เอเยนซีส์ -ยูกิโอะ ฮาโตยามะ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่นเมื่อวานนี้(16) โดยที่เขาและคณะรัฐมนตรีจะต้องเผชิญกับปัญหาท้าทายใหญ่ๆ ที่จะต้องเข้าดำเนินการแก้ไขในหลายๆ ด้าน ตั้งแต่เรื่องค่าใช้จ่ายทางสวัสดิการสังคมกำลังพุ่งลิ่วเพราะสังคมมีคนสูงอายุเพิ่มขึ้นมาก ไปจนถึงฐานะทางการคลังที่อยู่ในสภาพหนี้สินล้นพ้นตัว
ปัญหาท้าทายใหญ่ๆ ที่คณะรัฐบาลญี่ปุ่นชุดใหม่จะต้องเข้าดำเนินการแก้ไข มีดังต่อไปนี้:
**เศรษฐกิจ**
ญี่ปุ่นเพิ่งคืบคลานผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมาของตน ทว่าพวกนักเศรษฐกิจเตือนว่า ความคึกคักมีชีวิตชีวาทางเศรษฐกิจที่พอจะมีอยู่ในเวลานี้ อาจจะสูญสิ้นพลังลงในช่วงต่อไปของปีนี้ เนื่องจากสภาพภาวะเงินฝืดและการว่างงานที่จะสูงขึ้น จะเพิ่มน้ำหนักความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลกแห่งนี้
ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น(บีโอเจ) กำลังพยากรณ์แล้วว่าจะเกิดภาวะเงินฝืดเป็นเวลา 2 ปี ยิ่งถ้ามันยืดเยื้อนานไปกว่าที่คาดหมายด้วยแล้ว ก็จะยิ่งชะลอเวลาที่บีโอเจจะสามารถยุติการใช้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเตี้ยติดดินในเวลานี้ อันหมายถึงปัญหาเงินฝืดจะอยู่ในสภาพงูกินหางมากขึ้นๆ
พรรคเดโมเครติก ปาร์ตี้ ออฟ แจแปน (ดีพีเจ) ของฮาโตยามะประกาศเอาไว้ว่า จะทุ่มเงินงบประมาณให้ไปถึงมือของภาคครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทว่านักวิเคราะห์บางรายวิตกว่า แผนการใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของดีพีเจจะไปทำให้ยอดหนี้สินภาคสาธารณะยิ่งทะยานโลด จากที่เวลานี้อยู่ในระดับเท่ากับราว 170% ของจีดีพี สูงที่สุดในบรรดาประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้าด้วยกันอยู่แล้ว
ดีพีเจจำเป็นต้องลงมืออย่างรวดเร็วทีเดียว หากต้องการเป็นผู้จัดทำงบประมาณแผ่นดินสำหรับปีงบประมาณหน้า (เม.ย.2010 - มี.ค.2011) ให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ตามกำหนดที่เคยปฏิบัติกันมา เนื่องจากพรรคคงต้องใช้เวลาในการยกเครื่องเปลี่ยนแปลงใหญ่โครงสร้างของงบประมาณประจำปี อย่างที่ได้สัญญาไว้ในตอนหาเสียงเลือกตั้ง
การยกเครื่องโครงสร้างงบประมาณ ยังจะกลายเป็นการทดสอบความสามารถของดีพีเจ ในการทำให้พวกข้าราชการต้องยอมสยบ ทั้งนี้ในหลักนโยบายของพรรคที่ประกาศตอนหาเสียง เรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือการลดทอนอิทธิพลบารมีของพวกข้าราชการที่มีมากมายเหลือเกินนี้เอง
**ประชากรสูงวัย, ข้อถกเถียงเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม**
ปัญหาท้าทายใหญ่ที่สุดประการหนึ่งของญี่ปุ่น ได้แก่การแก้ไขปรับปรุงวิธีจัดหารายได้ของภาครัฐ เพื่อให้มีเงินสำหรับค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข, สวัสดิการสังคม, และมาตรการด้านบำนาญ ซึ่งกำลังเพิ่มสูงลิ่ว ในเมื่อคนรุ่น "เบบี้บูมเมอร์" (คนที่เกิดช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นรุ่นอายุที่มีจำนวนมากมายกว่าคนรุ่นอายุอื่นๆ) กำลังถึงวัยเกษียณ
นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากเสนอว่า คงต้องใช้วิธีขึ้นภาษีการบริโภค (consumption tax ซึ่งพอจะเทียบได้กับภาษีมูลค่าเพิ่มในบ้านเรา) ที่ปัจจุบันอยู่ในอัตรา 5% ทว่าการทำเช่นนี้จะต้องเสียคะแนนนิยมทางการเมืองอย่างยับเยิน และทางดีพีเจเองก็หาเสียงด้วยการประกาศว่าจะไม่ขึ้นภาษีนี้เป็นเวลาอย่างน้อย 4 ปี
**สิ่งแวดล้อม**
พรรคดีพีเจบอกว่า จะให้ญี่ปุ่นซึ่งเป็นชาติปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 5 ของโลก ตั้งเป้าหมายตัดลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้ลงจากระดับของปี 1990 ให้ได้ 25% ภายในปี 2020 เป้าหมายเช่นนี้ถือว่าปฏิบัติได้ยากเย็นกว่าของรัฐบาลชุดเก่าที่เพิ่งพ้นตำแหน่งที่ตั้งไว้จะลดให้ได้แค่ 8% เท่านั้น และก็ทำให้พวกธุรกิจต่างๆ ออกมาคร่ำครวญทันทีว่านโยบายของดีพีเจจะทำให้อุตสาหกรรมต่างๆ ไปไม่ไหว
