ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเดินทางไปพักผ่อนที่จังหวัดกระบี่
จังหวัดนี้ ไม่ได้มีดีแค่ทะเล
มากระบี่ทุกครั้ง จะได้เจอเรื่องประทับใจทุกที มาเที่ยวนี้ก็เช่นเดียวกัน ตั้งแต่เข้าพักที่ Red Ginger Chic Resort (แปลว่า “ขิงแดง”) บริหารงานโดยลูกสาวของคุณพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็ได้สัมผัสความแตกต่าง เพราะเป็นรีสอร์ตขนาดกลางๆ ไม่เน้นความโอ่อ่า แต่เอาใจใส่ในความสะดวกสบาย ความเก๋ไก๋ มีสีสัน สะอาดสะอ้านและเป็นมิตร อยู่แถวๆ อ่าวนาง ต่อกับหาดนพรัตน์ธารา
ความเป็น Chic Resort ก็บอกในตัวอยู่แล้วว่า บรรยากาศของสถานที่พักจะออกแนว Chic คือ เน้นความเก๋ไก๋ ทันสมัยแบบมีสไตล์ มีสีสัน ตามแนวฮิตของคนรุ่นใหม่วัยทำงาน คนรุ่นใหม่วัยเริ่มชราอย่างเราได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ก็กระชุ่มกระชวยดี
ที่แปลกๆ ที่ได้ไปในเที่ยวนี้ คือ น้ำตกร้อนที่คลองท่อม
เคยไปแต่น้ำพุร้อน ไม่เคยไปน้ำตกร้อน
คราวนี้ มีโอกาสได้ไปเห็นไปเล่น ก็แปลกดี เป็นน้ำร้อนที่พุ่งขึ้นมาจากใต้แผ่นดิน ไหลเป็นธารน้ำพุร้อน ไหลตกลงหน้าผา ผ่านชะง่อนหิน กลายเป็นน้ำตกร้อน อยู่ห่างจากตัวสนามบินราวๆ 35 กิโลเมตร
มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งจากการเดินทางไปกระบี่ครั้งนี้ เห็นว่า คนเดินทางท่องเที่ยวน้อยลงไปมาก บนเครื่องมีผู้โดยสารราวๆ ครึ่งลำ ตามสถานที่ต่างๆ ในตัวจังหวัดก็ดูโหรงเหรง สอบถามคนในพื้นที่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ปกติช่วง ก.ย. ของทุกปี จะมีคนมากกว่านี้เท่าตัว
สะท้อนพิษเศรษฐกิจ ผู้คนอาจจะยังไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย เดินทางท่องเที่ยวกันเต็มที่ หวังว่าเข้าหน้าไฮท์ซีซั่น หรือหมดฤดูฝน คงจะดีกว่านี้มาก (ช่วงนี้ ไปกระบี่ยังเจอฝนทุกวัน ขณะที่กำลังเขียน ก็ฟังเสียงฝนไปด้วย)
ราวๆ เที่ยง วันอาทิตย์ กำลังจะไปเที่ยวเกาะ ได้รับโทรศัพท์จาก ส.ส.ท่านหนึ่ง โทรมาเล่าให้ฟังว่า คลื่นวิทยุ 100.5 ออกอากาศที่กรุงเทพฯ รายการ “ลับ ลวง พราง” ของ “วาสนา นาน่วม” ช่วงเวลาประมาณ 10.30-11.00 น. ผู้ดำเนินรายการเป็น “จอม เพชรประดับ” ได้สัมภาษณ์นักโทษหนีคุก ผู้ร้ายหลบหนีอาญาแผ่นดิน “ทักษิณ ชินวัตร”
ออกอากาศอยู่เป็นเวลานาน ครึ่งชั่วโมง
นับเป็นสิทธิพิเศษ เพราะขนาดเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ ป.ป.ช. หรือแม้กระทั่งศาล ต้องการตัวทักษิณกลับเข้ามาดำเนินคดี นำตัวมาซักถาม ตอบข้อกล่าวหาในกระบวนการยุติธรรม ก็ไม่สามารถกระทำได้ แต่รายการวิทยุ “ลับ ลวง พราง” ได้กระทำอย่างไม่เกรงใจต่อระบบยุติธรรมของประเทศไทย
