กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพและนับถือ
ตั้งแต่ผมออกจากคณะรัฐศาสตร์ และเข้ารับราชการที่กระทรวงมหาดไทย ผมก็ไม่ได้ติดต่อกับอาจารย์เลย เพราะผมต้องย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดไกลๆ วันนี้ผมนึกถึงอาจารย์ตอนที่พวกผมถามอาจารย์ว่า เราจะเป็นข้าราชการที่ดี และก็มีความก้าวหน้าด้วยได้อย่างไร จะต้องมีนายและมีนักการเมืองสนับสนุนหรือไม่
อาจารย์ตอบว่า ก่อนอื่นพวกเราจะต้องมีสองอย่างควบคู่กันไป คือ มีคุณลักษณะทางอุปนิสัยที่ดี มีความซื่อสัตย์ ซื่อตรง มีความสัมพันธ์กับนาย เพื่อนร่วมงาน และลูกน้องที่ดี มีระเบียบวินัยในตนเอง มีจิตใจรับใช้ประชาชน สู้งาน อีกด้านหนึ่งก็คือ ความรู้ความสามารถ และทักษะในการทำงาน โดยเฉพาะทักษะในหน้าที่ความรับผิดชอบ
อาจารย์บอกพวกผมว่า คุณลักษณะด้านแรกสำคัญที่สุด และยังเตือนว่าอย่าใช้การประจบสอพลอ การรับใช้นายด้วยเรื่องส่วนตัว และจะต้องไม่เกรงกลัวอำนาจ แม้จะมีความสุภาพอ่อนโยน แต่ก็ไม่ก้าวร้าว หากยึดมั่นในหลักการ ถ้าเรามีความรู้ความสามารถแล้ว แม้เจ้านายจะไม่ค่อยชอบหน้าเราเพราะไม่ประจบเอาใจ แต่ถ้าอยากให้งานสำเร็จ เขาก็ต้องใช้เราพึ่งเรา แม้ครั้งแรกเขาจะไม่ให้เราทำงานนั้น แต่เมื่อไปใช้คนอื่นแล้วไม่มีใครทำได้ เขาก็ต้องกลับมาใช้เรา อาจารย์บอกว่า ถ้าพวกเราต้องการความอิสระ ไม่ยอมใคร เราก็ต้องเก่งกว่าคนอื่นหลายๆ เท่า
ผมจำได้ว่าอาจารย์ยกตัวอย่างข้าราชการสองคน คือ คุณโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ที่สภาพัฒน์ และคุณมนุชญ์ วัฒนโกเมร ที่กระทรวงมหาดไทย อาจารย์เล่าว่าคุณโฆสิตทำงานเงียบๆ ออกต่างจังหวัดไปสำรวจหมู่บ้าน และเป็นผู้ผลักดันให้เกิดแผนชนบทยากจน อาจารย์บอกว่า คุณโฆสิตไม่ชอบประจบเจ้านาย และไม่เป็นที่โปรดปรานของเจ้านายจนไม่ได้ขึ้นเป็นเลขาธิการสำนักงานฯ แต่เจ้านายก็จำเป็นต้องอาศัยคุณโฆสิต ทำเรื่องแผนพัฒนาชนบทยากจน
เวลานั้นผมไม่รู้จัก และไม่เคยได้ยินชื่อคุณโฆสิตเลย แต่ต่อมาคุณโฆสิตได้เป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวง เป็นรองนายกฯ และเป็นประธานธนาคารกรุงเทพ เมื่อคุณโฆสิตเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ มาตรวจงานที่จังหวัดซึ่งผมเป็นปลัดอำเภออยู่ ผมประทับใจในความเรียบง่ายของท่านเป็นอันมาก และสังเกตว่าท่านเอาใจใส่ความเป็นอยู่ของคนยากคนจนจริงๆ
