาเป็นบทภาพยนตร์
ทั้งนี้เรื่อง 9วัดกับเรื่อง มายเบสท์บอดี้การ็ด ได้แต่งตั้งให้บริษัท ซีทีบีวีเป็นผู้จัดจำหน่ายหนังให้ในตลาดประเทศไทย โดยคาดว่าเรือง 9วัด จะทำรายได้ 50 ล้านบาท ส่วนเรื่องมายเบสท์บอดี้การ์ด จะทำรายได้ 100 กว่าล้านบาท
“เราเพิ่งเข้ามาสู่หนังไทยเมื่อปี 2549 เรื่องแรกก็คือ หัวใจเดียวกัน ออกฉายเมื่อปีที่แล้ว เรามองว่า อีก 3-4 ปีจากนี้ตลาดหนังไทยต้องไต่ระดับสูงขึ้นทั้งในแง่รายได้และส่วนแบ่งตลาด ซึ่งในปี 2553 เราคาดว่าจะสามารถทำรายได้ประมาณ 200 ล้านบาท” นายวัชรินทร์กล่าว
