ประเทศไทยก้าวถึงจุดเปลี่ยน นี่คือ “สัจธรรม”ที่สังคมไทยทั่วไปรับรู้และตระหนัก ด้วยสาเหตุภายในภายนอกสำคัญๆ ดังที่เราได้เคยวิเคราะห์มาแล้ว หลักๆ ก็คือ กองทัพและกลุ่มทุนที่เคยควบคุม กำกับ และกำหนดทิศทางพัฒนาการทางการเมืองของประเทศไทย ได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่า ไม่สามารถนำประเทศไทยไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างรอบด้าน ประชาชนอยู่ดีกินดีอย่างแท้จริง ตรงกันข้าม กลับมัวเมาในอำนาจ กอบโกยโกงกิน ทำลายประเทศไทย ทำลายชีวิตคนไทย
โดยภาพรวมคือ ผู้ใช้อำนาจกลายเป็นผู้สร้างปัญหาให้แก่ประเทศชาติ สร้างความทุกข์ยากให้แก่ประชาชน กลไกรัฐทุกภาคส่วนที่ต้องทำงานสนองนโยบายรัฐบาล จึงกลายเป็นเครื่องมือหรือ “ตัวช่วย”แสวงประโยชน์ของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นครองอำนาจ ทั้งที่ได้จากการแย่งยึดด้วยกำลังทหาร และที่ได้จากการซื้อเสียงในสนามเลือกตั้ง
เมื่อผู้ใช้อำนาจเป็นปัญหาเสียเอง ประเทศก็เสื่อม ประชาชนก็หมดที่พึ่ง จึงต้องรวมตัวกันเข้าหาทางออกให้แก่ประเทศชาติ แก่ตนเอง
เมื่อประชาชนรวมตัวกันเข้าแสดงพลัง “ไม่เอาการเมืองเก่า” ปฏิเสธนักการเมืองน้ำเน่า ทำการเคลื่อนไหวต่อต้านการทุจริตโกงกินทุกรูปแบบ จึงได้รับการขานรับอย่างกว้างขวางจากทุกวงการที่ต้องการเห็นประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
กระนั้น เมื่อประชาชนทนไม่ได้ มีการรวมพลังกันเข้า พร้อมพัฒนาขึ้นเป็นขบวนการระดับชาติ กำหนดการเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน กลุ่มอำนาจทั้งเก่าและใหม่จึงพากันปรับตัว ด้านหนึ่ง หาทางขัดขวางการเปลี่ยนแปลง อีกด้านหนึ่งพยายามฉกฉวยโอกาส แย่งชิงการนำการเปลี่ยนแปลงไปจากขบวนการการเมืองภาคประชาชน เพื่อ “กำหนด” ทิศทางการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ตนต้องการ
ในทัศนะของผม เห็นว่า ขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้พิสูจน์ตนเองในท่ามกลางการต่อสู้มาแล้วอย่างโชกโชนตั้งแต่ปลายปี 2548
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้อย่างยืดเยื้อยาวนาน 193 วัน พวกเขาได้พิสูจน์ให้คนไทยและคนทั้งโลกได้เห็นอย่างชัดเจนถึงแก่นแท้ของความเป็นผู้มีจิตใจที่เสียสละ กล้าหาญ ซื่อสัตย์ รวมทั้งพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถที่พร้อมจะนำประชาชนชาวไทยที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ รักความก้าวหน้า รักความเป็นธรรมทั้งหลายทั้งปวง ทำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
ในห้วงเวลาร่วม 4 ปีที่ผ่านมา ด้วยแนวคิดทิศทางที่ถูกต้องและอุดมการณ์อันสูงส่ง ทำให้ขบวนการการเมืองภาคประชาชนขยายตัวเติบใหญ่ดุจ “ไฟลามทุ่ง”
ทั้งนี้เพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ภายใต้การนำของแกนนำชุดปัจจุบันได้พัฒนารูปแบบ ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีการเคลื่อนไหวต่อสู้อย่างต่อเนื่องทั้งในห้วงการเคลื่อนไหวใหญ่ และในห้วงว่างเว้นจากการเคลื่อนไหวใหญ่ สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการเคลื่อนไหวใหญ่และหลังจากนั้นได้ทีละเปราะๆ เรียนรู้ที่จะสรุปบทเรียน สั่งสมประสบการณ์และยกระดับความคิดทฤษฎีได้เป็นขั้นๆ รวมทั้งได้เกิดกระบวนการนวัตกรรมเครื่องมือสำคัญๆ สำหรับสนับสนุนการเคลื่อนไหว และใช้ดำเนินการต่อสู้ในด้านต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น สื่อในเครือเอเอสทีวี (สถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เป็นต้น) พรรคการเมืองใหม่ และเอเอสทีวีช้อปที่กำลังพัฒนาขึ้น ตลอดจนวิทยุชุมชนในจังหวัดต่างๆ