ดีพีเจยังวางแผนยุติการเก็บเงินค่าทางด่วน และยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษจากน้ำมันเบนซินลิตรละราว 25 เยนที่เก็บกันมาได้สิบปีแล้ว ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนเมษายนปีหน้า แต่ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ก็ทำให้ถูกกลุ่มสิ่งแวดล้อมทั้งหลายตั้งคำถามว่า พรรคเด็ดเดี่ยวแน่วแน่แค่ไหนเรื่องการมุ่งหน้าสู่วิถีชีวิตที่เป็นสีเขียวมากขึ้น
**ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ**
พรรคดีพีเจสัญญาที่จะใช้จุดยืนซึ่งเป็นอิสระมากขึ้นจากพันธมิตรหลักอย่างสหรัฐฯ จนทำให้เกิดความวิตกว่าอาจทำให้มีปัญหาตึงเครียดระหว่างโตเกียวกับวอชิงตัน ถึงแม้ฮาโตยามะแถลงว่าพันธมิตรญี่ปุ่น-สหรัฐฯจะยังคงเป็นใจกลางแห่งการทูตของญี่ปุ่น
ภายหลังหลายๆ ปีแห่งความขัดแย้งเกี่ยวกับการก้าวร้าวรุกรานของญี่ปุ่นในเอเชียในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง สายสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีนก็ได้กระเตื้องขึ้นแล้วในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยในยุคของดีพีเจก็น่าจะรักษาความสัมพันธ์เช่นนี้ต่อไป ทว่าทั้งสองฝ่ายยังคงมีปัญหาคุกรุ่นอยู่อีกหลายด้าน ทั้งข้อพิพาทเรื่องดินแดนและอาณาเขตทางทะเล ตลอดจนการที่ต่างไม่ไว้วางใจกันและกันในเรื่องความทะเยอทะยานทางการทหาร
**ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่**
ปัญหาท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้นรอมร่อประการหนึ่ง อาจจะเป็นเรื่องการรับมือกับการแพร่กระจายของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เนื่องจากญี่ปุ่นยังล้าหลังชาติอื่นๆ เรื่องการผลิตวัคซีน และต้องรีบเจรจารายละเอียดเกี่ยวกับการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศ รวมทั้งเตรียมวิธีรับมือในกรณีที่อาจเกิดผลข้างเคียง
ปัญหาท้าทายใหญ่ๆ ที่คณะรัฐบาลญี่ปุ่นชุดใหม่จะต้องเข้าดำเนินการแก้ไข มีดังต่อไปนี้:
**เศรษฐกิจ**
ญี่ปุ่นเพิ่งคืบคลานผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมาของตน ทว่าพวกนักเศรษฐกิจเตือนว่า ความคึกคักมีชีวิตชีวาทางเศรษฐกิจที่พอจะมีอยู่ในเวลานี้ อาจจะสูญสิ้นพลังลงในช่วงต่อไปของปีนี้ เนื่องจากสภาพภาวะเงินฝืดและการว่างงานที่จะสูงขึ้น จะเพิ่มน้ำหนักความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลกแห่งนี้
ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น(บีโอเจ) กำลังพยากรณ์แล้วว่าจะเกิดภาวะเงินฝืดเป็นเวลา 2 ปี ยิ่งถ้ามันยืดเยื้อนานไปกว่าที่คาดหมายด้วยแล้ว ก็จะยิ่งชะลอเวลาที่บีโอเจจะสามารถยุติการใช้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเตี้ยติดดินในเวลานี้ อันหมายถึงปัญหาเงินฝืดจะอยู่ในสภาพงูกินหางมากขึ้นๆ
พรรคเดโมเครติก ปาร์ตี้ ออฟ แจแปน (ดีพีเจ) ของฮาโตยามะประกาศเอาไว้ว่า จะทุ่มเงินงบประมาณให้ไปถึงมือของภาคครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทว่านักวิเคราะห์บางรายวิตกว่า แผนการใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของดีพีเจจะไปทำให้ยอดหนี้สินภาคสาธารณะยิ่งทะยานโลด จากที่เวลานี้อยู่ในระดับเท่ากับราว 170% ของจีดีพี สูงที่สุดในบรรดาประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้าด้วยกันอยู่แล้ว
ดีพีเจจำเป็นต้องลงมืออย่างรวดเร็วทีเดียว หากต้องการเป็นผู้จัดทำงบประมาณแผ่นดินสำหรับปีงบประมาณหน้า (เม.ย.2010 - มี.ค.2011) ให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ตามกำหนดที่เคยปฏิบัติกันมา เนื่องจากพรรคคงต้องใช้เวลาในการยกเครื่องเปลี่ยนแปลงใหญ่โครงสร้างของงบประมาณประจำปี อย่างที่ได้สัญญาไว้ในตอนหาเสียงเลือกตั้ง