ส่วนคุณมนุชญ์นั้น เมื่อผมเข้ารับราชการที่กระทรวงมหาดไทย ท่านเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ผมได้ยินกิตติศัพท์ว่าท่านสามารถจัดการเรื่องการสร้างเขื่อนป่าสัก โดยประชาชนพอใจการชดเชยค่าที่ดิน และต่อมาท่านเข้ามาเป็นรองปลัดกระทรวง ผมเคยเข้าร่วมประชุมกับท่านครั้งหนึ่ง รู้สึกทึ่งเพราะท่านไม่ได้มีมาดของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แต่พูดจาตรงไปตรงมา และแสดงความคิดเห็น ตลอดจนรับฟังความเห็นของผู้อื่น ท่านพูดจาขวานผ่าซาก ผู้ใหญ่ไม่ค่อยชอบ แต่จำเป็นต้องใช้เพราะคุณมนุชญ์ทำงานเก่ง มีความซื่อสัตย์
อาจารย์บอกพวกผมว่า ลูกศิษย์อาจารย์ทุกคนได้รับคำแนะนำให้อดทน อย่าคิดจะได้ดีในระยะสั้น เพราะการได้ดีด้วยตัวของเราเองนั้นต้องใช้เวลานาน แต่ในระยะยาว เราจะเห็นว่าบางคนที่ได้ดีในเวลาอันรวดเร็ว มักจบลงไม่ค่อยดีเท่าไร
อาจารย์สอนว่าในแวดวงอาจารย์ก็เช่นกัน ตัวอาจารย์เองสมัยอยู่นิด้า อาจารย์คนอื่นไปช่วยงานคณะปฏิวัติหมด มีแต่อาจารย์ที่ไม่ไป แต่ต้องอดทนต่อการถูกกล่าวหา และกีดกันในทางวิชาการ เวลามีการเชิญไปต่างประเทศ คณบดีก็จะเลือกคนอื่นไป และไม่ให้อาจารย์สอบขั้น ทั้งๆ ที่มีผลงาน แต่ในที่สุด ผมก็เห็นว่าอาจารย์ได้เป็นศาสตราจารย์ก่อนใคร และมีชีวิตที่ดี
แต่อาจารย์ครับ เหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทยเวลานี้ทำให้ผมท้อแท้ใจ ผมเองยึดมั่นในคำสอนของอาจารย์ตลอดมา แต่การมีนายสองระดับ คือ ที่เป็นข้าราชการกับที่เป็นนักการเมืองด้วย ทำให้ข้าราชการบางคนเข้าหานักการเมือง มาสมัยหลังๆ นี้นอกจากตัว รมต. และ รมช.แล้ว ยังมีคณะที่ปรึกษาเข้ามาด้วย และบทบาทของที่ปรึกษานี้ลึกๆ ก็คือมาหากินโดยดูโครงการใช้งบประมาณของกรมต่างๆ นั่นเอง เวลานี้กรมที่มีงบประมาณมากก็คือ กรมปกครองท้องถิ่น
การแต่งตั้งผู้ว่าราชการฯ แต่ละครั้ง นักการเมืองมีบทบาทมาก ผู้อยากได้ตำแหน่งจำเป็นต้องวิ่งเข้าหานักการเมือง ดังนั้นสิ่งที่อาจารย์สอนมาคือ ไม่ต้องมีพวกก็ได้ดีด้วยฝีมือเราเอง จึงไม่จริงครับ เพราะเขาไม่ต้องการฝีมือ ไม่ต้องการคนทำงานเก่ง เพียงแต่ให้เขาเห็นหน้าทุกวัน และทำตามคำสั่งของเขาก็พอแล้ว เวลานี้กระทรวงมหาดไทยที่เราเคยภาคภูมิใจว่ามีสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงเป็นเสนาบดีก็หมดสิ้นแล้ว เราเคยมีกุ๊ยเข้ามาเป็นรัฐมนตรี เวลานี้เราก็มีรัฐมนตรีเงาแฝงตัวคอยแนะนำรัฐมนตรีจริงอยู่ด้วย
การแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยที่เพิ่งผ่านไปเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้ผมท้อแท้มากขึ้น ไม่ใช่เพราะผมเป็นสิงห์ดำ แต่ลองคิดดูซิครับว่า ตอนปี 2537 ที่ท่านอนุชา โมกขะเวส ขึ้นเป็นผู้ว่าฯ นั้น ท่านอธิบดีมานิต ยังเป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายของสำนักงานจังหวัดอยู่เลย และท่านเพิ่งได้เป็นผู้ว่าฯ เมื่อปี 2547 นี้เอง
การแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่มีการข้ามอาวุโสที่ต่างกันมากที่สุด โดยที่ผู้อาวุโสน้อยก็ไม่ได้มีความสามารถพิเศษดีไปกว่าคนที่มีอาวุโสสูงอย่างท่านอนุชาหรือท่านสมพร ทำให้ผมหมดศรัทธาและความนับถือพรรคประชาธิปัตย์ และเห็นความอ่อนแอของตัวหัวหน้าพรรค ผมคิดว่าการเลือกตั้งคราวหน้า พรรคประชาธิปัตย์ไม่น่าจะได้เกินครึ่งในกรุงเทพมหานคร เพราะคนเบื่อมาก
พวกผมได้แต่นิ่งเฉย และในใจก็ดูแคลนพวกผู้ใหญ่เหล่านี้ ยิ่งพวกนักการเมืองด้วยแล้ว ผมแทบจะไม่อยากเดินเฉียดไปใกล้เลย เพราะเหมือนกับเป็นเสนียด
แต่อาจารย์ครับ ผมจะอดทน เวลาเลี้ยงรุ่นเรายังพูดถึงอาจารย์ และติดตามอ่านบทความของอาจารย์เสมอนะครับ พวกเราพูดกันว่า อาจารย์เป็นคนดูคนไม่ผิด และในระยะยาวคนที่อาจารย์เห็นว่าดี และคบค้าด้วยมักจะเป็นคนดีเสมอ ขอให้อาจารย์มีสุขภาพดีนะครับ ผมดูรายการที่ลูกชายอาจารย์ออก ASTV วันพุธทุกครั้งครับ เขาเหมือนอาจารย์มากครับ พูดอะไรก็มีอารมณ์ขัน และเหน็บแนมเล็กๆ แต่สุภาพและสนุกครับ
ตั้งแต่ผมออกจากคณะรัฐศาสตร์ และเข้ารับราชการที่กระทรวงมหาดไทย ผมก็ไม่ได้ติดต่อกับอาจารย์เลย เพราะผมต้องย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดไกลๆ วันนี้ผมนึกถึงอาจารย์ตอนที่พวกผมถามอาจารย์ว่า เราจะเป็นข้าราชการที่ดี และก็มีความก้าวหน้าด้วยได้อย่างไร จะต้องมีนายและมีนักการเมืองสนับสนุนหรือไม่
อาจารย์ตอบว่า ก่อนอื่นพวกเราจะต้องมีสองอย่างควบคู่กันไป คือ มีคุณลักษณะทางอุปนิสัยที่ดี มีความซื่อสัตย์ ซื่อตรง มีความสัมพันธ์กับนาย เพื่อนร่วมงาน และลูกน้องที่ดี มีระเบียบวินัยในตนเอง มีจิตใจรับใช้ประชาชน สู้งาน อีกด้านหนึ่งก็คือ ความรู้ความสามารถ และทักษะในการทำงาน โดยเฉพาะทักษะในหน้าที่ความรับผิดชอบ
อาจารย์บอกพวกผมว่า คุณลักษณะด้านแรกสำคัญที่สุด และยังเตือนว่าอย่าใช้การประจบสอพลอ การรับใช้นายด้วยเรื่องส่วนตัว และจะต้องไม่เกรงกลัวอำนาจ แม้จะมีความสุภาพอ่อนโยน แต่ก็ไม่ก้าวร้าว หากยึดมั่นในหลักการ ถ้าเรามีความรู้ความสามารถแล้ว แม้เจ้านายจะไม่ค่อยชอบหน้าเราเพราะไม่ประจบเอาใจ แต่ถ้าอยากให้งานสำเร็จ เขาก็ต้องใช้เราพึ่งเรา แม้ครั้งแรกเขาจะไม่ให้เราทำงานนั้น แต่เมื่อไปใช้คนอื่นแล้วไม่มีใครทำได้ เขาก็ต้องกลับมาใช้เรา อาจารย์บอกว่า ถ้าพวกเราต้องการความอิสระ ไม่ยอมใคร เราก็ต้องเก่งกว่าคนอื่นหลายๆ เท่า
