กลุ่มไทยเจริญคอร์ปอเรชั่น หรือ ทีซีซี กรุ๊ป คือ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งของคนไทย ที่ได้ก่อกำเนิดมาจากนายเจริญและคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี เจ้าของธุรกิจน้ำเมา จนสามารถสร้างให้ทีซีซีฯกลายเป็นอาณาจักรทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา มีสายงานทางธุรกิจที่ครอบคลุมตลาดในไทย รวมถึงยังขยายความยิ่งใหญ่ไปสู่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งในความ"ใหญ่" ขององค์กร แม้จะสามารถต้านแรงลมจากวิกฤตเศรษฐกิจได้ แต่แรงกระทบย่อมก่อให้เกิดผลต่อธุรกิจ ไม่มากก็น้อย
ซึ่งทิศทางของทีซีซี กรุ๊ป และกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะก้าวไปข้างหน้าอย่างไร " โสมพัฒน์ ไตรโสรัส " (คุณต่อ)ลูกเขยเจ้าสัวเจริญ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ทีซีซี แคปปิตอล แลนด์ (บริษัทร่วมทุนระหว่างทีซีซี แลนด์ กับ บริษัท แคปปิตอล แลนด์ฯ กลุ่มทุนอสังหาฯยักษ์ใหญ่จากสิงคโปร์) มีคำตอบให้
***ทีซีซี แคปปิตอลฯจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไร
เริ่มแรกต้องบอกว่าทางบริษัทฯมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงาน โดยตนได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ส่วนคุณเฉิน เหลียน ปัง ก็อยู่ในตำแหน่งกรรมการบริษัทฯแทน ซึ่งเรื่องดังกล่าว เราและสิงคโปร์คุยกันไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเริ่มก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา ส่วนสัดส่วนการถือหุ้นยังคงเดิมทีซีซีฯ 60% และ 40% จากสิงคโปร์ ซึ่งต้องบอกว่านโยบายทุกอย่างยังเหมือนเดิมเหมือนการก่อตั้งบริษัท โดยจากนี้ไป เราจะหันมาให้ความสำคัญกับลูกค้า หลังจากโครงการคอนโดฯที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้ แล้วเสร็จหลายแห่ง และทยอยโอนให้แก่ลูกค้า และต้องดูแลมากยิ่งขึ้น ต่างจากอดีตที่เน้นเรื่องการลงทุนและก่อสร้างโครงการ โดยทางบริษัทได้ตั้งฝ่ายสมาร์ทพร็อพเพอร์ตี้ ขึ้นมา เพื่อรับผิดชอบส่วนนี้
"สิ่งสำคัญในตอนนี้และปีถัดๆไป เราต้องทำตัวให้แน่น ต้องดูแลและบริหารกระแสเงินสดที่จะไหลเข้ามา โดยโครงการที่จะทยอยให้ลูกค้าก็น่าจะมีโครงการ ดิ เอ็มไพร์ เพลส ,โครงการ ดิ เอ็มโพริโอ เพลส และโครงการวิลล่า ราชเทวี น่าจะเป็นช่วงปลายปี ส่วนโครงการอื่นๆคงจะเป็นปี 53 ซึ่งในปีนี้ เรามองว่ารายได้อาจทำไม่ถึงเป้าที่วางไว้ จากเดิมที่คาดว่าจะได้ 5,000 ล้านบาท แต่ดูเหมือนว่าจะได้ประมาณ 4,800 ล้านบาท ซึ่งเราก็ยอมรับว่า การโอนห้องชุดของเราไม่ดี ส่วนในปีหน้า รายได้จะโตอย่างมาก อาจจะถึง 8,000 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขดังกล่าว เป็นเป้าหมายที่เรา
ต้องบริหารให้ได้ตลอดไปและสม่ำเสมอ และเป้าหมายสูงสุดของทีซีซี แคปปิตอลฯ ต้องขึ้นเป็น ท็อป ที ในวงการอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของไทย"
