เดอะพิซซ่าคอมปะนี สร้างกลุ่มเมนูใหม่ ดันเป็นขาที่สาม เสริมทัพพิซซ่า และพาสต้า หวังขยายฐานลูกค้า ยอมรับอนาคตสัดส่วนรายได้พิซซ่าจะเล็กลง แต่ฐานใหญ่ขึ้น
นายแอนดี้ โฮลแมน ผู้จัดการทั่วไป เดอะพิซซ่า คอมปะนี ของเครือไมเนอร์ฟู้ด เปิดเผยว่า บริษัทฯได้สร้างธุรกิจขาที่สามในการสร้างรายได้และการเติบโตของบริษัทฯโดยรวม เนื่องจากพิซซ่าเป็นตลาดที่แข่งขันที่รุนแรง แม้ว่าจะมีรายใหญ่ไม่กี่รายเท่านั้น ซึ่งกลุ่มเมนูใหม่ที่จะเป็นธุรกิจขาที่สามคือ ข้าวอบสไตล์อิตาเลียนหรือ อิตาเลียน เบค ไรซ์
เดิมบริษัทฯมีเมนูหลักคือ พิซซ่า สัดส่วนรายได้ 75% และสปาเก็ตตี้กับพาสต้า สัดส่วนรายได้ 14% ที่เหลือเป็นเครื่องดื่มและอื่นๆ แต่เมื่อพิจารณาจากการเติบโตแล้วพบว่า พิซซ่าเติบโตแค่ 7% ในขณะที่ เมนูกลุ่มที่สองรายได้รองมาคือ พาสต้าและสปาเก็ตตี้เติบโตมากถึง 50% ซึ่งเมนูกลุ่มนี้มีมานานแล้วแต่ว่าเพิ่มจะเริ่มทำตลาดจริงจังแค่ 2 ปีก็ตาม โดยมีเมนู 30% จากเมนูทั้งหมด และมีปริมาณการสั่งจากลูกค้า 80% จากลูกค้าทั้งหมดที่เข้าร้าน และเริ่มทำดีลิเวอรี่กลุ่มพาสต้านี้จริงจังเมื่อ 3 เดือนที่แล้วด้วย
บริษัทฯคาดหวังว่า ในอนาคตกลุ่มเมนูที่สามคือ ข้าว จะสร้างสัดส่วนใกล้เคียงกับพาสต้าคือ 14% ขณะที่ครึ่งปีแรกนี้ เดอะพิซซ่าเติบโตโดยรวม 6% มากกว่าตลาดรวม โดยมีส่วนแบ่งตลาด 70% จากมูลค่าตลาดรวมพิซซ่า 5,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามยอมรับว่าสัดส่วนรายได้พิซซ่าของบริษัทฯอาจจะลดลงบ้าง แต่ฐานรายได้รวมเติบโตขึ้น รวมทั้งอนาคตก็อาจจะมีเมนูกลุ่มใหม่ๆเพิ่มเข้ามาอีกก็ได้ แต่พิซซ่ายังคงเป็นรายได้หลัก
นายแอนดื้ยืนยันว่า ไม่ได้ทำเมนูข้าวเพราะว่ามีคู่แข่งทำแต่อย่างใด แต่ปัจจุบันเดอะพิซซ่าในต่างประเทศซึ่งมีมากกว่า 40 สาขา ก็มีบางแห่งเริ่มแล้วเช่น ที่จีนมี 22 สาขา ก็มีบริการเมนูข้าวแล้วเช่นกัน และมียอดขายที่ดีด้วย แต่ในเมืองไทยเพิ่งเริ่ม เพราะเราต้องการสร้างความมั่นใจในคุณภาพอาหารที่ต้องใช้เวลาพัฒนา ซึ่งระยะแรกมี 8 เมนู ราคาเริ่มต้นที่ 79 บาท เช่น ข้าวอบแฮมเห็ดไวท์ครีมซอส ข้าวอบเบคอนคาร์นาร่าซอส เป็นต้น ซึ่งหลังจากหมดโปรโมชั่นจะรีวิวราคาใหม่ โดยจะใช้งบตลาดรวม 50 ล้านบาทกับเมนูกลุ่มใหม่นี้ และคาดว่าจะสร้างยอดขายได้ 150 ล้านบาทในช่วงถึงสิ้นปีนี้ และมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันให้ทั้งปีเดอะพิซซ่ามีการเติบโตที่ 8% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