ผมจำได้ว่าอาจารย์ยกตัวอย่างข้าราชการสองคน คือ คุณโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ที่สภาพัฒน์ และคุณมนุชญ์ วัฒนโกเมร ที่กระทรวงมหาดไทย อาจารย์เล่าว่าคุณโฆสิตทำงานเงียบๆ ออกต่างจังหวัดไปสำรวจหมู่บ้าน และเป็นผู้ผลักดันให้เกิดแผนชนบทยากจน อาจารย์บอกว่า คุณโฆสิตไม่ชอบประจบเจ้านาย และไม่เป็นที่โปรดปรานของเจ้านายจนไม่ได้ขึ้นเป็นเลขาธิการสำนักงานฯ แต่เจ้านายก็จำเป็นต้องอาศัยคุณโฆสิต ทำเรื่องแผนพัฒนาชนบทยากจน
เวลานั้นผมไม่รู้จัก และไม่เคยได้ยินชื่อคุณโฆสิตเลย แต่ต่อมาคุณโฆสิตได้เป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวง เป็นรองนายกฯ และเป็นประธานธนาคารกรุงเทพ เมื่อคุณโฆสิตเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ มาตรวจงานที่จังหวัดซึ่งผมเป็นปลัดอำเภออยู่ ผมประทับใจในความเรียบง่ายของท่านเป็นอันมาก และสังเกตว่าท่านเอาใจใส่ความเป็นอยู่ของคนยากคนจนจริงๆ
ส่วนคุณมนุชญ์นั้น เมื่อผมเข้ารับราชการที่กระทรวงมหาดไทย ท่านเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ผมได้ยินกิตติศัพท์ว่าท่านสามารถจัดการเรื่องการสร้างเขื่อนป่าสัก โดยประชาชนพอใจการชดเชยค่าที่ดิน และต่อมาท่านเข้ามาเป็นรองปลัดกระทรวง ผมเคยเข้าร่วมประชุมกับท่านครั้งหนึ่ง รู้สึกทึ่งเพราะท่านไม่ได้มีมาดของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แต่พูดจาตรงไปตรงมา และแสดงความคิดเห็น ตลอดจนรับฟังความเห็นของผู้อื่น ท่านพูดจาขวานผ่าซาก ผู้ใหญ่ไม่ค่อยชอบ แต่จำเป็นต้องใช้เพราะคุณมนุชญ์ทำงานเก่ง มีความซื่อสัตย์
อาจารย์บอกพวกผมว่า ลูกศิษย์อาจารย์ทุกคนได้รับคำแนะนำให้อดทน อย่าคิดจะได้ดีในระยะสั้น เพราะการได้ดีด้วยตัวของเราเองนั้นต้องใช้เวลานาน แต่ในระยะยาว เราจะเห็นว่าบางคนที่ได้ดีในเวลาอันรวดเร็ว มักจบลงไม่ค่อยดีเท่าไร
อาจารย์สอนว่าในแวดวงอาจารย์ก็เช่นกัน ตัวอาจารย์เองสมัยอยู่นิด้า อาจารย์คนอื่นไปช่วยงานคณะปฏิวัติหมด มีแต่อาจารย์ที่ไม่ไป แต่ต้องอดทนต่อการถูกกล่าวหา และกีดกันในทางวิชาการ เวลามีการเชิญไปต่างประเทศ คณบดีก็จะเลือกคนอื่นไป และไม่ให้อาจารย์สอบขั้น ทั้งๆ ที่มีผลงาน แต่ในที่สุด ผมก็เห็นว่าอาจารย์ได้เป็นศาสตราจารย์ก่อนใคร และมีชีวิตที่ดี