ถ้าจะมองในแง่วิชาชีพของคนทำสื่อ มองในมุมของคนทำรายการ อาจจะอ้างว่า การทำสื่อย่อมมีเสรีภาพที่จะเชิญคนมาออกรายการ โดยเฉพาะคนที่ประชาชนสนใจ มีความอยากเห็น อยากดู อยากฟัง แต่ในขณะเดียวกัน คนในวิชาชีพสื่อก็มีประเด็นอื่นๆ ที่ต้องชั่งน้ำหนักอีกหลายประเด็น
มิฉะนั้น คนทำสื่อก็จะกลายเป็นแค่ “ผู้ตอบสนองความอยาก”
ทั้ง “ความอยากของตนเอง” และ “ความอยากของคนฟังคนดูบางคน”
1) ทักษิณ ชินวัตร มีสถานะเป็นนักโทษหนีคดี หนีคุกหนีตะราง เป็นผู้ไม่ยอมรับโทษตามระบบยุติธรรมของประเทศไทย และยังมีพฤติกรรมดูหมิ่น ใส่ร้ายป้ายสีระบบยุติธรรมของไทย
ต้องพิจารณาว่า สมควรหรือไม่ที่จะให้ทักษิณออกมาพูดแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ เพราะหากมีการกระทบต่อผู้อื่น หรือเสียหายต่อส่วนรวม เขาก็ปฏิเสธที่จะรับผิดชอบตามกฎหมาย
หรือนายจอม เพชรประดับ จะสามารถไปนำตัวทักษิณ กลับมารับโทษตามกฎหมาย เพื่อรับผิดชอบตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมต่อความเสียหายที่เขากระทำได้
อย่างนี้ เท่ากับว่า ไม่เป็นธรรมต่อส่วนรวมเลย ใช่หรือไม่
2) ถ้าให้คนกระทำผิด หนีคุกหนีตะราง ได้สิทธิพิเศษในการพูดโดยไม่ต้องรับผิดชอบเช่นนี้ กรณีของคนที่มีพฤติกรรมคล้ายกันกรณีอื่นๆ ก็จะต้องให้สิทธิโดยเท่าเทียวมกันหรือไม่ เช่น นายราเกซ สักเสนา นายปิ่น จักกะพาท นายวัฒนา อัศวเหม นายสมชาย คุณปลื้ม ฯลฯ
โดยที่คนเหล่านี้ นอกจากหลบหนีคดีแล้ว ไม่ได้มีพฤติกรรมกระทำความผิดซ้ำซาก ปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนทักษิณด้วยซ้ำ
ยิ่งกว่านั้น และถ้าเทียบกับนักโทษที่ติดคุก ยอมรับโทษตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งตัวเขาเองก็ยังมีความไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาล ไม่ว่าจะบางส่วนหรือทั้งหมด แต่ปัจจุบันพวกเขาก็ยังติดคุกตามคำพิพากษาของศาล บางคนยังมีคดีความติดค้าง ยังต้องออกจากคุกมาขึ้นศาลอยู่ระยะๆ ด้วยซ้ำ เช่น นายรักเกียรติ สุขธนะ หรือแม้แต่พลตำรวจโทชลอ เกิดเทศ เป็นต้น
จะว่าไปแล้ว คนที่ยอมรับคำพิพากษาของศาลเหล่านี้ น่าจะมีสิทธิ หรือมีโอกาสได้สื่อสารกับสาธารณะชน มากกว่าคนหนีความรับผิดชอบอย่างทักษิณด้วยซ้ำไป
3) ปัจจุบัน ทักษิณยังมีคดีอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ถูกกล่าวหาว่าทุจริตร้ายแรงหลายคดี รวมถึงคดีทุจริตที่อยู่ในชั้นศาลอีกหลายคดี เช่น คดีทุจริตหวยบนดิน, คดีทุจริตเงินกู้เอ็กซิมแบงก์, คดีทุจริตร่ำรวยผิดปกติ ยึดทรัพย์ 76,000 ล้าน ฯลฯ และยังมีคดีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว คือ คดีที่ดินรัชดา ให้ลงโทษจำคุกทักษิณ 2 ปี ไม่รอลงอาญา เป็นต้น