***แผนการลงทุนโครงการใหม่
เรื่องการลงทุนกับภาวะเศรษฐกิจเป็นของคู่กัน ซึ่งเราคิดว่าเศรษฐกิจประเทศไทยไม่เลวมาก และผมคิดว่า หากเศรษฐกิจเลวจริงๆก็ผ่านไปแล้ว ครั้งนี้ เชื่อว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียจะฟื้นก่อนภูมิภาคอื่นๆ เนื่องจากไม่ได้เป็นต้นตอของปัญหา ต่างจากอดีตที่ปัญหาเกิดจากภูมิภาคเอเชีย อีกทั้ง เรื่องของกำลังอสังหาฯในไทย ก็ไม่แย่ไปกว่าที่คิด เห็นได้จากโครงการวิลล่าราชเทวีเฟส 2 จำนวน 158 ยูนิต เปิดต้นเดือนส.ค.ยอดจองล้นหลามต้องให้บัตรคิว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะด้วยราคา 92,000 บาทต่อตร.ม.โลเกชั่นใกล้สถานีรถไฟฟ้า และเศรษฐกิจไทยตกต่ำสุดแล้ว
ดังนั้น นโยบายการลงทุนโครงการใหม่ต้องมี เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรายได้ ซึ่งทางทีซีซี แคปปิตอล กำลังกระโจนไปสู่ตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ที่จะออกสู่ตลาด เพราะที่ผ่านมาเราลุยโครงการคอนโดฯและมีเก่งในด้านนี้ โดยในปี 53 วางเป้าเปิด 4 โครงการใหม่ แยกเป็นคอนโดฯ 2 แห่ง ทาวน์โฮม 2 โครงการ มูลค่าลงทุนโครงการละ 1,000 ล้านบาท หรือกว่า 3,000-4,000 ล้านบาท ส่วนมูลค่าขายจะมากกว่านี้ แต่ทั้งหมดคงต้องรอประเมินสถานการณ์ปลายปีนี้ก่อน
"เราเชื่อมั่นว่า การลงไปเล่นตลาดแนวราบของทีซีซีฯ ยังมีช่องให้เข้าไป และคิดว่าควรจะเริ่มทำ แม้จะมาที่หลังก็ตาม เพราะเป็นโปรดักส์ที่คนไทยชอบมาก คนไทยอยากมีบ้านอยู่ ส่วนคอนโดฯเป็นไลฟ์สไตล์ของผู้ซื้อ อีกทั้งโครงการแนวราบ สถาบันการเงินปล่อยง่ายกว่าคอนโดฯ ตึกสูงกว่าจะสร้างเสร็จก็ 3 ปี แนวราบไม่ใช่โอนเร็ว มีสภาพคล่องเข้ามา ทั้งนี้ คอนเซ็ปต์ของทาวน์โฮม ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้า คนที่ซื้อส่วนใหญ่จะมีรถขับ ต่างกับคอนโดฯแนวสูง ต้องเกาะแนวรถไฟฟ้า ที่ดินในเมืองแพงจริงๆ"
ในเรื่องของแลนด์แบงก์ที่จะมาพัฒนา ไม่ใช่ปัญหา เพราะบริษัทแม่ มีที่ดินที่สวย ที่ดินพรีเมียม เราสามารถซื้อที่ดินกับบริษัทแม่ในราคาตลาด หรือไม่อาจจะไปซื้อที่ดินมาพัฒนาก็ได้ เพราะการเงินเราดี ทั้งนี้ ทำเลที่มองไว้ ที่น่าจะพัฒนาเป็นทาวน์โฮม โซนเกษตร-นวมินทร์ ทำเลสาทร ขนาดโครงการไม่ใหญ่แต่หมุนคล่อง ประมาณ 20 ไร่ พัฒนาได้ 70-80 หลัง ระดับราคา 5 ล้านบาท แต่จะให้ลงไปเล่นราคาต่ำกว่านี้ คงไม่ได้
สำหรับการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว วางเป้าหมายไว้ประมาณปี 2555 เหตุผลก็คือ เราต้องการดูผลตอบรับในสินค้าใหม่ก่อน โดยบ้านเดี่ยววางเป้าเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ราคาขาย 10-15 ล้านบาท ซึ่งตลาดกลุ่มนี้ น่าจะเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดที่เรามอง การที่เราวางเป้าลงตลาดแนวราบมากขึ้น ก็เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ใน 5 ปีข้างหน้า ที่ได้เริ่มแล้วในปีนี้ โดยสัดส่วนรายได้ที่อยากเห็น แนวสูงและแนวราบสัดส่วนเท่ากัน 50% ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
