ลงมติยก“แม่สอด-สมุย”ขึ้นชั้น อปท.พิเศษ สภาพัฒน์นัดทำแผนพัฒนารับกลางเดือนนี้

ตาก - นายกฯนั่งหัวโต๊ะ ร่วมลงมติยก “แม่สอด-สมุย” ขึ้นชั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษเมืองชายแดน และเมืองท่องเที่ยว พร้อมเดินหน้าร่าง พ.ร.บ.เสนอ ครม.ต่อ ด้านสภาพัฒน์ เตรียมลงพื้นที่กลางเดือนนี้เตรียมแผนพัฒนารองรับ ขณะที่ “มาบตาพุด แหลมฉบัง อยุธยา สุโขทัย” ต้องศึกษาเพิ่มเติมก่อน

รศ.วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ในฐานะประธานคณะทำงานศึกษารูปแบบองค์กรบริหารจัดการในพื้นที่พิเศษ ของคณะอนุกรรมการการพัฒนารูปแบบการให้บริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในลักษณะเครือข่ายหรือกลุ่มพื้นที่ และรูปแบบการจัดตั้งองค์กรบริหารจัดการในพื้นที่พิเศษ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ครั้งที่ 5/2552 ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 31 สิงหาคม 2552 โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ยกเมืองชายแดน “แม่สอด” และเมืองท่องเที่ยว “เกาะสมุย” ขึ้นเป็น อปท.รูปแบบพิเศษ พร้อมกับให้คณะกรรมการฯไปดำเนินการศึกษาเพื่อร่างเป็น พ.ร.บ.ก่อนที่จะเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป

ส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ ทั้งพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุด-แหลมฉบัง และเมืองประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา หรือสุโขทัย ให้รอเพื่อศึกษาเพิ่มเติมก่อน ซึ่งคณะอนุกรรมการและคณะทำงานที่มีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกฯ เป็นประธานอนุกรรมการฯ ก็จะทำงานร่วมกับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ต่อไป

นอกจากนี้ ในช่วงกลางเดือนกันยายน 2552 นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ลงพื้นที่เดินทางมาศึกษาข้อมูลที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อเตรียมแผนพัฒนา การยกฐานะ อปท.รูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด” เนื่องจากที่ประชุมคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่ อปท.เห็นว่า แม่สอด เป็นเมืองชายแดนที่มีศักยภาพทางการค้าชายแดนและอื่นๆ ที่มีความพร้อมต่อการเป็นท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ

รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ผู้บริหารเมืองชายแดนแม่สอด ได้ทำประชาคมอย่างน้อย 5-6 ครั้งจากประชาชนกลุ่มต่างๆรวมทั้งภาคราชการ-ประชาสังคม-สื่อมวลชน โดยมีผู้ร่วมทำประชาคมรวมกันนับหมื่นคน ซึ่งได้มติเอกฉันท์ ให้ “แม่สอด” เป็นท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด”

นอกจากนี้ ยังได้มีการศึกษาจากหน่วยงานและองค์กรต่างๆรวมทั้งของสถานบันการศึกษาต่างลงความเห็นว่า แม่สอด สมควรยกฐานะเป็น อปท.รูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด” รวมถึงคณะกรรมาธิการการปกครองส่วนท้องถิ่นสภาผู้แทนราษฎร ก็ได้ลงพื้นที่ศึกษาข้อมูลเพื่อเสนอต่อที่ประชุมสภาเช่นกัน

ล่าสุดช่วงสิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ระหว่างที่นายกิตติศักดิ์ โตมรศักดิ์ นายอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก นายเทอดเกียรติ ชินสรนันท์ นายกเทศมนตรีเมืองแม่สอด พร้อมคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้แทนภาคหอการค้า-ภาคสื่อมวลชน-ประชาสังคม-ผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองแม่สอด ได้ประชุมร่วมกับประธานชุมชน-อสม.แม่บ้าน-ผู้ปกครองนักเรียน จาก 10 ตำบลทั่ว อ.แม่สอด กว่า 1,000 คน ที่หอประชุม อาคารศูนย์แสดงสินค้าและการท่องเที่ยว เทศบาลเมืองแม่สอดเพื่อชี้แจงและแจงถึงความคืบหน้าการพัฒนาด้านการศึกษา ควบคู่กับการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด”

นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า การพัฒนา อปท.รูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด” เป็นการสร้างเมืองให้เจริญเติบโตขึ้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน และประชาชนจะได้รับสิทธิประโยชน์ และการดูแลจากผู้บริหาร “นครแม่สอด” ที่ดีขึ้นจากงบประมาณที่ได้รับมากขึ้น ในส่วนของตำแหน่งกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยฝ่ายปกครอง-ป้องกัน ก็ยังคงอยู่เช่นเดิม

ทั้งนี้ ท้องถิ่นสามารถนำภาษีจากท้องถิ่นและภาษีที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลส่วนกลาง มาพัฒนาและดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ รวมไปถึงมีการพัฒนาด้านพาณิชย์-อุตสาหกรรมและการค้าชายแดนไทย-พม่า ในลักษณะท้องถิ่นที่เป็นเมืองพิเศษชายแดน

นายสุชาติ ตรีรัตน์วัฒนา ประธานที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดตาก ในฐานะผู้แทนภาคเอกชน กล่าวว่า ปัจจุบันเมืองแม่สอด ถือว่าเป็นเขตเศรษฐกิจย่านการค้าสำคัญของด่านชายแดนไทย-พม่า เป็นศูนย์กลางบนระเบียงเศรษฐกิจ เส้นทาง R2 โครงข่ายถนนเชื่อมโยงแนวตะวันออก-ตะวันตก East-West Economic Corridor มีมูลค่าการค้าชายแดน ณ ตัวเลขขณะนี้ เดือนละกว่า 1,400-1,500 ล้านบาท การจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด” จึงเป็นการเสริมและพัฒนาศักยภาพทางการค้าชายแดน รวมทั้งการพัฒนาทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นเมืองที่นำร่อง ในรูปแบบต่างๆ ในการเจริญเติบโตไปพร้อมๆกัน

รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ประชุมคราวนั้นยังได้สอบถามเพื่อขอรับคำยืนยันจากผู้เข้าร่วมประชุมในลักษณะประชาคมอีกครั้งว่า มีความเห็นด้วยกับการจัดตั้ง อปท.รูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด” หรือไม่ โดยที่ประชุมมีความเห็นด้วยและเห็นชอบ 100% โดยผู้เข้าร่วมประชุมได้ยกมือทุกคนเช่นกัน