เอเจนซี - งานศึกษาจากสหรัฐฯ ชี้ความกังวลว่าจะตกงานเป็นอันตรายต่อสุขภาพมากกว่าการเปลี่ยนสถานะเป็นเตะฝุ่นจริงๆ, ภาวะความดันโลหิตสูง, หรือกระทั่งการสูบบุหรี่
ด้วยความที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญภาวะถดถอยที่เลวร้ายที่สุดในรอบกว่า 70 ปี นักวิจัยจึงตั้งโจทย์ให้ตัวเองในการศึกษาว่าความไม่มั่นคงในหน้าที่การงานส่งผลต่อสุขภาพของคนทำงานอย่างไร
"การศึกษานี้แสดงหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้ว่า ความไม่มั่นคงในหน้าที่การงานที่เรื้อรังเป็นเวลานาน ส่งผลลบต่อสุขภาพของพนักงานมากกว่าการถูกปลดออกจากงานจริงๆ เสียอีก" ซาราห์ เบอร์การ์ด จากสถาบันวิจัยทางสังคม มหาวิทยาลัยมิชิแกน กล่าว
เบอร์การ์ดและเพื่อนนักวิจัย เจมส์ เฮาส์ และเจนนี แบรนด์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, ลอสแองเจลิส ประเมินผลกระทบจากความไม่มั่นคงในอาชีพโดยการวิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างวัยผู้ใหญ่ 1,700 คน และผลการศึกษาที่จัดทำขึ้นระหว่างปี 1986-1989 และระหว่างปี 1995-2005
ในกลุ่มตัวอย่างกลุ่มหนึ่งที่แสดงอยู่ในรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสารโซเชียล ไซนส์ แอนด์ เมดิซิน นักวิจัยพบว่าความไม่มั่นใจในงานที่เรื้อรังเป็นระยะเวลานาน เป็นตัวบ่งชี้ชัดเจนถึงสุขภาพที่ย่ำแย่มากกว่าการสูบบุหรี่หรือภาวะความดันโลหิตสูง
นักวิจัยได้สอบถามกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับแนวโน้มการถูกปลดออกจากงานในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า และโอกาสในการรักษาตำแหน่งไว้ รวมถึงขอให้กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนสุขภาพโดยรวมของตนเอง และใช้ระดับอาการซึมเศร้าเพื่อตรวจวัดสุขภาพจิตใจและอารมณ์ของกลุ่มตัวอย่าง
อนึ่ง งานวิจัยนี้ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างที่ตกงาน และกลุ่มตัวอย่างที่สามารถหางานทำใหม่ได้แล้วด้วย
"เราพบว่าการหวาดกลัวว่าจะตกงานที่เรื้อรังเป็นเวลานาน มีผลทำให้สุขภาพอ่อนแอลงมากกว่าการตกงานจริงๆ เพราะความหวาดกลัวเรื้อรังนำไปสู่ความเครียดเรื้อรัง เป็นลักษณะที่ยืดเยื้อของความไม่แน่นอนที่ทำร้ายคุณ" เบอร์การ์ดอธิบาย
ทีมนักวิจัยเสริมว่า ลักษณะที่เรื้อรังของความไม่มั่นคงในงานอาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และระดับฮอร์โมนความเครียดเปลี่ยนแปลง ซึ่งในระยะยาวจะนำไปสู่ปัญหาโรคหัวใจ
"สิ่งที่นายจ้างสามารถทำได้คือ การให้ข้อมูลแก่พนักงานเกี่ยวกับแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี" เบอร์การ์ดสำทับ
หนึ่งในแง่มุมที่สร้างความเครียดมากที่สุดจากการตกงานคือ การสูญเสียสวัสดิการต่างๆ ทั้งนี้ การประกันสุขภาพในสหรัฐฯ มักเชื่อมโยงกับการจ้างงาน ต่างจากระบบสาธารณสุขของประเทศต่างๆ ในยุโรป และนี่อาจเป็นเหตุผลที่งานวิจัยชิ้นนี้ค้นพบว่า ความไม่มั่นใจในอนาคตการทำงานส่งผลลบต่อสุขภาพมากกว่าการตกงาน
"นี่เป็นประเด็นสำคัญข้อหนึ่งที่เราคิดว่าเป็นความเครียดอย่างที่สุดสำหรับคนมากมาย"
เบอร์การ์ดแนะนำว่า คนที่เผชิญแนวโน้มการตกงานควรพยายามควบคุมตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้และวางแผนรับมือ และหากมีประกันสุขภาพจากการทำงาน ก็ควรใช้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวขณะที่ยังใช้ได้อยู่
