เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ นายอภิสิทธิ์ได้เสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เป็นผู้บัญชาการตำรวจคนใหม่ แทนพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งจะเกษียณอายุราชการในสิ้นเดือนกันยายนนี้
ก.ต.ช. 11 เสียงไม่เห็นด้วยกับชื่อที่นายกรัฐมนตรีเสนอ 5 เสียงในจำนวนที่ไม่เห็นด้วยมีนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งกำลังจะเกษียณรวมอยู่ด้วย
หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีถูกหักหลังจากที่ประชุมดังกล่าว นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ผู้จัดการรัฐบาล กล่าวว่า
เชื่อว่าไม่มีปัญหา เพราะในการหารือของคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ อาจจะมีความเห็นแตกต่างกัน แต่วันข้างหน้าสามารถประชุมใหม่ เลือกใหม่ได้ ไม่ใช่ความผิดของใคร เป็นเรื่องธรรมดา กรรมการคงมีดุลพินิจของแต่ละคนต้องซักซ้อมกันไป คำว่า ซักซ้อมหมายความว่าต้องเอาข้อมูลมาแลกเปลี่ยนและสอบถามกัน
นั่นเป็นการมองในแง่ดีมากๆ ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้จัดการรัฐบาล
แต่ไม่ว่าจะมองในแง่ดีอย่างไร ผู้ที่มีประสบการณ์ทางการเมืองมาอย่างโชกโชนอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ต้องตระหนักว่า เรื่องอย่างนี้สมควรที่จะไล่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยทันที เอานายวิชัย ศรีขวัญ พ้นไปจากตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยทันที แม้ว่าสิ้นเดือนกันยายนนี้จะต้องเกษียณอยู่แล้วก็ตาม
คำว่า ต้องซักซ้อมกันก่อนนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะผู้จัดการรัฐบาลควรที่จะเป็นผู้ซักซ้อมให้เป็นที่เข้าใจเสียก่อนว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ดี ปลัดกระทรวงมหาดไทยก็ดี จะมาออกความเห็นขัดกับนายกรัฐมนตรีไม่ได้
ต้องจัดการความขัดแย้งให้เห็นไปในทางเดียวกันเสียก่อนที่จะมีการประชุม ไม่ใช่ปล่อยให้นายกรัฐมนตรีหน้าแตกแล้วมาอ้างดุลพินิจของแต่ละคนไม่ได้ ประชาธิปไตยต้องรวมศูนย์ ไม่ใช่ประชาธิปไตยเฟ้ออย่างที่นำมาอ้างกัน
อย่าว่าแต่การประชุมระดับชาติเลยครับ ประชุมองค์กรธุรกิจ องค์กรราชการ เขาก็ซักซ้อมทำความเข้าใจหรือที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ บอกว่า เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลให้เห็นไปในทางเดียวกัน เขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละครับ
แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่ได้คิดจะปลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกจากตำแหน่งหรอกครับ เพราะปลดเขาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็เท่ากับปลดตัวเองจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ก็ยอมยกกระทรวงมหาดไทยให้เขาแล้วนี่ เพื่อที่จะได้จัดตั้งรัฐบาลต่อจากรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะเพื่อเห็นแก่ชาติบ้านเมือง เห็นแก่ประชาชน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้ทำแล้ว
แม้แต่ทายาทอาบ อบ นวด นายอภิสิทธิ์ก็ยอมยกเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการฯ ให้
เพราะฉะนั้นก็ต้องเจออย่างนี้ และอาจจะเจออีกต่อไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อเขาเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นสุภาพบุรุษมีความมุ่งมาดปรารถนาที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีสูง (อาจจะเพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน ไม่ได้เพื่อตัวเองเลยสักนิด) พวกที่หน้าด้าน หน้าหนาก็ยิ่งไม่มีความเกรงอกเกรงใจ
การเสนอโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันที่พรรคประชาธิปัตย์เคยคัดค้านอย่างแข็งขันมาแล้ว นั่นก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า เขาไม่ได้มีความเกรงอกเกรงใจพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้มีความเกรงอกเกรงใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี
ยิ่งการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสู่สภาฯ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นึกอยากเสนอก็เสนอ ไม่ได้มีการปรึกษาหารือพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันก่อน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในช่วงเดียวกับที่มีการประชุมหาตัวผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นั่นก็ยิ่งชัด