สำหรับแผนขยายสาขาเดอะพิซซ่า ยังมีต่อเนื่อง จะมุ่งเน้นในต่างจังหวัดมากขึ้น ส่วนปริมาณสาขาจะมีเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับศักยภาพของทำเลและพื้นที่ที่ได้มา รวมทั้งการเปิดของศูนย์การค้าใหม่ด้วย ต่างจังหวัดอาจจะมีการเปิดซ้ำบ้างหากมีศักยภาพ เช่น ขอนแก่นเดิมมี 1 สาขา ตอนนี้ 3 สาขาแล้ว ภูเก็ตเดิมมี 3 สาขา ตอนนี้ 7 สาขาแล้ว
ปัจจุบันเดอะพิซซ่ามีจำนวน 203 สาขา คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีประมาณ 208 สาขา จากสิ้นปีที่แล้วมีประมาณ 198 สาขา ซึ่งปีนี้เปิดสาขาใหม่น้อยกว่าปีที่แล้วที่เปิดมากถึง 28 สาขา เพราะเศรษฐกิจปีนี้ไม่เอื้ออำนวยเท่าใดนัก แต่คาดว่าปีหน้าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมน่าจะดีขึ้น
“ผมมองว่าในเมืองไทยทั้งประเทศ น่าจะมีร้านพิซซ่าที่เป็นเชนรวมกันแล้วมากกว่า 400 สาขาก็ยังอยู่ได้ในช่วง 2-3 ปีนับจากนี้ ซึ่งถือว่ายังมีโอกาสที่จะขยายสาขาได้อีก” นายแอนดี้กล่าว
นายแอนดี้ โฮลแมน ผู้จัดการทั่วไป เดอะพิซซ่า คอมปะนี ของเครือไมเนอร์ฟู้ด เปิดเผยว่า บริษัทฯได้สร้างธุรกิจขาที่สามในการสร้างรายได้และการเติบโตของบริษัทฯโดยรวม เนื่องจากพิซซ่าเป็นตลาดที่แข่งขันที่รุนแรง แม้ว่าจะมีรายใหญ่ไม่กี่รายเท่านั้น ซึ่งกลุ่มเมนูใหม่ที่จะเป็นธุรกิจขาที่สามคือ ข้าวอบสไตล์อิตาเลียนหรือ อิตาเลียน เบค ไรซ์
เดิมบริษัทฯมีเมนูหลักคือ พิซซ่า สัดส่วนรายได้ 75% และสปาเก็ตตี้กับพาสต้า สัดส่วนรายได้ 14% ที่เหลือเป็นเครื่องดื่มและอื่นๆ แต่เมื่อพิจารณาจากการเติบโตแล้วพบว่า พิซซ่าเติบโตแค่ 7% ในขณะที่ เมนูกลุ่มที่สองรายได้รองมาคือ พาสต้าและสปาเก็ตตี้เติบโตมากถึง 50% ซึ่งเมนูกลุ่มนี้มีมานานแล้วแต่ว่าเพิ่มจะเริ่มทำตลาดจริงจังแค่ 2 ปีก็ตาม โดยมีเมนู 30% จากเมนูทั้งหมด และมีปริมาณการสั่งจากลูกค้า 80% จากลูกค้าทั้งหมดที่เข้าร้าน และเริ่มทำดีลิเวอรี่กลุ่มพาสต้านี้จริงจังเมื่อ 3 เดือนที่แล้วด้วย
