คดีที่"นังมายา-นังเอก หรือนังเพ็ญ" จักรภพ เพ็ญแข ตกเป็นผู้ต้องหาในข้อหา ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการเป็นผู้บรรยายกล่าวบรรยายพิเศษเป็นภาษาอังกฤษที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย ตั้งเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2550 โน้นมาถึงปัจจุบัน เป็นระยะเวลา 2 ปีเต็มแล้ว คดีนี้ มีอุปสรรคตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวน สน.บางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีต่อนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
ที่ว่ามีอุสรรค เพราะขณะนั้น "นังเอก" นิกเนมเดิมของนายจักรภพ มีตำแหน่งทางการเมืองเป็นถึง รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะที่ผู้ฟ้องร้องให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามดำเนินคดีกับรัฐมนตรีนั้น เป็นใครมาจากไหนไม่มีใครรู้ แต่มารู้ภายหลังว่า เขาเป็นนายตำรวจยศ พ.ต.ท. และเป็นข้าราชการตำรวจที่มีความจงรักภักดีอย่างสูงส่งเพียงเท่านั้น
คดีเริ่มพบกับอุปสรรคตั้งแต่ในชั้นพนักงานสอบสวน จนกระทั่งสำนวนคดีถึงมืออัยการ ก็ยังไม่มีการรส่งฟ้องต่อศาล จนกระทั่ง"นังเอก"หรือ"นังเพ็ญ"เผ่นหนีไปกบดานยังนอกประเทศ และจนถึงขณะนี้ อัยการก็ยังไม่ส่งฟ้อง โดยอ้างว่า เอกสารภาษาอังกฤษที่ถอดมาจากคำพูดของนายจักรภพ ยังแปลไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ด้วยสามัญสำนึกง่ายๆของบุคคลทั่วไป จึงเกิดคำถามขึ้นว่า เอกสารดังกล่าวใช้เวลาถึง 2 ปี ยังแปลกันไม่เสร็จหรืออย่างไร
ย้อนกลับไปดูการสั่งเลื่อนคดีในการที่จะฟ้องนายจักรภพนั้น ถูกดำเนินการมาตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนและในชั้นพนักงานอัยการรวมทั้งหมด 5 ครั้ง ประกอบด้วย
ในชั้นพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2551 ทนายความนายจักรภพ ไปกองปราบ ร้องขอสอบพยานเพิ่มอีก 18 ปาก และต่อมาได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจ ขอเลื่อนส่งตัว และสำนวนคดีไปให้อัยการ จากนั้นมีการยื้อ จนต้องเริ่มต้นขั้นตอนใหม่ ด้วยการสอบพยานเพิ่ม ส่งให้คณะกรรมการหลายระดับพิจารณา ก่อนจะสรุปสำนวนสั่งฟ้องและส่งให้กับอัยกาาร
ในชั้นอัยการ ครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2552 อัยการได้ลื่อนสั่งคดีออกไปโดยระบุว่า พบข้อบกพร่องบางประการเกี่ยวกับการแปลความถ้อยคำ จึงมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามไปทำการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็น
15 มิ.ย. 2552 อัยการนัดเลื่อนสั่งคดีอีก เนื่องจากพนักงานสอบสวนยังสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นเรื่องการแปลเอกสาร และสอบพยานในส่วนที่ผู้ต้องหาร้องขอยังไม่แล้วเสร็จ คณะทำงานอัยการ จึงได้ทำหนังสือเร่งรัดให้ดำเนินการโดยเร็ว และให้เลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีออกไปอีก
17 ก.ค. 2552 ทนายความ นายจักรภพ เดินทางมาพบอัยการ พร้อมยื่นเรื่องขอเลื่อนนัดฟังคำสั่ง ขณะที่อัยการยังต้องรอผลการสอบสวนเพิ่มเติม ดังนั้น จึงเลื่อนนัดการสั่งคดีออกไปก่อนเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน
ล่าสุด 4 ก.ย. อัยการ มีคำสั่งเลื่อนนัดสั่งคดีออกไปอีก เนื่องจากหัวหน้าคณะทำงานอัยการคดีนี้ ยังไม่ส่งผลสรุปความเห็นอัยการเกี่ยวกับการสั่งคดีนายจักรภพมาให้พิจารณา อีกทั้งพนักงานสอบสวนยังไม่ส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นการแปลเอกสารคำบรรยายภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย รวมทั้งยังไม่ส่งผลการสอบปากคำพยานบุคคลที่นายจักรภพร้องขอความเป็นธรรมให้สอบเพิ่มเติมมาให้ ทำให้อัยการยังไม่สรุปว่า จะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง และให้เลื่อนออกไปอีก 1 เดือน
