พิจิตร– กรมที่ดินสั่งสอบด่วน กระแสข่าวนายทุนต่างด้าวส่งนอมินีกว้านซื้อที่นาเมืองชาละวัน อธิบดีฯส่งหนังสือถึงผู้ว่าฯ-หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบแล้ว เบื้องต้นพบตัวนายหน้าจากนครสวรรค์ พร้อมเร่งหาที่มาเม็ดเงิน ด้านรองผู้ว่าฯประสานตำรวจภูธรภาค 6 – หน่วยข่าวกรอง ร่วมหาข้อเท็จจริงอีกทาง
นางวัชรินทร์ จารุเดชา เจ้าพนักงานที่ดิน จ.พิจิตร เปิดเผยว่า กรณีที่ขณะนี้ที่นาในเขต จ.พิจิตร กำลังได้รับความสนใจ มีผู้มากว้านซื้อที่ดินแปลงใหญ่ใน อ.เมือง อ.สามง่าม อ.บางมูลนาก อ.สากเหล็ก เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ มีระบบชลประทานเข้าถึง จึงทำให้นักลงทุนที่อยากทำการเกษตรสนใจ แห่กันเข้ามาทาบทามขอซื้อที่ดิน ซึ่งเป็นที่จับตามองของทางราชการว่า บุคคลเหล่านี้เป็นกลุ่มทุนจากต่างชาติ หรือคนไทยที่มีฐานะแล้วต้องการพัฒนาด้านการเกษตรจริงๆ นั้น
ล่าสุดนายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลย์วุฒิ อธิบดีกรมที่ดินได้มีหนังสือด่วนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร และส่วนที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบการซื้อขายที่ดินจำนวน 25 แปลง ของ ต.เนินปอ อ.สามง่าม จ.พิจิตร เนื้อที่ 550 ไร่ 3 งาน 73 ตารางวา ซึ่งมีการซื้อขายและโอนกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นเงิน 9,610,000 บาท โดยผู้ซื้อเป็นชาว จ.นครสวรรค์ อ้างว่าจะมาซื้อที่ดินเพื่อทำฟาร์มเลี้ยงสุกร แต่ในส่วนที่ว่าจะเป็นเงินมาจากต่างชาติ หรือกลุ่มอาหรับหรือไม่ ก็กำลังมีการสอบสวนอยู่
ส่วนที่ดินบริเวณหลังวัดเกาะแก้ว ต.สากเหล็ก และ ต.บ้านบุ่ง อ.เมือง จ.พิจิตร ที่มี อดีต ส.ส. ไทยรักไทย จ.พิจิตร ไปซื้อที่ดินทั้ง 2 แห่ง เกือบ 1 พันไร่ มีรายงานว่า ซื้อมาหลายปีแล้ว โดยมีการพัฒนาแนวคันดินป้องกันน้ำท่วม ทำเป็นที่นาแปลงใหญ่เพื่อทำธุรกิจเพาะเมล็ดพันธุ์ข้าวขาย และดำเนินธุรกิจโดยเจ้าของกิจการเป็นคนไทย ส่วนจะมีตื้นลึกหนาบางอย่างไรนั้น ยังไม่มีรายงานเข้ามา
ขณะที่ประเด็นมีการใช้แรงงานต่างด้าวเป็นแรงงานทำการเกษตรในแปลงนาดังกล่าว มิใช่หน้าที่ของสำนักงานที่ดิน คงต้องไปสอบถามฝ่ายปกครองหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้งกระทรวงแรงงานคงจะให้คำตอบได้ดีกว่า
ด้านนายยุทธนา วิริยะกิตติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ก็ได้สั่งการและประสานไปยังหน่วยข่าวกรอง และชุดสืบสวนของตำรวจภูธรภาค 6 ให้สอบประวัติผู้มาซื้อว่า มีแหล่งที่มาของเงินชัดเจนหรือไม่ แต่ตราบใดยังไม่มีหลักฐานก็คงต้องปล่อยให้มีการดำเนินการไปตามสิทธิ อำนาจ หน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนด
ทั้งนี้ ถ้าพบสิ่งผิดปกติก็คงจะต้องใช้มาตรการตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ที่มีข้อกำหนดไว้ว่า การประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตร เช่น ทำนา ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงสัตว์ ทำป่าไม้ ทำประมง และธุรกิจอื่นๆ ที่กำหนดไว้ในบัญชีหนึ่งท้าย พ.ร.บ.ว่า เป็นธุรกิจที่สงวนไว้ให้คนไทยโดยห้ามคนต่างด้าวประกอบธุรกิจดังกล่าวโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนก็ตาม
อย่างไรก็ตาม หากคนต่างด้าวฝ่าฝืนประกอบธุรกิจต้องห้ามดังกล่าว มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 1 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเลิกการประกอบธุรกิจ หากยังฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมีโทษปรับวันละ 1 - 5 หมื่นบาท
สำหรับคนไทยที่ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนหรือร่วมประกอบธุรกิจกับคนต่างด้าว เช่น การถือหุ้นแทนคนต่างด้าว การแสดงออกว่าธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจของตนเองเพื่อให้คนต่างด้าวหลีกเลี่ยงประกอบธุรกิจที่ต้องห้าม ต้องได้รับในอัตราโทษเดียวกัน
ขณะที่การกว้านซื้อที่ดิน 1 พันไร่ ใน อ.บางมูลนาก ขณะนี้อยู่ในขั้นทาบทาม โดยใช้นายหน้าออกไปหาซื้อและวางมัดจำ ซึ่งยังไม่ได้มาทำการโอน แต่ก็ได้รายงานให้ส่วนที่เกี่ยวข้องเฝ้าจับตามองแล้วเช่นกัน