บริษัทฯคาดหวังว่า ในอนาคตกลุ่มเมนูที่สามคือ ข้าว จะสร้างสัดส่วนใกล้เคียงกับพาสต้าคือ 14% ขณะที่ครึ่งปีแรกนี้ เดอะพิซซ่าเติบโตโดยรวม 6% มากกว่าตลาดรวม โดยมีส่วนแบ่งตลาด 70% จากมูลค่าตลาดรวมพิซซ่า 5,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามยอมรับว่าสัดส่วนรายได้พิซซ่าของบริษัทฯอาจจะลดลงบ้าง แต่ฐานรายได้รวมเติบโตขึ้น รวมทั้งอนาคตก็อาจจะมีเมนูกลุ่มใหม่ๆเพิ่มเข้ามาอีกก็ได้ แต่พิซซ่ายังคงเป็นรายได้หลัก
นายแอนดื้ยืนยันว่า ไม่ได้ทำเมนูข้าวเพราะว่ามีคู่แข่งทำแต่อย่างใด แต่ปัจจุบันเดอะพิซซ่าในต่างประเทศซึ่งมีมากกว่า 40 สาขา ก็มีบางแห่งเริ่มแล้วเช่น ที่จีนมี 22 สาขา ก็มีบริการเมนูข้าวแล้วเช่นกัน และมียอดขายที่ดีด้วย แต่ในเมืองไทยเพิ่งเริ่ม เพราะเราต้องการสร้างความมั่นใจในคุณภาพอาหารที่ต้องใช้เวลาพัฒนา ซึ่งระยะแรกมี 8 เมนู ราคาเริ่มต้นที่ 79 บาท เช่น ข้าวอบแฮมเห็ดไวท์ครีมซอส ข้าวอบเบคอนคาร์นาร่าซอส เป็นต้น ซึ่งหลังจากหมดโปรโมชั่นจะรีวิวราคาใหม่ โดยจะใช้งบตลาดรวม 50 ล้านบาทกับเมนูกลุ่มใหม่นี้ และคาดว่าจะสร้างยอดขายได้ 150 ล้านบาทในช่วงถึงสิ้นปีนี้ และมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันให้ทั้งปีเดอะพิซซ่ามีการเติบโตที่ 8% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
สำหรับแผนขยายสาขาเดอะพิซซ่า ยังมีต่อเนื่อง จะมุ่งเน้นในต่างจังหวัดมากขึ้น ส่วนปริมาณสาขาจะมีเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับศักยภาพของทำเลและพื้นที่ที่ได้มา รวมทั้งการเปิดของศูนย์การค้าใหม่ด้วย ต่างจังหวัดอาจจะมีการเปิดซ้ำบ้างหากมีศักยภาพ เช่น ขอนแก่นเดิมมี 1 สาขา ตอนนี้ 3 สาขาแล้ว ภูเก็ตเดิมมี 3 สาขา ตอนนี้ 7 สาขาแล้ว
ปัจจุบันเดอะพิซซ่ามีจำนวน 203 สาขา คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีประมาณ 208 สาขา จากสิ้นปีที่แล้วมีประมาณ 198 สาขา ซึ่งปีนี้เปิดสาขาใหม่น้อยกว่าปีที่แล้วที่เปิดมากถึง 28 สาขา เพราะเศรษฐกิจปีนี้ไม่เอื้ออำนวยเท่าใดนัก แต่คาดว่าปีหน้าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมน่าจะดีขึ้น
“ผมมองว่าในเมืองไทยทั้งประเทศ น่าจะมีร้านพิซซ่าที่เป็นเชนรวมกันแล้วมากกว่า 400 สาขาก็ยังอยู่ได้ในช่วง 2-3 ปีนับจากนี้ ซึ่งถือว่ายังมีโอกาสที่จะขยายสาขาได้อีก” นายแอนดี้กล่าว
