เป็นที่ฉงนอย่างมากกับข่าวคราวการเปลี่ยนแปลงของพิซซ่าฮัทที่เกิดขึ้นอีกครั้งในประเทศไทย
เมื่อบริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของแบรนด์พิซซ่าฮัทและเคเอฟซี ให้ข่าวว่าได้นำสิทธิ์ร้านพิซซ่าฮัทที่มีพันธมิตรอย่างกลุ่มเซ็นทรัลทำก่อนหน้านี้กลับมาบริหารเองทั้งหมด
ในอดีตเมื่อเกือบสิบปีที่ผ่านมา เคยเกิดกรณีนี้มาแล้ว เมื่อยัมฯ(ขณะนั้นชื่อว่าไทรคอนฯ)เจ้าของแบรนด์กับไมเนอร์กรุ๊ปผู้ถือลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ พิซซ่าฮัทในไทย ต้องทะเลาะเบาะแว้งกันถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลมาแล้ว เกี่ยวกับปัญหาที่ยัมฯไม่พอใจที่ไมเนอร์ฯไปนำแฟรนไชส์ไก่ชิกเก้นทรีทเข้ามาทำตลาดในไทย ทั้งๆที่ยังทำพิซซ่าฮัทอยู่ เพราะยัมฯเองก็มีไก่เคเอฟซีในตลาดเมืองไทย เท่ากับว่า ไมเนอร์เปิดศึกกับอีกแบรนด์ทันที ทำให้ยัมฯไม่พอใจ ในที่สุดไมเนอร์ก็สร้างแบรนด์เดอะพิซซ่าคอมปะนีขึ้นมาเองและหันหลังให้กับพิซซ่าฮัท
ขณะที่ครั้งนี้ทางเซ็นทรัลเองโดยนายรณชิต มหัทธนฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินบัญชีและบริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมื่อเดือนเมษายนปี 2552 บริษัทฯได้คืนสิทธิ์การบริหารร้านพิซซ่าฮัทให้กับทางกลุ่มยัมฯไปเรียบร้อยแล้ว โดยได้ปิดสาขาไปประมาณ 10 แห่ง และโอนกิจการไปประมาณ 15 แห่ง ทำให้ต้องสูญเสียรายได้ไปประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี แต่กิจการยังมีผลขาดทุนประมาณ 40 ล้านบาทต่อปี ซึ่งการโอนคืนครั้งนี้จะทำให้มีกระแสเงินสดเหลือประมาณ 30-40 ล้านบาทต่อปี ส่งผลให้บริษัทฯต้องปรับเป้าหมายการเติบโตรายได้รวมปีนี้เหลือ 8% จากเดิมที่ตั้งไว้ที่ 10%
แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการหย่าขาดกันครั้งนี้มาจากฝ่ายใด ทางยัมต้องการเอากลับคืนมาทำเอง หรือทางเซ็นทรัลไม่ต้องการทำต่อเอง
เพราะประเด็นนี้ นายศรัณย์ สมุทรโคจร กรรมการผู้จัดการใหญ่ของยัมฯ กล่าวเพียงว่า ขอเวลาอีก 1 เดือนเพื่อความชัดเจน แต่ย้ำว่า ไม่มีใครบอกเลิกใคร เมื่อถูกถามว่า สัญญาแฟรนไชส์หมดใช่หรือไม่ ตอบว่า ก็ไม่เชิง ทุกอย่างเป็นขั้นตอนอยู่แล้ว
“การทำงานระหว่างเรากับซีอาร์จีหรือเซ็นทรัล ไม่มีอะไรที่กะทันหัน มันเป็นวิวัฒนาการของการสร้างแบรนด์ ถึงจุดๆหนึ่งที่เรารู้ว่าควรจะทำอะไร อย่างไร เป็นการพัฒนาไปสู่ศักยภาพที่สูงที่สุดของแต่ละแบรนด์ ซึ่งสมัยก่อนเราก็มีกลุ่มซีพีเป็นพันธมิตรทำเคเอฟซีกับเรา แล้วก็เลิกกันไป ก็เป็นเรื่องปรกติ และเรายังเป็นพันธมิตรกันเหมือนเดิม ส่วนเคเอฟซีทางเซ็นทรัลก็ยังทำอยุ่เหมือนเดิม” นายศรัณย์ย้ำ
ส่วนกรณีสาขาที่อยู่ในเซ็นทรัลและปิดไปหลายแห่งนั้น บอสใหญ่ของยัมฯให้คำตอบว่า บางแห่งก็หมดสัญญา บางแห่งก็ใกล้หมดพอดี และพอดีกับที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลหลายแห่งจะมีการรีโนเวตใหม่ เช่น ที่ลาดพร้าว จึงได้หยุดไปก่อน ส่วนพื้นที่เดิมนั้น อนาคตจะเป็นร้านพิซซ่าฮัทหรือว่าเป็นรายอื่นหรือไม่นั้น ศรัณย์ กล่าวเพียงว่า ต้องขึ้นอยู่กับแลนด์ลอร์ดหรือเจ้าของพื้นที่ว่าเขาจะจัดสรรอย่างไร