ส่วนการดำเนินคดีกับนายจักรภพ นั้น มีขั้นตอนที่ถูกยื้อไปยื้อมาหลายครั้งหลายหน โดยเฉพาะในชั้นพนักงานสอบสวน ซึ่งคงต้องย้อนกลับไปดูการดำเนินการฟ้องร้องนายจักรภพ ตั้งแต่พนักงานสอบสวนกองปราบปรามรับเรื่องของ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ไว้ แล้วต้องนำเสนอต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูง ตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในคดีที่เกี่ยวกับการหมิ่นเบื้องสูง เพราะสาเหตุเพียงว่า " ยังแปลเอกสารไม่เสร็จสมบูรณ์ "
ที่ว่ามีอุสรรค เพราะขณะนั้น "นังเอก" นิกเนมเดิมของนายจักรภพ มีตำแหน่งทางการเมืองเป็นถึง รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะที่ผู้ฟ้องร้องให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามดำเนินคดีกับรัฐมนตรีนั้น เป็นใครมาจากไหนไม่มีใครรู้ แต่มารู้ภายหลังว่า เขาเป็นนายตำรวจยศ พ.ต.ท. และเป็นข้าราชการตำรวจที่มีความจงรักภักดีอย่างสูงส่งเพียงเท่านั้น
คดีเริ่มพบกับอุปสรรคตั้งแต่ในชั้นพนักงานสอบสวน จนกระทั่งสำนวนคดีถึงมืออัยการ ก็ยังไม่มีการรส่งฟ้องต่อศาล จนกระทั่ง"นังเอก"หรือ"นังเพ็ญ"เผ่นหนีไปกบดานยังนอกประเทศ และจนถึงขณะนี้ อัยการก็ยังไม่ส่งฟ้อง โดยอ้างว่า เอกสารภาษาอังกฤษที่ถอดมาจากคำพูดของนายจักรภพ ยังแปลไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ด้วยสามัญสำนึกง่ายๆของบุคคลทั่วไป จึงเกิดคำถามขึ้นว่า เอกสารดังกล่าวใช้เวลาถึง 2 ปี ยังแปลกันไม่เสร็จหรืออย่างไร
ย้อนกลับไปดูการสั่งเลื่อนคดีในการที่จะฟ้องนายจักรภพนั้น ถูกดำเนินการมาตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนและในชั้นพนักงานอัยการรวมทั้งหมด 5 ครั้ง ประกอบด้วย
ในชั้นพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2551 ทนายความนายจักรภพ ไปกองปราบ ร้องขอสอบพยานเพิ่มอีก 18 ปาก และต่อมาได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจ ขอเลื่อนส่งตัว และสำนวนคดีไปให้อัยการ จากนั้นมีการยื้อ จนต้องเริ่มต้นขั้นตอนใหม่ ด้วยการสอบพยานเพิ่ม ส่งให้คณะกรรมการหลายระดับพิจารณา ก่อนจะสรุปสำนวนสั่งฟ้องและส่งให้กับอัยกาาร
ในชั้นอัยการ ครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2552 อัยการได้ลื่อนสั่งคดีออกไปโดยระบุว่า พบข้อบกพร่องบางประการเกี่ยวกับการแปลความถ้อยคำ จึงมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามไปทำการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็น
15 มิ.ย. 2552 อัยการนัดเลื่อนสั่งคดีอีก เนื่องจากพนักงานสอบสวนยังสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นเรื่องการแปลเอกสาร และสอบพยานในส่วนที่ผู้ต้องหาร้องขอยังไม่แล้วเสร็จ คณะทำงานอัยการ จึงได้ทำหนังสือเร่งรัดให้ดำเนินการโดยเร็ว และให้เลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีออกไปอีก
17 ก.ค. 2552 ทนายความ นายจักรภพ เดินทางมาพบอัยการ พร้อมยื่นเรื่องขอเลื่อนนัดฟังคำสั่ง ขณะที่อัยการยังต้องรอผลการสอบสวนเพิ่มเติม ดังนั้น จึงเลื่อนนัดการสั่งคดีออกไปก่อนเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน
ล่าสุด 4 ก.ย. อัยการ มีคำสั่งเลื่อนนัดสั่งคดีออกไปอีก เนื่องจากหัวหน้าคณะทำงานอัยการคดีนี้ ยังไม่ส่งผลสรุปความเห็นอัยการเกี่ยวกับการสั่งคดีนายจักรภพมาให้พิจารณา อีกทั้งพนักงานสอบสวนยังไม่ส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นการแปลเอกสารคำบรรยายภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย รวมทั้งยังไม่ส่งผลการสอบปากคำพยานบุคคลที่นายจักรภพร้องขอความเป็นธรรมให้สอบเพิ่มเติมมาให้ ทำให้อัยการยังไม่สรุปว่า จะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง และให้เลื่อนออกไปอีก 1 เดือน
ส่วนการดำเนินคดีกับนายจักรภพ นั้น มีขั้นตอนที่ถูกยื้อไปยื้อมาหลายครั้งหลายหน โดยเฉพาะในชั้นพนักงานสอบสวน ซึ่งคงต้องย้อนกลับไปดูการดำเนินการฟ้องร้องนายจักรภพ ตั้งแต่พนักงานสอบสวนกองปราบปรามรับเรื่องของ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ไว้ แล้วต้องนำเสนอต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูง ตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในคดีที่เกี่ยวกับการหมิ่นเบื้องสูง เพราะสาเหตุเพียงว่า " ยังแปลเอกสารไม่เสร็จสมบูรณ์ "