และอื่นๆ อีกมากมาย
ทั้งหมดนั้น ได้ถักทอต่อเชื่อมกันเข้าเป็นเครือข่ายสถาบันอำนาจทางการเมืองของภาคประชาชน ที่มีฐานมวลชนที่ตื่นแล้วกว้างขวางที่สุด และมีความน่าเชื่อถือสูงสุด ยิ่งกว่ากลุ่มหรือพรรคการเมืองอื่นใด ทั้งในและนอกระบบรัฐสภา
ดังนั้น ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงอยู่ในฐานะเป็น “ปัจจัยกำหนด” การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยยุคใหม่นี้ อยู่ในฐานะเป็นหลักเป็นแกนที่ไม่มีใครอาจปฏิเสธได้ ผู้ใดต้องการเข้ามีส่วนร่วมด้วย ก่อนอื่นใดต้องยอมรับและสนับสนุนแนวคิดทิศทางของพันธมิตรฯโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น
กระนั้น พันธมิตรฯ และพรรคการเมืองใหม่ จำเป็นต้องนำเสนอแนวนโยบายให้ทุกภาคส่วนของสังคมไทยได้รับทราบ เพื่อให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมพิจารณา เสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติม สะท้อนความต้องการของตนเอง ซึ่งจะทำให้พันธมิตรฯ และพรรคการเมืองใหม่สามารถพัฒนาแนวนโยบายได้รอบด้าน ครอบคลุมมากที่สุดในทุกขั้นตอน
ในที่นี้ ผมขอเสนอเป็น “หลักนโยบาย” ที่ถือเอาคุณภาพชีวิตของ “คน” ซึ่งก็คือคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศเป็นที่ตั้ง
“หลักนโยบาย” หมายถึงหลักยึดพื้นฐานในการกำหนดนโยบาย เพื่อให้นโยบายต่างๆ สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของประเทศชาติและความเรียกร้องต้องการที่แท้จริงของประชาชน
ผมขอเสนอหลักนโยบาย 3 ประการ ดังนี้
1. การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยแก่การดำรงชีวิต
ครอบคลุมทั้งการขจัดปัญหาวิกฤตต่างๆ ที่มีอยู่และการพัฒนาสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมใหม่ๆ ในทุกๆ ด้าน ทั้งทางด้านธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและวัฒนธรรม เป็นต้น เพื่อให้เอื้ออำนวยแก่การดำรงชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่มากที่สุด นับเป็นมาตรการเบื้องต้นของการสร้างสังคมอุดมธรรม เพื่อชีวิตอุดมสุข
2. การสร้างและพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็นสำหรับอำนวยความสะดวกให้แก่การดำเนินชีวิต
มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งในด้านลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่การประกอบกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งในเมืองและชนบท
3. การสร้างระบบความสัมพันธ์ทางสังคมที่ส่งเสริมและกระตุ้นให้สมาชิกสังคมส่วนใหญ่กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก มีอิสรภาพทางกาย ใจ และสติปัญญาตั้งแต่ต้นจนปลาย
ระบบความสัมพันธ์ทางสังคมเช่นนี้ จะนำไปสู่การ “ระเบิดใหญ่” ของคุณภาพคนไทยที่จะแสดงออกในทุกมิติของการขับเคลื่อนของสังคมไทย ทั้งทางเศรษฐกิจการผลิต การค้าการลงทุน การศึกษาค้นคว้าวิจัย การนวัตกรรมใหม่ๆ และศิลปวัฒนธรรม
ด้วยความพร้อมทางด้านพลังอำนาจทางการเมืองที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ที่นับวันได้รับการยอมรับและสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากมวลมหาชนชาวไทยทั้งในและต่างประเทศ บวกกับแนวนโยบายที่ถูกต้อง “โดนใจ” คนไทยส่วนใหญ่ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โอกาสที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ย่อมจะมาถึง ในไม่ช้า อย่างแน่นอน
โดยขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คือ “ปัจจัยกำหนด”
โดยภาพรวมคือ ผู้ใช้อำนาจกลายเป็นผู้สร้างปัญหาให้แก่ประเทศชาติ สร้างความทุกข์ยากให้แก่ประชาชน กลไกรัฐทุกภาคส่วนที่ต้องทำงานสนองนโยบายรัฐบาล จึงกลายเป็นเครื่องมือหรือ “ตัวช่วย”แสวงประโยชน์ของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นครองอำนาจ ทั้งที่ได้จากการแย่งยึดด้วยกำลังทหาร และที่ได้จากการซื้อเสียงในสนามเลือกตั้ง
เมื่อผู้ใช้อำนาจเป็นปัญหาเสียเอง ประเทศก็เสื่อม ประชาชนก็หมดที่พึ่ง จึงต้องรวมตัวกันเข้าหาทางออกให้แก่ประเทศชาติ แก่ตนเอง
เมื่อประชาชนรวมตัวกันเข้าแสดงพลัง “ไม่เอาการเมืองเก่า” ปฏิเสธนักการเมืองน้ำเน่า ทำการเคลื่อนไหวต่อต้านการทุจริตโกงกินทุกรูปแบบ จึงได้รับการขานรับอย่างกว้างขวางจากทุกวงการที่ต้องการเห็นประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
กระนั้น เมื่อประชาชนทนไม่ได้ มีการรวมพลังกันเข้า พร้อมพัฒนาขึ้นเป็นขบวนการระดับชาติ กำหนดการเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน กลุ่มอำนาจทั้งเก่าและใหม่จึงพากันปรับตัว ด้านหนึ่ง หาทางขัดขวางการเปลี่ยนแปลง อีกด้านหนึ่งพยายามฉกฉวยโอกาส แย่งชิงการนำการเปลี่ยนแปลงไปจากขบวนการการเมืองภาคประชาชน เพื่อ “กำหนด” ทิศทางการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ตนต้องการ
ในทัศนะของผม เห็นว่า ขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้พิสูจน์ตนเองในท่ามกลางการต่อสู้มาแล้วอย่างโชกโชนตั้งแต่ปลายปี 2548
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้อย่างยืดเยื้อยาวนาน 193 วัน พวกเขาได้พิสูจน์ให้คนไทยและคนทั้งโลกได้เห็นอย่างชัดเจนถึงแก่นแท้ของความเป็นผู้มีจิตใจที่เสียสละ กล้าหาญ ซื่อสัตย์ รวมทั้งพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถที่พร้อมจะนำประชาชนชาวไทยที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ รักความก้าวหน้า รักความเป็นธรรมทั้งหลายทั้งปวง ทำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
ในห้วงเวลาร่วม 4 ปีที่ผ่านมา ด้วยแนวคิดทิศทางที่ถูกต้องและอุดมการณ์อันสูงส่ง ทำให้ขบวนการการเมืองภาคประชาชนขยายตัวเติบใหญ่ดุจ “ไฟลามทุ่ง”
ทั้งนี้เพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ภายใต้การนำของแกนนำชุดปัจจุบันได้พัฒนารูปแบบ ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีการเคลื่อนไหวต่อสู้อย่างต่อเนื่องทั้งในห้วงการเคลื่อนไหวใหญ่ และในห้วงว่างเว้นจากการเคลื่อนไหวใหญ่ สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการเคลื่อนไหวใหญ่และหลังจากนั้นได้ทีละเปราะๆ เรียนรู้ที่จะสรุปบทเรียน สั่งสมประสบการณ์และยกระดับความคิดทฤษฎีได้เป็นขั้นๆ รวมทั้งได้เกิดกระบวนการนวัตกรรมเครื่องมือสำคัญๆ สำหรับสนับสนุนการเคลื่อนไหว และใช้ดำเนินการต่อสู้ในด้านต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น สื่อในเครือเอเอสทีวี (สถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เป็นต้น) พรรคการเมืองใหม่ และเอเอสทีวีช้อปที่กำลังพัฒนาขึ้น ตลอดจนวิทยุชุมชนในจังหวัดต่างๆ
และอื่นๆ อีกมากมาย