น่าคิดเพราะตั้งแต่ต้นปีมานี้ก็มีสัญญาณบ่งบอกเหมือนกัน ซึ่งแหล่งข่าววงในวิเคราะห์ให้ฟังว่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่เปิดใหม่ที่พัทยา ก็ไม่มีร้านพิซซ่าฮัทเปิดบริการ ขณะที่มีแบรนด์เดอะพิซซ่าคอมปะนีเปิดบริการ ก็น่าคิดว่าเกิดะไรขึ้น
ฟากคู่แข่งอย่างเดอะพิซซ่านั้น มองเรื่องที่เกิดนี้อย่างไร
นายอนิรุทธิ์ มหธร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เดอะ พิซซ่า คอมปะนี วิเคราะห์ว่า ตลาดรวมพิซซ่ากว่า 3-4,000 ล้านบาทคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก เราเองก็คงต้องทำตลาดต่อเนื่องเพื่อรักษาความพึงพอใจของผู้บริโภค โดยที่เน้นความคุ้มค่าให้กับลูกค้า ซึ่งเราต้องแข่งกับตัวเองตลอดเวลา แต่อาจจะมีผลดีบ้างกรณีที่มีเราแบรนด์เดียวในห้างเซ็นทรัลในช่วงที่คู่แข่งยังไม่มีเปิด อาจจะมีลูกค้าเพิ่ม 10-15% ซึ่งเดิมเราก็เป็นผู้นำอยู่แล้ว โดยถ้าเทียบร้านต่อร้านในทำเลเดียวกันเรามีแชร์คนเข้า 65-70%
ปัจจุบันเดอะพิซซ่ามี มากกว่า 204 สาขา แบ่งเป็นนั่งทานประมาณ 106 สาขา ซึ่งทั้งตลาดนั่งทานในร้านและดีลิเวอรี่เราเป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งกว่า 70% ในแต่ละรูปแบบ โดยที่สัดส่วนรายได้ของเรามาจาก ดีลิเวอรี่ 45% เทคโฮม 18% และที่เหลือคือ นั่งทานในร้าน
เดอะพิซซ่าคอมปะนี ในวันนี้ดูเหมือนว่าจะยิ่งได้เปรียบขึ้นไปอีก ในสถานการณ์ที่พิซซ่าฮัท ยังต้องเผชิญอยู่กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
คงต้องจับตาดูต่อไปว่า พิซซ่าฮัท จะเดินหน้าต่ออย่างไร
เมื่อบริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของแบรนด์พิซซ่าฮัทและเคเอฟซี ให้ข่าวว่าได้นำสิทธิ์ร้านพิซซ่าฮัทที่มีพันธมิตรอย่างกลุ่มเซ็นทรัลทำก่อนหน้านี้กลับมาบริหารเองทั้งหมด
ในอดีตเมื่อเกือบสิบปีที่ผ่านมา เคยเกิดกรณีนี้มาแล้ว เมื่อยัมฯ(ขณะนั้นชื่อว่าไทรคอนฯ)เจ้าของแบรนด์กับไมเนอร์กรุ๊ปผู้ถือลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ พิซซ่าฮัทในไทย ต้องทะเลาะเบาะแว้งกันถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลมาแล้ว เกี่ยวกับปัญหาที่ยัมฯไม่พอใจที่ไมเนอร์ฯไปนำแฟรนไชส์ไก่ชิกเก้นทรีทเข้ามาทำตลาดในไทย ทั้งๆที่ยังทำพิซซ่าฮัทอยู่ เพราะยัมฯเองก็มีไก่เคเอฟซีในตลาดเมืองไทย เท่ากับว่า ไมเนอร์เปิดศึกกับอีกแบรนด์ทันที ทำให้ยัมฯไม่พอใจ ในที่สุดไมเนอร์ก็สร้างแบรนด์เดอะพิซซ่าคอมปะนีขึ้นมาเองและหันหลังให้กับพิซซ่าฮัท
ขณะที่ครั้งนี้ทางเซ็นทรัลเองโดยนายรณชิต มหัทธนฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินบัญชีและบริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมื่อเดือนเมษายนปี 2552 บริษัทฯได้คืนสิทธิ์การบริหารร้านพิซซ่าฮัทให้กับทางกลุ่มยัมฯไปเรียบร้อยแล้ว โดยได้ปิดสาขาไปประมาณ 10 แห่ง และโอนกิจการไปประมาณ 15 แห่ง ทำให้ต้องสูญเสียรายได้ไปประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี แต่กิจการยังมีผลขาดทุนประมาณ 40 ล้านบาทต่อปี ซึ่งการโอนคืนครั้งนี้จะทำให้มีกระแสเงินสดเหลือประมาณ 30-40 ล้านบาทต่อปี ส่งผลให้บริษัทฯต้องปรับเป้าหมายการเติบโตรายได้รวมปีนี้เหลือ 8% จากเดิมที่ตั้งไว้ที่ 10%
แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการหย่าขาดกันครั้งนี้มาจากฝ่ายใด ทางยัมต้องการเอากลับคืนมาทำเอง หรือทางเซ็นทรัลไม่ต้องการทำต่อเอง
เพราะประเด็นนี้ นายศรัณย์ สมุทรโคจร กรรมการผู้จัดการใหญ่ของยัมฯ กล่าวเพียงว่า ขอเวลาอีก 1 เดือนเพื่อความชัดเจน แต่ย้ำว่า ไม่มีใครบอกเลิกใคร เมื่อถูกถามว่า สัญญาแฟรนไชส์หมดใช่หรือไม่ ตอบว่า ก็ไม่เชิง ทุกอย่างเป็นขั้นตอนอยู่แล้ว
“การทำงานระหว่างเรากับซีอาร์จีหรือเซ็นทรัล ไม่มีอะไรที่กะทันหัน มันเป็นวิวัฒนาการของการสร้างแบรนด์ ถึงจุดๆหนึ่งที่เรารู้ว่าควรจะทำอะไร อย่างไร เป็นการพัฒนาไปสู่ศักยภาพที่สูงที่สุดของแต่ละแบรนด์ ซึ่งสมัยก่อนเราก็มีกลุ่มซีพีเป็นพันธมิตรทำเคเอฟซีกับเรา แล้วก็เลิกกันไป ก็เป็นเรื่องปรกติ และเรายังเป็นพันธมิตรกันเหมือนเดิม ส่วนเคเอฟซีทางเซ็นทรัลก็ยังทำอยุ่เหมือนเดิม” นายศรัณย์ย้ำ
ส่วนกรณีสาขาที่อยู่ในเซ็นทรัลและปิดไปหลายแห่งนั้น บอสใหญ่ของยัมฯให้คำตอบว่า บางแห่งก็หมดสัญญา บางแห่งก็ใกล้หมดพอดี และพอดีกับที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลหลายแห่งจะมีการรีโนเวตใหม่ เช่น ที่ลาดพร้าว จึงได้หยุดไปก่อน ส่วนพื้นที่เดิมนั้น อนาคตจะเป็นร้านพิซซ่าฮัทหรือว่าเป็นรายอื่นหรือไม่นั้น ศรัณย์ กล่าวเพียงว่า ต้องขึ้นอยู่กับแลนด์ลอร์ดหรือเจ้าของพื้นที่ว่าเขาจะจัดสรรอย่างไร
น่าคิดเพราะตั้งแต่ต้นปีมานี้ก็มีสัญญาณบ่งบอกเหมือนกัน ซึ่งแหล่งข่าววงในวิเคราะห์ให้ฟังว่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่เปิดใหม่ที่พัทยา ก็ไม่มีร้านพิซซ่าฮัทเปิดบริการ ขณะที่มีแบรนด์เดอะพิซซ่าคอมปะนีเปิดบริการ ก็น่าคิดว่าเกิดะไรขึ้น
ฟากคู่แข่งอย่างเดอะพิซซ่านั้น มองเรื่องที่เกิดนี้อย่างไร
นายอนิรุทธิ์ มหธร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เดอะ พิซซ่า คอมปะนี วิเคราะห์ว่า ตลาดรวมพิซซ่ากว่า 3-4,000 ล้านบาทคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก เราเองก็คงต้องทำตลาดต่อเนื่องเพื่อรักษาความพึงพอใจของผู้บริโภค โดยที่เน้นความคุ้มค่าให้กับลูกค้า ซึ่งเราต้องแข่งกับตัวเองตลอดเวลา แต่อาจจะมีผลดีบ้างกรณีที่มีเราแบรนด์เดียวในห้างเซ็นทรัลในช่วงที่คู่แข่งยังไม่มีเปิด อาจจะมีลูกค้าเพิ่ม 10-15% ซึ่งเดิมเราก็เป็นผู้นำอยู่แล้ว โดยถ้าเทียบร้านต่อร้านในทำเลเดียวกันเรามีแชร์คนเข้า 65-70%
ปัจจุบันเดอะพิซซ่ามี มากกว่า 204 สาขา แบ่งเป็นนั่งทานประมาณ 106 สาขา ซึ่งทั้งตลาดนั่งทานในร้านและดีลิเวอรี่เราเป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งกว่า 70% ในแต่ละรูปแบบ โดยที่สัดส่วนรายได้ของเรามาจาก ดีลิเวอรี่ 45% เทคโฮม 18% และที่เหลือคือ นั่งทานในร้าน
เดอะพิซซ่าคอมปะนี ในวันนี้ดูเหมือนว่าจะยิ่งได้เปรียบขึ้นไปอีก ในสถานการณ์ที่พิซซ่าฮัท ยังต้องเผชิญอยู่กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
คงต้องจับตาดูต่อไปว่า พิซซ่าฮัท จะเดินหน้าต่ออย่างไร