เราก็เห็นกันแล้วว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว คนที่ได้ประโยชน์เต็มๆ ก็คือ ตำรวจที่เข่าฆ่าประชาชนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 รวมทั้งนักการเมืองที่สั่งการในเรื่องนี้ เราก็รู้กันอยู่ว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นมีประชาชนตาย บาดเจ็บ ขาขาด แขนขาด และขณะนี้ ป.ป.ช.กำลังสืบสวนสอบสวนอยู่ ข่าวล่าสุดก็คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่กำลังจะเกษียณต้องไปให้ปากคำต่อ ป.ป.ช.และถ้าหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ก็เผชิญเคราะห์กรรมต่อไป
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรีก็ยากที่จะหนีพ้น
เว้นเสียแต่จะมีกฎหมายนิรโทษกรรมออกมา
ข้ออ้างอันแสนจะทุเรศของพรรคภูมิใจไทยก็บอกว่า เพื่อให้เกิดความปรองดองในชาติ เพื่อให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี
พรรคภูมิใจไทยไม่ว่าใครจะอยู่เบื้องหลังอย่างไร แต่ภูมิหลังก็คือ มาจากพรรคไทยรักไทย มาจากพรรคพลังประชาชน และไม่ไปร่วมกับพรรคเพื่อไทย เพื่อจะร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ ย่อมรู้และตระหนักดีว่า แม้ร่างกฎหมายนี้จะผ่านสภาฯ ก็ไม่ได้ทำให้บรรดาลิ่วล้อ สมุนซ้ายขวาของทักษิณหยุดการเคลื่อนไหว เพราะความมุ่งมาดปรารถนาของทักษิณก็คือ กลับประเทศไทยโดยไม่ติดคุก ถ้าหากสามารถกลับมาเป็นใหญ่ได้ก็ยิ่งดี เงินทองที่ถูกอายัดไว้ต้องได้คืน ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็จะป่วนบ้านป่วนเมืองอยู่อย่างนี้ จะป่าวร้องอยู่อย่างนี้ว่า เขาไม่ได้รับความเป็นธรรมหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ต้องย้อนอดีตไปถึง 19 กันยายน 2549 ให้กับทักษิณ
นี่คิดความคิดของพวกเขา ไม่ใช่แก้ไขด้วยการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือแก้รัฐธรรมนูญอย่างที่ป่าวร้องอยู่ขณะนี้
รัฐบาลผสมที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีพรรคภูมิใจไทยร่วมเป็นรัฐบาลจะต้องแก้ไขด้วยการให้ความจริงกับประชาชน ให้โลกรู้ว่า ทักษิณเลวอย่างไรบ้าง ผิดกฎหมายอย่างไรบ้าง คดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีการเมืองตัดสินไปแล้ว เพราะความผิดอะไร คดีอื่นๆ ที่ศาลจะต้องพิจารณาต่อไปมีคดีใดบ้าง
ให้ผู้คนทั้งหลายรู้เข้าใจ
หรือมัวแต่จะเล่นการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง เพื่อรอวันล่ม ก็ตามใจ
ก.ต.ช. 11 เสียงไม่เห็นด้วยกับชื่อที่นายกรัฐมนตรีเสนอ 5 เสียงในจำนวนที่ไม่เห็นด้วยมีนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งกำลังจะเกษียณรวมอยู่ด้วย
หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีถูกหักหลังจากที่ประชุมดังกล่าว นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ผู้จัดการรัฐบาล กล่าวว่า
เชื่อว่าไม่มีปัญหา เพราะในการหารือของคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ อาจจะมีความเห็นแตกต่างกัน แต่วันข้างหน้าสามารถประชุมใหม่ เลือกใหม่ได้ ไม่ใช่ความผิดของใคร เป็นเรื่องธรรมดา กรรมการคงมีดุลพินิจของแต่ละคนต้องซักซ้อมกันไป คำว่า ซักซ้อมหมายความว่าต้องเอาข้อมูลมาแลกเปลี่ยนและสอบถามกัน
นั่นเป็นการมองในแง่ดีมากๆ ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้จัดการรัฐบาล
แต่ไม่ว่าจะมองในแง่ดีอย่างไร ผู้ที่มีประสบการณ์ทางการเมืองมาอย่างโชกโชนอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ต้องตระหนักว่า เรื่องอย่างนี้สมควรที่จะไล่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยทันที เอานายวิชัย ศรีขวัญ พ้นไปจากตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยทันที แม้ว่าสิ้นเดือนกันยายนนี้จะต้องเกษียณอยู่แล้วก็ตาม
คำว่า ต้องซักซ้อมกันก่อนนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะผู้จัดการรัฐบาลควรที่จะเป็นผู้ซักซ้อมให้เป็นที่เข้าใจเสียก่อนว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ดี ปลัดกระทรวงมหาดไทยก็ดี จะมาออกความเห็นขัดกับนายกรัฐมนตรีไม่ได้
ต้องจัดการความขัดแย้งให้เห็นไปในทางเดียวกันเสียก่อนที่จะมีการประชุม ไม่ใช่ปล่อยให้นายกรัฐมนตรีหน้าแตกแล้วมาอ้างดุลพินิจของแต่ละคนไม่ได้ ประชาธิปไตยต้องรวมศูนย์ ไม่ใช่ประชาธิปไตยเฟ้ออย่างที่นำมาอ้างกัน
อย่าว่าแต่การประชุมระดับชาติเลยครับ ประชุมองค์กรธุรกิจ องค์กรราชการ เขาก็ซักซ้อมทำความเข้าใจหรือที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ บอกว่า เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลให้เห็นไปในทางเดียวกัน เขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละครับ
แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่ได้คิดจะปลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยออกจากตำแหน่งหรอกครับ เพราะปลดเขาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็เท่ากับปลดตัวเองจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ก็ยอมยกกระทรวงมหาดไทยให้เขาแล้วนี่ เพื่อที่จะได้จัดตั้งรัฐบาลต่อจากรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะเพื่อเห็นแก่ชาติบ้านเมือง เห็นแก่ประชาชน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้ทำแล้ว
แม้แต่ทายาทอาบ อบ นวด นายอภิสิทธิ์ก็ยอมยกเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการฯ ให้
เพราะฉะนั้นก็ต้องเจออย่างนี้ และอาจจะเจออีกต่อไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อเขาเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นสุภาพบุรุษมีความมุ่งมาดปรารถนาที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีสูง (อาจจะเพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน ไม่ได้เพื่อตัวเองเลยสักนิด) พวกที่หน้าด้าน หน้าหนาก็ยิ่งไม่มีความเกรงอกเกรงใจ
การเสนอโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันที่พรรคประชาธิปัตย์เคยคัดค้านอย่างแข็งขันมาแล้ว นั่นก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า เขาไม่ได้มีความเกรงอกเกรงใจพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้มีความเกรงอกเกรงใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี
ยิ่งการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าสู่สภาฯ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นึกอยากเสนอก็เสนอ ไม่ได้มีการปรึกษาหารือพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันก่อน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในช่วงเดียวกับที่มีการประชุมหาตัวผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นั่นก็ยิ่งชัด
เราก็เห็นกันแล้วว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว คนที่ได้ประโยชน์เต็มๆ ก็คือ ตำรวจที่เข่าฆ่าประชาชนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 รวมทั้งนักการเมืองที่สั่งการในเรื่องนี้ เราก็รู้กันอยู่ว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นมีประชาชนตาย บาดเจ็บ ขาขาด แขนขาด และขณะนี้ ป.ป.ช.กำลังสืบสวนสอบสวนอยู่ ข่าวล่าสุดก็คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่กำลังจะเกษียณต้องไปให้ปากคำต่อ ป.ป.ช.และถ้าหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ก็เผชิญเคราะห์กรรมต่อไป
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรีก็ยากที่จะหนีพ้น
เว้นเสียแต่จะมีกฎหมายนิรโทษกรรมออกมา
ข้ออ้างอันแสนจะทุเรศของพรรคภูมิใจไทยก็บอกว่า เพื่อให้เกิดความปรองดองในชาติ เพื่อให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี
พรรคภูมิใจไทยไม่ว่าใครจะอยู่เบื้องหลังอย่างไร แต่ภูมิหลังก็คือ มาจากพรรคไทยรักไทย มาจากพรรคพลังประชาชน และไม่ไปร่วมกับพรรคเพื่อไทย เพื่อจะร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ ย่อมรู้และตระหนักดีว่า แม้ร่างกฎหมายนี้จะผ่านสภาฯ ก็ไม่ได้ทำให้บรรดาลิ่วล้อ สมุนซ้ายขวาของทักษิณหยุดการเคลื่อนไหว เพราะความมุ่งมาดปรารถนาของทักษิณก็คือ กลับประเทศไทยโดยไม่ติดคุก ถ้าหากสามารถกลับมาเป็นใหญ่ได้ก็ยิ่งดี เงินทองที่ถูกอายัดไว้ต้องได้คืน ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็จะป่วนบ้านป่วนเมืองอยู่อย่างนี้ จะป่าวร้องอยู่อย่างนี้ว่า เขาไม่ได้รับความเป็นธรรมหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ต้องย้อนอดีตไปถึง 19 กันยายน 2549 ให้กับทักษิณ
นี่คิดความคิดของพวกเขา ไม่ใช่แก้ไขด้วยการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือแก้รัฐธรรมนูญอย่างที่ป่าวร้องอยู่ขณะนี้
รัฐบาลผสมที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีพรรคภูมิใจไทยร่วมเป็นรัฐบาลจะต้องแก้ไขด้วยการให้ความจริงกับประชาชน ให้โลกรู้ว่า ทักษิณเลวอย่างไรบ้าง ผิดกฎหมายอย่างไรบ้าง คดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีการเมืองตัดสินไปแล้ว เพราะความผิดอะไร คดีอื่นๆ ที่ศาลจะต้องพิจารณาต่อไปมีคดีใดบ้าง
ให้ผู้คนทั้งหลายรู้เข้าใจ
หรือมัวแต่จะเล่นการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง เพื่อรอวันล่ม ก็ตามใจ