สมควรหรือไม่ ให้ทักษิณมาพูดแก้ตัวข้างเดียวในสื่อ ทั้งๆ ที่ เคยแก้ต่างในศาลไปแล้ว แต่ดิ้นไม่หลุด
นักการเมืองต่างชาติที่ถูกดำเนินคดีทุจริต มีคดีอยู่ในศาล ถูกศาลพิพากาจำคุกไปแล้ว เคยมีโอกาสได้มาพูดคุยสื่อสารทางการเมืองกับประชาชนแบบที่ทักษิณกำลังได้โอกาสใช้สถานีวิทยุของรัฐ เอฟเอ็ม 100.5 กระทำการอยู่นั้น หรือไม่
ถ้ากระทำได้ คนอื่นๆ ที่ถูกกล่าวหา ถูกศาลพิพากษาแล้ว หลบหนีคดีไปต่างประเทศ ก็ต้องได้รับโอกาสเช่นกัน หรือไม่
4) ทักษิณเป็นบุคคลที่ถูกรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ระบุว่า อยากจะกลับมาเป็นประธานาธิบดี ทำให้ทักษิณจัดการฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แต่ในที่สุด ศาลตัดสินพิพากษาแล้วว่า นายสุเทพไม่มีความผิด เพราะเป็นการติชมโดยสุจริตใจ
โดยในคำพิพากษาของศาล ระบุถึงพฤติการณ์ของทักษิณหลายกรณี ที่เป็นเหตุให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งข้อสงสัย และถูกว่ากล่าวตักเตือนดังกล่าวได้
ทักษิณ เป็นคนที่มีพฤติกรรมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ปรากฏในคำพิพากษาของศาลเช่นนี้ ถึงขนาดนี้แล้ว นายจอม เพชรประดับ (ซึ่งเคยบินไปสัมภาษณ์ทักษิณถึงต่างแดนมาแล้ว) ยังควรจะให้สิทธิพิเศษแก่ทักษิณในการใช้สื่อของรัฐต่อไป อย่างนั้นหรือ
5) ทักษิณแสดงตนให้เห็นชัดเจนว่า เป็นผู้เกี่ยวข้อง หรืออยู่เบื้อหลังเหตุการณ์จลาจล เผาบ้านเผาเมืองในช่วงสงกรานต์ ทำการปลุกระดมสั่งการประชาชนให้ออกมาก่อความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ในทางเปิดเผย เช่น “ผมแพ้ไม่ได้” – “อย่ากลับบ้านมือเปล่า” – เราต้องไม่ถอย มีแต่บุกไม่มีถอย” – “เสียงปืนแตก จะลับมานำประชาชนด้วยตนเอง” ฯลฯ
ขณะนี้ ทักษิณก็เป็นหนึ่งในผู้ที่กำลังถูกกระบวนการยุติธรรมของไทยดำเนินคดีดังกล่าว แต่หลบหนี ไม่ยอมมาพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม
สื่อมวลชน โดยสำนึกแห่งวิชาชีพ แต่โดยสำนึกของความเป็นพลเมืองที่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ ระบบนิติรัฐ และความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ควรให้สิทธิเพิเศษแก่คนเช่นนี้หรือไม่
6) คนทำสื่อ หากคิดแต่จะทำให้รายการตัวเองดัง มีคนพูดถึง มีคนวิพากษ์วิจารณ์ถึง เป็นที่ฮือฮา แต่ละเลยที่จะตระหนักถึงผลกระทบต่อส่วนรวม
คนเช่นนี้ ควรเรียกตัวเองว่า ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน หรือไม่
เชื่อว่า โสเภณี หากรู้ว่าคนที่มาใช้บริการเป็นเอดส์ เขาก็จะมีวิธีป้องกัน หรือหลีกเลี่ยง เพื่อมิให้ตัวเองติดโรค และมิให้เชื้อโรคร้ายเสี่ยงที่จะแพร่ไปถึงลูกค้าคนอื่นๆ แม้จะทำให้เขาต้องสูญเสียผลประโยชน์ไปบ้างก็ตาม