การยกเครื่องโครงสร้างงบประมาณ ยังจะกลายเป็นการทดสอบความสามารถของดีพีเจ ในการทำให้พวกข้าราชการต้องยอมสยบ ทั้งนี้ในหลักนโยบายของพรรคที่ประกาศตอนหาเสียง เรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือการลดทอนอิทธิพลบารมีของพวกข้าราชการที่มีมากมายเหลือเกินนี้เอง
**ประชากรสูงวัย, ข้อถกเถียงเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม**
ปัญหาท้าทายใหญ่ที่สุดประการหนึ่งของญี่ปุ่น ได้แก่การแก้ไขปรับปรุงวิธีจัดหารายได้ของภาครัฐ เพื่อให้มีเงินสำหรับค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข, สวัสดิการสังคม, และมาตรการด้านบำนาญ ซึ่งกำลังเพิ่มสูงลิ่ว ในเมื่อคนรุ่น "เบบี้บูมเมอร์" (คนที่เกิดช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นรุ่นอายุที่มีจำนวนมากมายกว่าคนรุ่นอายุอื่นๆ) กำลังถึงวัยเกษียณ
นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากเสนอว่า คงต้องใช้วิธีขึ้นภาษีการบริโภค (consumption tax ซึ่งพอจะเทียบได้กับภาษีมูลค่าเพิ่มในบ้านเรา) ที่ปัจจุบันอยู่ในอัตรา 5% ทว่าการทำเช่นนี้จะต้องเสียคะแนนนิยมทางการเมืองอย่างยับเยิน และทางดีพีเจเองก็หาเสียงด้วยการประกาศว่าจะไม่ขึ้นภาษีนี้เป็นเวลาอย่างน้อย 4 ปี
**สิ่งแวดล้อม**
พรรคดีพีเจบอกว่า จะให้ญี่ปุ่นซึ่งเป็นชาติปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 5 ของโลก ตั้งเป้าหมายตัดลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้ลงจากระดับของปี 1990 ให้ได้ 25% ภายในปี 2020 เป้าหมายเช่นนี้ถือว่าปฏิบัติได้ยากเย็นกว่าของรัฐบาลชุดเก่าที่เพิ่งพ้นตำแหน่งที่ตั้งไว้จะลดให้ได้แค่ 8% เท่านั้น และก็ทำให้พวกธุรกิจต่างๆ ออกมาคร่ำครวญทันทีว่านโยบายของดีพีเจจะทำให้อุตสาหกรรมต่างๆ ไปไม่ไหว
ดีพีเจยังวางแผนยุติการเก็บเงินค่าทางด่วน และยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษจากน้ำมันเบนซินลิตรละราว 25 เยนที่เก็บกันมาได้สิบปีแล้ว ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนเมษายนปีหน้า แต่ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ก็ทำให้ถูกกลุ่มสิ่งแวดล้อมทั้งหลายตั้งคำถามว่า พรรคเด็ดเดี่ยวแน่วแน่แค่ไหนเรื่องการมุ่งหน้าสู่วิถีชีวิตที่เป็นสีเขียวมากขึ้น
**ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ**
พรรคดีพีเจสัญญาที่จะใช้จุดยืนซึ่งเป็นอิสระมากขึ้นจากพันธมิตรหลักอย่างสหรัฐฯ จนทำให้เกิดความวิตกว่าอาจทำให้มีปัญหาตึงเครียดระหว่างโตเกียวกับวอชิงตัน ถึงแม้ฮาโตยามะแถลงว่าพันธมิตรญี่ปุ่น-สหรัฐฯจะยังคงเป็นใจกลางแห่งการทูตของญี่ปุ่น
ภายหลังหลายๆ ปีแห่งความขัดแย้งเกี่ยวกับการก้าวร้าวรุกรานของญี่ปุ่นในเอเชียในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง สายสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีนก็ได้กระเตื้องขึ้นแล้วในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยในยุคของดีพีเจก็น่าจะรักษาความสัมพันธ์เช่นนี้ต่อไป ทว่าทั้งสองฝ่ายยังคงมีปัญหาคุกรุ่นอยู่อีกหลายด้าน ทั้งข้อพิพาทเรื่องดินแดนและอาณาเขตทางทะเล ตลอดจนการที่ต่างไม่ไว้วางใจกันและกันในเรื่องความทะเยอทะยานทางการทหาร
**ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่**
ปัญหาท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้นรอมร่อประการหนึ่ง อาจจะเป็นเรื่องการรับมือกับการแพร่กระจายของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เนื่องจากญี่ปุ่นยังล้าหลังชาติอื่นๆ เรื่องการผลิตวัคซีน และต้องรีบเจรจารายละเอียดเกี่ยวกับการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศ รวมทั้งเตรียมวิธีรับมือในกรณีที่อาจเกิดผลข้างเคียง