แต่อาจารย์ครับ เหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทยเวลานี้ทำให้ผมท้อแท้ใจ ผมเองยึดมั่นในคำสอนของอาจารย์ตลอดมา แต่การมีนายสองระดับ คือ ที่เป็นข้าราชการกับที่เป็นนักการเมืองด้วย ทำให้ข้าราชการบางคนเข้าหานักการเมือง มาสมัยหลังๆ นี้นอกจากตัว รมต. และ รมช.แล้ว ยังมีคณะที่ปรึกษาเข้ามาด้วย และบทบาทของที่ปรึกษานี้ลึกๆ ก็คือมาหากินโดยดูโครงการใช้งบประมาณของกรมต่างๆ นั่นเอง เวลานี้กรมที่มีงบประมาณมากก็คือ กรมปกครองท้องถิ่น
การแต่งตั้งผู้ว่าราชการฯ แต่ละครั้ง นักการเมืองมีบทบาทมาก ผู้อยากได้ตำแหน่งจำเป็นต้องวิ่งเข้าหานักการเมือง ดังนั้นสิ่งที่อาจารย์สอนมาคือ ไม่ต้องมีพวกก็ได้ดีด้วยฝีมือเราเอง จึงไม่จริงครับ เพราะเขาไม่ต้องการฝีมือ ไม่ต้องการคนทำงานเก่ง เพียงแต่ให้เขาเห็นหน้าทุกวัน และทำตามคำสั่งของเขาก็พอแล้ว เวลานี้กระทรวงมหาดไทยที่เราเคยภาคภูมิใจว่ามีสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงเป็นเสนาบดีก็หมดสิ้นแล้ว เราเคยมีกุ๊ยเข้ามาเป็นรัฐมนตรี เวลานี้เราก็มีรัฐมนตรีเงาแฝงตัวคอยแนะนำรัฐมนตรีจริงอยู่ด้วย
การแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยที่เพิ่งผ่านไปเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้ผมท้อแท้มากขึ้น ไม่ใช่เพราะผมเป็นสิงห์ดำ แต่ลองคิดดูซิครับว่า ตอนปี 2537 ที่ท่านอนุชา โมกขะเวส ขึ้นเป็นผู้ว่าฯ นั้น ท่านอธิบดีมานิต ยังเป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายของสำนักงานจังหวัดอยู่เลย และท่านเพิ่งได้เป็นผู้ว่าฯ เมื่อปี 2547 นี้เอง
การแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่มีการข้ามอาวุโสที่ต่างกันมากที่สุด โดยที่ผู้อาวุโสน้อยก็ไม่ได้มีความสามารถพิเศษดีไปกว่าคนที่มีอาวุโสสูงอย่างท่านอนุชาหรือท่านสมพร ทำให้ผมหมดศรัทธาและความนับถือพรรคประชาธิปัตย์ และเห็นความอ่อนแอของตัวหัวหน้าพรรค ผมคิดว่าการเลือกตั้งคราวหน้า พรรคประชาธิปัตย์ไม่น่าจะได้เกินครึ่งในกรุงเทพมหานคร เพราะคนเบื่อมาก
พวกผมได้แต่นิ่งเฉย และในใจก็ดูแคลนพวกผู้ใหญ่เหล่านี้ ยิ่งพวกนักการเมืองด้วยแล้ว ผมแทบจะไม่อยากเดินเฉียดไปใกล้เลย เพราะเหมือนกับเป็นเสนียด
แต่อาจารย์ครับ ผมจะอดทน เวลาเลี้ยงรุ่นเรายังพูดถึงอาจารย์ และติดตามอ่านบทความของอาจารย์เสมอนะครับ พวกเราพูดกันว่า อาจารย์เป็นคนดูคนไม่ผิด และในระยะยาวคนที่อาจารย์เห็นว่าดี และคบค้าด้วยมักจะเป็นคนดีเสมอ ขอให้อาจารย์มีสุขภาพดีนะครับ ผมดูรายการที่ลูกชายอาจารย์ออก ASTV วันพุธทุกครั้งครับ เขาเหมือนอาจารย์มากครับ พูดอะไรก็มีอารมณ์ขัน และเหน็บแนมเล็กๆ แต่สุภาพและสนุกครับ