แต่กรณีนายจอม เพชรประดับ และรายการวิทยุ “ลับ ลวง พราง” คลื่นวิทยุ 100.5 เอฟเอ็ม ของ อสมท. ได้คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ หรือไม่
7) แน่นอน... ในฐานะสื่อมวลชน นายจอม เพชรประดับ หรือวาสนา นาน่วม หรือสื่อมวลชนอื่นๆ ย่อมมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น “ของตน” โดยสุจริต ว่าอยากจะเห็นบ้านเมืองเดินไปอย่างไร ตลอดจนวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นสาธารณะในบ้านเมืองอย่างเต็มที่ ภายใต้ความรับผิดชอบของตนตามกฎหมาย
หากเชื่อโดยสุจริตใจว่า บ้านเมืองควรจะเดินไปตามแนวของทักษิณ ก็ควรยืดอกพูดด้วยตนเอง แสดงจุดยืนของตนเอง อธิบายเหตุและผล จากปากและสมองของตนเอง ไม่ใช่ไปเอานักโทษมาพูด
หากทำเช่นนี้ นอกจากจะช่วยให้ความจริง “แดงออกมาให้หมด” แล้ว ก็จะได้ไม่มีใครถูกครหาว่า รับใช้ หรือสนองความอยากของผู้อื่นผู้ใด นอกจากสนองความอยากของตนเอง
คนทำสื่อ ไม่ใช่จะตอบสนองแค่ความอยาก (ทั้งของตนเองและผู้อื่น) แต่จะต้องคำนึงถึงจรรยาบรรณวิชาชีพ และประโยชน์ของส่วนรวม
เสรีภาพของสื่อมวลชนควรจะมี และต้องมี แต่ยังถูกควบคุมด้วยหน้าที่ จิตสำนึก และอยู่ภายใต้กฎหมาย จรรยาบรรณ จริยธรรม ประโยชน์ของสังคมส่วนรวม
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเดินทางไปพักผ่อนที่จังหวัดกระบี่
จังหวัดนี้ ไม่ได้มีดีแค่ทะเล
มากระบี่ทุกครั้ง จะได้เจอเรื่องประทับใจทุกที มาเที่ยวนี้ก็เช่นเดียวกัน ตั้งแต่เข้าพักที่ Red Ginger Chic Resort (แปลว่า “ขิงแดง”) บริหารงานโดยลูกสาวของคุณพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็ได้สัมผัสความแตกต่าง เพราะเป็นรีสอร์ตขนาดกลางๆ ไม่เน้นความโอ่อ่า แต่เอาใจใส่ในความสะดวกสบาย ความเก๋ไก๋ มีสีสัน สะอาดสะอ้านและเป็นมิตร อยู่แถวๆ อ่าวนาง ต่อกับหาดนพรัตน์ธารา
ความเป็น Chic Resort ก็บอกในตัวอยู่แล้วว่า บรรยากาศของสถานที่พักจะออกแนว Chic คือ เน้นความเก๋ไก๋ ทันสมัยแบบมีสไตล์ มีสีสัน ตามแนวฮิตของคนรุ่นใหม่วัยทำงาน คนรุ่นใหม่วัยเริ่มชราอย่างเราได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ก็กระชุ่มกระชวยดี
ที่แปลกๆ ที่ได้ไปในเที่ยวนี้ คือ น้ำตกร้อนที่คลองท่อม
เคยไปแต่น้ำพุร้อน ไม่เคยไปน้ำตกร้อน
คราวนี้ มีโอกาสได้ไปเห็นไปเล่น ก็แปลกดี เป็นน้ำร้อนที่พุ่งขึ้นมาจากใต้แผ่นดิน ไหลเป็นธารน้ำพุร้อน ไหลตกลงหน้าผา ผ่านชะง่อนหิน กลายเป็นน้ำตกร้อน อยู่ห่างจากตัวสนามบินราวๆ 35 กิโลเมตร
มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งจากการเดินทางไปกระบี่ครั้งนี้ เห็นว่า คนเดินทางท่องเที่ยวน้อยลงไปมาก บนเครื่องมีผู้โดยสารราวๆ ครึ่งลำ ตามสถานที่ต่างๆ ในตัวจังหวัดก็ดูโหรงเหรง สอบถามคนในพื้นที่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ปกติช่วง ก.ย. ของทุกปี จะมีคนมากกว่านี้เท่าตัว
สะท้อนพิษเศรษฐกิจ ผู้คนอาจจะยังไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย เดินทางท่องเที่ยวกันเต็มที่ หวังว่าเข้าหน้าไฮท์ซีซั่น หรือหมดฤดูฝน คงจะดีกว่านี้มาก (ช่วงนี้ ไปกระบี่ยังเจอฝนทุกวัน ขณะที่กำลังเขียน ก็ฟังเสียงฝนไปด้วย)
ราวๆ เที่ยง วันอาทิตย์ กำลังจะไปเที่ยวเกาะ ได้รับโทรศัพท์จาก ส.ส.ท่านหนึ่ง โทรมาเล่าให้ฟังว่า คลื่นวิทยุ 100.5 ออกอากาศที่กรุงเทพฯ รายการ “ลับ ลวง พราง” ของ “วาสนา นาน่วม” ช่วงเวลาประมาณ 10.30-11.00 น. ผู้ดำเนินรายการเป็น “จอม เพชรประดับ” ได้สัมภาษณ์นักโทษหนีคุก ผู้ร้ายหลบหนีอาญาแผ่นดิน “ทักษิณ ชินวัตร”
ออกอากาศอยู่เป็นเวลานาน ครึ่งชั่วโมง
นับเป็นสิทธิพิเศษ เพราะขนาดเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ ป.ป.ช. หรือแม้กระทั่งศาล ต้องการตัวทักษิณกลับเข้ามาดำเนินคดี นำตัวมาซักถาม ตอบข้อกล่าวหาในกระบวนการยุติธรรม ก็ไม่สามารถกระทำได้ แต่รายการวิทยุ “ลับ ลวง พราง” ได้กระทำอย่างไม่เกรงใจต่อระบบยุติธรรมของประเทศไทย
ถ้าจะมองในแง่วิชาชีพของคนทำสื่อ มองในมุมของคนทำรายการ อาจจะอ้างว่า การทำสื่อย่อมมีเสรีภาพที่จะเชิญคนมาออกรายการ โดยเฉพาะคนที่ประชาชนสนใจ มีความอยากเห็น อยากดู อยากฟัง แต่ในขณะเดียวกัน คนในวิชาชีพสื่อก็มีประเด็นอื่นๆ ที่ต้องชั่งน้ำหนักอีกหลายประเด็น
มิฉะนั้น คนทำสื่อก็จะกลายเป็นแค่ “ผู้ตอบสนองความอยาก”
ทั้ง “ความอยากของตนเอง” และ “ความอยากของคนฟังคนดูบางคน”
1) ทักษิณ ชินวัตร มีสถานะเป็นนักโทษหนีคดี หนีคุกหนีตะราง เป็นผู้ไม่ยอมรับโทษตามระบบยุติธรรมของประเทศไทย และยังมีพฤติกรรมดูหมิ่น ใส่ร้ายป้ายสีระบบยุติธรรมของไทย
ต้องพิจารณาว่า สมควรหรือไม่ที่จะให้ทักษิณออกมาพูดแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ เพราะหากมีการกระทบต่อผู้อื่น หรือเสียหายต่อส่วนรวม เขาก็ปฏิเสธที่จะรับผิดชอบตามกฎหมาย
หรือนายจอม เพชรประดับ จะสามารถไปนำตัวทักษิณ กลับมารับโทษตามกฎหมาย เพื่อรับผิดชอบตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมต่อความเสียหายที่เขากระทำได้
อย่างนี้ เท่ากับว่า ไม่เป็นธรรมต่อส่วนรวมเลย ใช่หรือไม่
2) ถ้าให้คนกระทำผิด หนีคุกหนีตะราง ได้สิทธิพิเศษในการพูดโดยไม่ต้องรับผิดชอบเช่นนี้ กรณีของคนที่มีพฤติกรรมคล้ายกันกรณีอื่นๆ ก็จะต้องให้สิทธิโดยเท่าเทียวมกันหรือไม่ เช่น นายราเกซ สักเสนา นายปิ่น จักกะพาท นายวัฒนา อัศวเหม นายสมชาย คุณปลื้ม ฯลฯ