ล่าสุด ทางบริษัทฯได้เปิดตัวโครงการคอนโดฯใหม่ล่าสุดกลางใจเมือง “วิลล่า อโศก” มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด New York — Art Deco ที่ผสานการออกแบบรูปลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ซึ่งในช่วงนี้ได้จัดโปรโมชันราคาขายสำหรับยูนิตเริ่มต้นประมาณ 75,000 บาทต่อตร.ม. ถือว่าคุ้มค่าสำหรับลูกค้า โครงการดังกล่าวอยู่บนถนนอโศก-เพชรบุรี พื้นที่กว่า 4 ไร่ เพื่อพัฒนาห้องพักอาศัยรวมกว่า 500 ยูนิต ขนาดห้องพักตั้งแต่ 40 ถึง 150 ตร.ม. ซึ่งราคาเริ่มต้นสำหรับห้องพักอาศัยแบบ 1 ห้องนอน คือ 2.99 ล้านบาท
***ความเคลื่อนไหวบริษัทแม่'ทีซีซี กรุ๊ป'
ช่วงที่ผ่านมา จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในไทย ทำให้คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ต้องลงมาดูทีซีซี แลนด์ ลงมาลุยเอง เพราะวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้คุณเจริญต้องมาปรับ มาเติมบางอย่างให้เข้าที่ ส่วนผม (โสมพัฒน์ ลูกเขย) รับผิดชอบเรื่องการโอนคอนโดฯ นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่า"เราต้องทำตัวเราให้แน่นที่สุด "
"ช่วงนี้ คุณเจริญเหนื่อยหน่อย จากวิกฤตภายในประเทศ แม้ว่าจะมีลูกๆคอยบริหารธุรกิจในแต่ละสายงาน เหตุได้จาก ธุรกิจโรงแรม
เฉพาะในประเทศชะลอลงไปกว่า 40% ส่วนโรงแรมกว่า 40 แห่งในต่างประเทศ ทั้งระดับ 3 ดาว 4 ดาว และ 5 ดาว ยังไปตก ยกเว้นในไทย ที่สำคัญ นักท่องเที่ยวกังวลเรื่องการเมืองในไทย ดังนั้น กว่ากลุ่มบริษัททัวร์จะบรรจุประเทศไทย เข้าไปอยู่ในตารางโปรแกรมการท่องเที่ยวก็คงประมาณปี 53"
***คุณ"เจริญ"อยากได้ใครมาคุมธุรกิจอสังหาฯ
ตอนนี้ พระเอกในสายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังไม่มี ซึ่งคุณเจริญ กำลังเลือกและมองหาบุคคลที่จะมาเป็นนักบริหาร ซึ่งส่วนนี้เรายังขาด ส่วนอื่น เรื่องการเงิน การตลาด เราโอเคแล้ว การที่จะหามือขวามาบริหารไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีมุมมองหลากหลาย เพราะเรามีธุรกิจเยอะมาก โครงการหลายแห่ง หลายประเภท จะมาเก่งด้านเดียวคงยาก ส่วนผม(โสมพัฒน์) เก่งเรื่องโปรดักส์
" หาผู้บริหารมาคุมไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งคุณเจริญ กำลังดูอยู่ แต่จริงๆ แล้ว เราอยากได้คนแบบคุณบุญคลี ปลั่งศิริ นี้เป็นแค่ตัวอย่างนะครับ "
***ปัจจุบันสายงานใดสร้างรายได้ให้คุณเจริญสูงสุด
เท่าที่ผมทราบ ก็เห็นจะเป็นสายธุรกิจเครื่องดื่ม (ไทย เบฟเวอรเจ) โอเคกู๊ด รองลงมาสายธุรกิจอสังหาฯ (ยกเว้นโรงแรมไม่ดี) ถัดมาสายธุรกิจอุตสาหกรรมและการค้า (เบอร์ลี่ ยุคเกอร์) สายธุรกิจบริการทางการเงิน(ทีซีซี แคปปิตอล) ที่เหลือจะเป็นธุรกิจการเกษตร และธุรกิจพลังงาน