ทั้งหมดนั้น ได้ถักทอต่อเชื่อมกันเข้าเป็นเครือข่ายสถาบันอำนาจทางการเมืองของภาคประชาชน ที่มีฐานมวลชนที่ตื่นแล้วกว้างขวางที่สุด และมีความน่าเชื่อถือสูงสุด ยิ่งกว่ากลุ่มหรือพรรคการเมืองอื่นใด ทั้งในและนอกระบบรัฐสภา
ดังนั้น ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงอยู่ในฐานะเป็น “ปัจจัยกำหนด” การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยยุคใหม่นี้ อยู่ในฐานะเป็นหลักเป็นแกนที่ไม่มีใครอาจปฏิเสธได้ ผู้ใดต้องการเข้ามีส่วนร่วมด้วย ก่อนอื่นใดต้องยอมรับและสนับสนุนแนวคิดทิศทางของพันธมิตรฯโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น
กระนั้น พันธมิตรฯ และพรรคการเมืองใหม่ จำเป็นต้องนำเสนอแนวนโยบายให้ทุกภาคส่วนของสังคมไทยได้รับทราบ เพื่อให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมพิจารณา เสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติม สะท้อนความต้องการของตนเอง ซึ่งจะทำให้พันธมิตรฯ และพรรคการเมืองใหม่สามารถพัฒนาแนวนโยบายได้รอบด้าน ครอบคลุมมากที่สุดในทุกขั้นตอน
ในที่นี้ ผมขอเสนอเป็น “หลักนโยบาย” ที่ถือเอาคุณภาพชีวิตของ “คน” ซึ่งก็คือคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศเป็นที่ตั้ง
“หลักนโยบาย” หมายถึงหลักยึดพื้นฐานในการกำหนดนโยบาย เพื่อให้นโยบายต่างๆ สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของประเทศชาติและความเรียกร้องต้องการที่แท้จริงของประชาชน
ผมขอเสนอหลักนโยบาย 3 ประการ ดังนี้
1. การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยแก่การดำรงชีวิต
ครอบคลุมทั้งการขจัดปัญหาวิกฤตต่างๆ ที่มีอยู่และการพัฒนาสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมใหม่ๆ ในทุกๆ ด้าน ทั้งทางด้านธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและวัฒนธรรม เป็นต้น เพื่อให้เอื้ออำนวยแก่การดำรงชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่มากที่สุด นับเป็นมาตรการเบื้องต้นของการสร้างสังคมอุดมธรรม เพื่อชีวิตอุดมสุข
2. การสร้างและพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็นสำหรับอำนวยความสะดวกให้แก่การดำเนินชีวิต
มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งในด้านลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่การประกอบกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของประชาชนส่วนใหญ่ทั้งในเมืองและชนบท
3. การสร้างระบบความสัมพันธ์ทางสังคมที่ส่งเสริมและกระตุ้นให้สมาชิกสังคมส่วนใหญ่กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก มีอิสรภาพทางกาย ใจ และสติปัญญาตั้งแต่ต้นจนปลาย
ระบบความสัมพันธ์ทางสังคมเช่นนี้ จะนำไปสู่การ “ระเบิดใหญ่” ของคุณภาพคนไทยที่จะแสดงออกในทุกมิติของการขับเคลื่อนของสังคมไทย ทั้งทางเศรษฐกิจการผลิต การค้าการลงทุน การศึกษาค้นคว้าวิจัย การนวัตกรรมใหม่ๆ และศิลปวัฒนธรรม
ด้วยความพร้อมทางด้านพลังอำนาจทางการเมืองที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ที่นับวันได้รับการยอมรับและสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากมวลมหาชนชาวไทยทั้งในและต่างประเทศ บวกกับแนวนโยบายที่ถูกต้อง “โดนใจ” คนไทยส่วนใหญ่ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โอกาสที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ย่อมจะมาถึง ในไม่ช้า อย่างแน่นอน
โดยขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คือ “ปัจจัยกำหนด”