โดยที่คนเหล่านี้ นอกจากหลบหนีคดีแล้ว ไม่ได้มีพฤติกรรมกระทำความผิดซ้ำซาก ปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนทักษิณด้วยซ้ำ
ยิ่งกว่านั้น และถ้าเทียบกับนักโทษที่ติดคุก ยอมรับโทษตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งตัวเขาเองก็ยังมีความไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาล ไม่ว่าจะบางส่วนหรือทั้งหมด แต่ปัจจุบันพวกเขาก็ยังติดคุกตามคำพิพากษาของศาล บางคนยังมีคดีความติดค้าง ยังต้องออกจากคุกมาขึ้นศาลอยู่ระยะๆ ด้วยซ้ำ เช่น นายรักเกียรติ สุขธนะ หรือแม้แต่พลตำรวจโทชลอ เกิดเทศ เป็นต้น
จะว่าไปแล้ว คนที่ยอมรับคำพิพากษาของศาลเหล่านี้ น่าจะมีสิทธิ หรือมีโอกาสได้สื่อสารกับสาธารณะชน มากกว่าคนหนีความรับผิดชอบอย่างทักษิณด้วยซ้ำไป
3) ปัจจุบัน ทักษิณยังมีคดีอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ถูกกล่าวหาว่าทุจริตร้ายแรงหลายคดี รวมถึงคดีทุจริตที่อยู่ในชั้นศาลอีกหลายคดี เช่น คดีทุจริตหวยบนดิน, คดีทุจริตเงินกู้เอ็กซิมแบงก์, คดีทุจริตร่ำรวยผิดปกติ ยึดทรัพย์ 76,000 ล้าน ฯลฯ และยังมีคดีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว คือ คดีที่ดินรัชดา ให้ลงโทษจำคุกทักษิณ 2 ปี ไม่รอลงอาญา เป็นต้น
สมควรหรือไม่ ให้ทักษิณมาพูดแก้ตัวข้างเดียวในสื่อ ทั้งๆ ที่ เคยแก้ต่างในศาลไปแล้ว แต่ดิ้นไม่หลุด
นักการเมืองต่างชาติที่ถูกดำเนินคดีทุจริต มีคดีอยู่ในศาล ถูกศาลพิพากาจำคุกไปแล้ว เคยมีโอกาสได้มาพูดคุยสื่อสารทางการเมืองกับประชาชนแบบที่ทักษิณกำลังได้โอกาสใช้สถานีวิทยุของรัฐ เอฟเอ็ม 100.5 กระทำการอยู่นั้น หรือไม่
ถ้ากระทำได้ คนอื่นๆ ที่ถูกกล่าวหา ถูกศาลพิพากษาแล้ว หลบหนีคดีไปต่างประเทศ ก็ต้องได้รับโอกาสเช่นกัน หรือไม่
4) ทักษิณเป็นบุคคลที่ถูกรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ระบุว่า อยากจะกลับมาเป็นประธานาธิบดี ทำให้ทักษิณจัดการฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แต่ในที่สุด ศาลตัดสินพิพากษาแล้วว่า นายสุเทพไม่มีความผิด เพราะเป็นการติชมโดยสุจริตใจ
โดยในคำพิพากษาของศาล ระบุถึงพฤติการณ์ของทักษิณหลายกรณี ที่เป็นเหตุให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งข้อสงสัย และถูกว่ากล่าวตักเตือนดังกล่าวได้
ทักษิณ เป็นคนที่มีพฤติกรรมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ปรากฏในคำพิพากษาของศาลเช่นนี้ ถึงขนาดนี้แล้ว นายจอม เพชรประดับ (ซึ่งเคยบินไปสัมภาษณ์ทักษิณถึงต่างแดนมาแล้ว) ยังควรจะให้สิทธิพิเศษแก่ทักษิณในการใช้สื่อของรัฐต่อไป อย่างนั้นหรือ