รองลงมาสายธุรกิจอสังหาฯ(ยกเว้นโรงแรมไม่ค่อยดี)
***ช่วงนี้ ครอบครัว(คุณต่อ)เป็นงัยบ้าง
สบายดีครับ ตอนนี้ลูกๆสบายดี (ชาย 2 หญิง 2 สอง) คุณตาเห็นหลานก็ยิ้ม คิดว่าถ้ามีอีกคนก็คงจะดี คนที่ 5 ก็โอเค (ตอบไปหัวเราะอย่างอารมณ์ดี)
ซึ่งทิศทางของทีซีซี กรุ๊ป และกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะก้าวไปข้างหน้าอย่างไร " โสมพัฒน์ ไตรโสรัส " (คุณต่อ)ลูกเขยเจ้าสัวเจริญ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ทีซีซี แคปปิตอล แลนด์ (บริษัทร่วมทุนระหว่างทีซีซี แลนด์ กับ บริษัท แคปปิตอล แลนด์ฯ กลุ่มทุนอสังหาฯยักษ์ใหญ่จากสิงคโปร์) มีคำตอบให้
***ทีซีซี แคปปิตอลฯจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไร
เริ่มแรกต้องบอกว่าทางบริษัทฯมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงาน โดยตนได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ส่วนคุณเฉิน เหลียน ปัง ก็อยู่ในตำแหน่งกรรมการบริษัทฯแทน ซึ่งเรื่องดังกล่าว เราและสิงคโปร์คุยกันไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเริ่มก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา ส่วนสัดส่วนการถือหุ้นยังคงเดิมทีซีซีฯ 60% และ 40% จากสิงคโปร์ ซึ่งต้องบอกว่านโยบายทุกอย่างยังเหมือนเดิมเหมือนการก่อตั้งบริษัท โดยจากนี้ไป เราจะหันมาให้ความสำคัญกับลูกค้า หลังจากโครงการคอนโดฯที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้ แล้วเสร็จหลายแห่ง และทยอยโอนให้แก่ลูกค้า และต้องดูแลมากยิ่งขึ้น ต่างจากอดีตที่เน้นเรื่องการลงทุนและก่อสร้างโครงการ โดยทางบริษัทได้ตั้งฝ่ายสมาร์ทพร็อพเพอร์ตี้ ขึ้นมา เพื่อรับผิดชอบส่วนนี้
"สิ่งสำคัญในตอนนี้และปีถัดๆไป เราต้องทำตัวให้แน่น ต้องดูแลและบริหารกระแสเงินสดที่จะไหลเข้ามา โดยโครงการที่จะทยอยให้ลูกค้าก็น่าจะมีโครงการ ดิ เอ็มไพร์ เพลส ,โครงการ ดิ เอ็มโพริโอ เพลส และโครงการวิลล่า ราชเทวี น่าจะเป็นช่วงปลายปี ส่วนโครงการอื่นๆคงจะเป็นปี 53 ซึ่งในปีนี้ เรามองว่ารายได้อาจทำไม่ถึงเป้าที่วางไว้ จากเดิมที่คาดว่าจะได้ 5,000 ล้านบาท แต่ดูเหมือนว่าจะได้ประมาณ 4,800 ล้านบาท ซึ่งเราก็ยอมรับว่า การโอนห้องชุดของเราไม่ดี ส่วนในปีหน้า รายได้จะโตอย่างมาก อาจจะถึง 8,000 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขดังกล่าว เป็นเป้าหมายที่เรา
ต้องบริหารให้ได้ตลอดไปและสม่ำเสมอ และเป้าหมายสูงสุดของทีซีซี แคปปิตอลฯ ต้องขึ้นเป็น ท็อป ที ในวงการอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของไทย"