ด้วยความที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญภาวะถดถอยที่เลวร้ายที่สุดในรอบกว่า 70 ปี นักวิจัยจึงตั้งโจทย์ให้ตัวเองในการศึกษาว่าความไม่มั่นคงในหน้าที่การงานส่งผลต่อสุขภาพของคนทำงานอย่างไร
"การศึกษานี้แสดงหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้ว่า ความไม่มั่นคงในหน้าที่การงานที่เรื้อรังเป็นเวลานาน ส่งผลลบต่อสุขภาพของพนักงานมากกว่าการถูกปลดออกจากงานจริงๆ เสียอีก" ซาราห์ เบอร์การ์ด จากสถาบันวิจัยทางสังคม มหาวิทยาลัยมิชิแกน กล่าว
เบอร์การ์ดและเพื่อนนักวิจัย เจมส์ เฮาส์ และเจนนี แบรนด์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, ลอสแองเจลิส ประเมินผลกระทบจากความไม่มั่นคงในอาชีพโดยการวิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างวัยผู้ใหญ่ 1,700 คน และผลการศึกษาที่จัดทำขึ้นระหว่างปี 1986-1989 และระหว่างปี 1995-2005
ในกลุ่มตัวอย่างกลุ่มหนึ่งที่แสดงอยู่ในรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสารโซเชียล ไซนส์ แอนด์ เมดิซิน นักวิจัยพบว่าความไม่มั่นใจในงานที่เรื้อรังเป็นระยะเวลานาน เป็นตัวบ่งชี้ชัดเจนถึงสุขภาพที่ย่ำแย่มากกว่าการสูบบุหรี่หรือภาวะความดันโลหิตสูง
นักวิจัยได้สอบถามกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับแนวโน้มการถูกปลดออกจากงานในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า และโอกาสในการรักษาตำแหน่งไว้ รวมถึงขอให้กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนสุขภาพโดยรวมของตนเอง และใช้ระดับอาการซึมเศร้าเพื่อตรวจวัดสุขภาพจิตใจและอารมณ์ของกลุ่มตัวอย่าง
อนึ่ง งานวิจัยนี้ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างที่ตกงาน และกลุ่มตัวอย่างที่สามารถหางานทำใหม่ได้แล้วด้วย
"เราพบว่าการหวาดกลัวว่าจะตกงานที่เรื้อรังเป็นเวลานาน มีผลทำให้สุขภาพอ่อนแอลงมากกว่าการตกงานจริงๆ เพราะความหวาดกลัวเรื้อรังนำไปสู่ความเครียดเรื้อรัง เป็นลักษณะที่ยืดเยื้อของความไม่แน่นอนที่ทำร้ายคุณ" เบอร์การ์ดอธิบาย
ทีมนักวิจัยเสริมว่า ลักษณะที่เรื้อรังของความไม่มั่นคงในงานอาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และระดับฮอร์โมนความเครียดเปลี่ยนแปลง ซึ่งในระยะยาวจะนำไปสู่ปัญหาโรคหัวใจ
"สิ่งที่นายจ้างสามารถทำได้คือ การให้ข้อมูลแก่พนักงานเกี่ยวกับแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี" เบอร์การ์ดสำทับ
หนึ่งในแง่มุมที่สร้างความเครียดมากที่สุดจากการตกงานคือ การสูญเสียสวัสดิการต่างๆ ทั้งนี้ การประกันสุขภาพในสหรัฐฯ มักเชื่อมโยงกับการจ้างงาน ต่างจากระบบสาธารณสุขของประเทศต่างๆ ในยุโรป และนี่อาจเป็นเหตุผลที่งานวิจัยชิ้นนี้ค้นพบว่า ความไม่มั่นใจในอนาคตการทำงานส่งผลลบต่อสุขภาพมากกว่าการตกงาน
"นี่เป็นประเด็นสำคัญข้อหนึ่งที่เราคิดว่าเป็นความเครียดอย่างที่สุดสำหรับคนมากมาย"
เบอร์การ์ดแนะนำว่า คนที่เผชิญแนวโน้มการตกงานควรพยายามควบคุมตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้และวางแผนรับมือ และหากมีประกันสุขภาพจากการทำงาน ก็ควรใช้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวขณะที่ยังใช้ได้อยู่