5) ทักษิณแสดงตนให้เห็นชัดเจนว่า เป็นผู้เกี่ยวข้อง หรืออยู่เบื้อหลังเหตุการณ์จลาจล เผาบ้านเผาเมืองในช่วงสงกรานต์ ทำการปลุกระดมสั่งการประชาชนให้ออกมาก่อความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ในทางเปิดเผย เช่น “ผมแพ้ไม่ได้” – “อย่ากลับบ้านมือเปล่า” – เราต้องไม่ถอย มีแต่บุกไม่มีถอย” – “เสียงปืนแตก จะลับมานำประชาชนด้วยตนเอง” ฯลฯ
ขณะนี้ ทักษิณก็เป็นหนึ่งในผู้ที่กำลังถูกกระบวนการยุติธรรมของไทยดำเนินคดีดังกล่าว แต่หลบหนี ไม่ยอมมาพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม
สื่อมวลชน โดยสำนึกแห่งวิชาชีพ แต่โดยสำนึกของความเป็นพลเมืองที่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ ระบบนิติรัฐ และความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ควรให้สิทธิเพิเศษแก่คนเช่นนี้หรือไม่
6) คนทำสื่อ หากคิดแต่จะทำให้รายการตัวเองดัง มีคนพูดถึง มีคนวิพากษ์วิจารณ์ถึง เป็นที่ฮือฮา แต่ละเลยที่จะตระหนักถึงผลกระทบต่อส่วนรวม
คนเช่นนี้ ควรเรียกตัวเองว่า ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน หรือไม่
เชื่อว่า โสเภณี หากรู้ว่าคนที่มาใช้บริการเป็นเอดส์ เขาก็จะมีวิธีป้องกัน หรือหลีกเลี่ยง เพื่อมิให้ตัวเองติดโรค และมิให้เชื้อโรคร้ายเสี่ยงที่จะแพร่ไปถึงลูกค้าคนอื่นๆ แม้จะทำให้เขาต้องสูญเสียผลประโยชน์ไปบ้างก็ตาม
แต่กรณีนายจอม เพชรประดับ และรายการวิทยุ “ลับ ลวง พราง” คลื่นวิทยุ 100.5 เอฟเอ็ม ของ อสมท. ได้คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ หรือไม่
7) แน่นอน... ในฐานะสื่อมวลชน นายจอม เพชรประดับ หรือวาสนา นาน่วม หรือสื่อมวลชนอื่นๆ ย่อมมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น “ของตน” โดยสุจริต ว่าอยากจะเห็นบ้านเมืองเดินไปอย่างไร ตลอดจนวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นสาธารณะในบ้านเมืองอย่างเต็มที่ ภายใต้ความรับผิดชอบของตนตามกฎหมาย
หากเชื่อโดยสุจริตใจว่า บ้านเมืองควรจะเดินไปตามแนวของทักษิณ ก็ควรยืดอกพูดด้วยตนเอง แสดงจุดยืนของตนเอง อธิบายเหตุและผล จากปากและสมองของตนเอง ไม่ใช่ไปเอานักโทษมาพูด
หากทำเช่นนี้ นอกจากจะช่วยให้ความจริง “แดงออกมาให้หมด” แล้ว ก็จะได้ไม่มีใครถูกครหาว่า รับใช้ หรือสนองความอยากของผู้อื่นผู้ใด นอกจากสนองความอยากของตนเอง
คนทำสื่อ ไม่ใช่จะตอบสนองแค่ความอยาก (ทั้งของตนเองและผู้อื่น) แต่จะต้องคำนึงถึงจรรยาบรรณวิชาชีพ และประโยชน์ของส่วนรวม
เสรีภาพของสื่อมวลชนควรจะมี และต้องมี แต่ยังถูกควบคุมด้วยหน้าที่ จิตสำนึก และอยู่ภายใต้กฎหมาย จรรยาบรรณ จริยธรรม ประโยชน์ของสังคมส่วนรวม