***แผนการลงทุนโครงการใหม่
เรื่องการลงทุนกับภาวะเศรษฐกิจเป็นของคู่กัน ซึ่งเราคิดว่าเศรษฐกิจประเทศไทยไม่เลวมาก และผมคิดว่า หากเศรษฐกิจเลวจริงๆก็ผ่านไปแล้ว ครั้งนี้ เชื่อว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียจะฟื้นก่อนภูมิภาคอื่นๆ เนื่องจากไม่ได้เป็นต้นตอของปัญหา ต่างจากอดีตที่ปัญหาเกิดจากภูมิภาคเอเชีย อีกทั้ง เรื่องของกำลังอสังหาฯในไทย ก็ไม่แย่ไปกว่าที่คิด เห็นได้จากโครงการวิลล่าราชเทวีเฟส 2 จำนวน 158 ยูนิต เปิดต้นเดือนส.ค.ยอดจองล้นหลามต้องให้บัตรคิว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะด้วยราคา 92,000 บาทต่อตร.ม.โลเกชั่นใกล้สถานีรถไฟฟ้า และเศรษฐกิจไทยตกต่ำสุดแล้ว
ดังนั้น นโยบายการลงทุนโครงการใหม่ต้องมี เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรายได้ ซึ่งทางทีซีซี แคปปิตอล กำลังกระโจนไปสู่ตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ที่จะออกสู่ตลาด เพราะที่ผ่านมาเราลุยโครงการคอนโดฯและมีเก่งในด้านนี้ โดยในปี 53 วางเป้าเปิด 4 โครงการใหม่ แยกเป็นคอนโดฯ 2 แห่ง ทาวน์โฮม 2 โครงการ มูลค่าลงทุนโครงการละ 1,000 ล้านบาท หรือกว่า 3,000-4,000 ล้านบาท ส่วนมูลค่าขายจะมากกว่านี้ แต่ทั้งหมดคงต้องรอประเมินสถานการณ์ปลายปีนี้ก่อน
"เราเชื่อมั่นว่า การลงไปเล่นตลาดแนวราบของทีซีซีฯ ยังมีช่องให้เข้าไป และคิดว่าควรจะเริ่มทำ แม้จะมาที่หลังก็ตาม เพราะเป็นโปรดักส์ที่คนไทยชอบมาก คนไทยอยากมีบ้านอยู่ ส่วนคอนโดฯเป็นไลฟ์สไตล์ของผู้ซื้อ อีกทั้งโครงการแนวราบ สถาบันการเงินปล่อยง่ายกว่าคอนโดฯ ตึกสูงกว่าจะสร้างเสร็จก็ 3 ปี แนวราบไม่ใช่โอนเร็ว มีสภาพคล่องเข้ามา ทั้งนี้ คอนเซ็ปต์ของทาวน์โฮม ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้า คนที่ซื้อส่วนใหญ่จะมีรถขับ ต่างกับคอนโดฯแนวสูง ต้องเกาะแนวรถไฟฟ้า ที่ดินในเมืองแพงจริงๆ"
ในเรื่องของแลนด์แบงก์ที่จะมาพัฒนา ไม่ใช่ปัญหา เพราะบริษัทแม่ มีที่ดินที่สวย ที่ดินพรีเมียม เราสามารถซื้อที่ดินกับบริษัทแม่ในราคาตลาด หรือไม่อาจจะไปซื้อที่ดินมาพัฒนาก็ได้ เพราะการเงินเราดี ทั้งนี้ ทำเลที่มองไว้ ที่น่าจะพัฒนาเป็นทาวน์โฮม โซนเกษตร-นวมินทร์ ทำเลสาทร ขนาดโครงการไม่ใหญ่แต่หมุนคล่อง ประมาณ 20 ไร่ พัฒนาได้ 70-80 หลัง ระดับราคา 5 ล้านบาท แต่จะให้ลงไปเล่นราคาต่ำกว่านี้ คงไม่ได้
สำหรับการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว วางเป้าหมายไว้ประมาณปี 2555 เหตุผลก็คือ เราต้องการดูผลตอบรับในสินค้าใหม่ก่อน โดยบ้านเดี่ยววางเป้าเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ราคาขาย 10-15 ล้านบาท ซึ่งตลาดกลุ่มนี้ น่าจะเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดที่เรามอง การที่เราวางเป้าลงตลาดแนวราบมากขึ้น ก็เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ใน 5 ปีข้างหน้า ที่ได้เริ่มแล้วในปีนี้ โดยสัดส่วนรายได้ที่อยากเห็น แนวสูงและแนวราบสัดส่วนเท่ากัน 50% ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
ล่าสุด ทางบริษัทฯได้เปิดตัวโครงการคอนโดฯใหม่ล่าสุดกลางใจเมือง “วิลล่า อโศก” มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด New York — Art Deco ที่ผสานการออกแบบรูปลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ซึ่งในช่วงนี้ได้จัดโปรโมชันราคาขายสำหรับยูนิตเริ่มต้นประมาณ 75,000 บาทต่อตร.ม. ถือว่าคุ้มค่าสำหรับลูกค้า โครงการดังกล่าวอยู่บนถนนอโศก-เพชรบุรี พื้นที่กว่า 4 ไร่ เพื่อพัฒนาห้องพักอาศัยรวมกว่า 500 ยูนิต ขนาดห้องพักตั้งแต่ 40 ถึง 150 ตร.ม. ซึ่งราคาเริ่มต้นสำหรับห้องพักอาศัยแบบ 1 ห้องนอน คือ 2.99 ล้านบาท
***ความเคลื่อนไหวบริษัทแม่'ทีซีซี กรุ๊ป'
ช่วงที่ผ่านมา จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในไทย ทำให้คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ต้องลงมาดูทีซีซี แลนด์ ลงมาลุยเอง เพราะวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้คุณเจริญต้องมาปรับ มาเติมบางอย่างให้เข้าที่ ส่วนผม (โสมพัฒน์ ลูกเขย) รับผิดชอบเรื่องการโอนคอนโดฯ นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่า"เราต้องทำตัวเราให้แน่นที่สุด "
"ช่วงนี้ คุณเจริญเหนื่อยหน่อย จากวิกฤตภายในประเทศ แม้ว่าจะมีลูกๆคอยบริหารธุรกิจในแต่ละสายงาน เหตุได้จาก ธุรกิจโรงแรม
เฉพาะในประเทศชะลอลงไปกว่า 40% ส่วนโรงแรมกว่า 40 แห่งในต่างประเทศ ทั้งระดับ 3 ดาว 4 ดาว และ 5 ดาว ยังไปตก ยกเว้นในไทย ที่สำคัญ นักท่องเที่ยวกังวลเรื่องการเมืองในไทย ดังนั้น กว่ากลุ่มบริษัททัวร์จะบรรจุประเทศไทย เข้าไปอยู่ในตารางโปรแกรมการท่องเที่ยวก็คงประมาณปี 53"
***คุณ"เจริญ"อยากได้ใครมาคุมธุรกิจอสังหาฯ
ตอนนี้ พระเอกในสายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังไม่มี ซึ่งคุณเจริญ กำลังเลือกและมองหาบุคคลที่จะมาเป็นนักบริหาร ซึ่งส่วนนี้เรายังขาด ส่วนอื่น เรื่องการเงิน การตลาด เราโอเคแล้ว การที่จะหามือขวามาบริหารไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีมุมมองหลากหลาย เพราะเรามีธุรกิจเยอะมาก โครงการหลายแห่ง หลายประเภท จะมาเก่งด้านเดียวคงยาก ส่วนผม(โสมพัฒน์) เก่งเรื่องโปรดักส์
" หาผู้บริหารมาคุมไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งคุณเจริญ กำลังดูอยู่ แต่จริงๆ แล้ว เราอยากได้คนแบบคุณบุญคลี ปลั่งศิริ นี้เป็นแค่ตัวอย่างนะครับ "
***ปัจจุบันสายงานใดสร้างรายได้ให้คุณเจริญสูงสุด
เท่าที่ผมทราบ ก็เห็นจะเป็นสายธุรกิจเครื่องดื่ม (ไทย เบฟเวอรเจ) โอเคกู๊ด รองลงมาสายธุรกิจอสังหาฯ (ยกเว้นโรงแรมไม่ดี) ถัดมาสายธุรกิจอุตสาหกรรมและการค้า (เบอร์ลี่ ยุคเกอร์) สายธุรกิจบริการทางการเงิน(ทีซีซี แคปปิตอล) ที่เหลือจะเป็นธุรกิจการเกษตร และธุรกิจพลังงาน
รองลงมาสายธุรกิจอสังหาฯ(ยกเว้นโรงแรมไม่ค่อยดี)
***ช่วงนี้ ครอบครัว(คุณต่อ)เป็นงัยบ้าง
สบายดีครับ ตอนนี้ลูกๆสบายดี (ชาย 2 หญิง 2 สอง) คุณตาเห็นหลานก็ยิ้ม คิดว่าถ้ามีอีกคนก็คงจะดี คนที่ 5 ก็โอเค (ตอบไปหัวเราะอย่างอารมณ์ดี)