พลังงานสั่งกฟผ.ปรับแผนดูแลไฟฟ้าหากเกิดเหตุฉุกเฉินให้ใช้น้ำมันแทนปล่อยน้ำจากเขื่อน กฟผ.เล็งสำรวจลำนำใต้เขื่อนทั่วประเทศใหม่ หลังพบสิ่งก่อสร้างกีดขวางเพิ่มขึ้น หวั่นซ้ำรอยชาวกาญจน์ เล็งควัก 25 ล้านชดเชยชาวบ้าน 240 ราย เชื่อข่าวดีปริมาณการใช้ไฟเป็นบวกครั้งแรกเพิ่มขึ้น 2%
น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ว่า มอบหมายให้กฟผ.เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากากรปล่อยน้ำจากศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี ซึ่งการดูแลในเรื่องของไฟฟ้านั้น มีคณะทำงานป้องกันแผนฉุกเฉินดูแลอยู่ และการปล่อยน้ำจากเขื่อนทุกบานประตูน้ำเคยดำเนินการมาแล้ว แต่ผลกระทบไม่มากเหมือนที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ซึ่งขณะนี้คณะทำงานที่กระทรวงตั้งขึ้นกำลังหาข้อสรุปสาเหตุที่แท้จริง คาดว่าจะได้ข้อสรุปใน 2 สัปดาห์
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กฟผ.ไปทบทวนมาตรการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินป้องกันไฟฟ้าดับใหม่ และควรมีคณะกรรมการกลางขึ้นมาร่วมกันตัดสินใจ แทนการให้อำนาจการตัดสินใจเพียงคนเดียว พร้อมกันนี้ หากมีเหตุฉุกเฉินขึ้นมาอีก กฟผ.ควรให้น้ำหนักกับการผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันเตา และดีเซล มากกว่าการปล่อยน้ำผลิตไฟฟ้าจากเขื่อน
นายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการกฟผ. กล่าวว่า เตรียมรวบรวมตัวเลขของต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จากเหตุการณ์ส่งก๊าซธรรมชาติยานาดาในประเทศพม่ามีปัญหา เมื่อช่วงวันที่ 15 ส.ค.ไปให้บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เพื่อให้ร่วมรับผิดชอบความเสียหาย ในเบื้องต้นยังไม่ทราบตัวเลขที่แน่ชัด แต่หากมีความเสียหาย 400 ล้านบาทจะกระทบต่อต้นทุนค่าไฟฟ้า 1 ส.ตง/หน่วย
ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวจ.กาญจนบุรีนั้น ทำให้กฟผ.ต้องเร่งสำรวจลำนำใต้เขื่อนของกฟผ.ทั่วประเทศใหม่หมด เพื่อป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำรอยขึ้นมาอีก สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น พบว่า มีประชาชนเดือนร้อนประมาณ 240 ราย มูลค่าความเสีย 25 ล้านบาท โดยกฟผ.จะทยอยจ่ายชดเชยไปก่อน และขณะนี้ ทางกฟผ.ได้หารือไปทางกระทรวงพลังงานแล้วว่า ต้องให้ปตท.มาร่วมรับผิดชอบด้วย
นายสมบัติ กล่าวถึงปริมาณการใช้ไฟฟ้าว่า ในเดือนส.ค.ตัวเลขการใช้ไฟฟ้ากลับมาเป็นบวกในครั้งแรกในรอบปี’52 ประมาณ 2% หลังจากติดลบมาหลายเดือน
น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ว่า มอบหมายให้กฟผ.เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากากรปล่อยน้ำจากศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี ซึ่งการดูแลในเรื่องของไฟฟ้านั้น มีคณะทำงานป้องกันแผนฉุกเฉินดูแลอยู่ และการปล่อยน้ำจากเขื่อนทุกบานประตูน้ำเคยดำเนินการมาแล้ว แต่ผลกระทบไม่มากเหมือนที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ซึ่งขณะนี้คณะทำงานที่กระทรวงตั้งขึ้นกำลังหาข้อสรุปสาเหตุที่แท้จริง คาดว่าจะได้ข้อสรุปใน 2 สัปดาห์
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กฟผ.ไปทบทวนมาตรการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินป้องกันไฟฟ้าดับใหม่ และควรมีคณะกรรมการกลางขึ้นมาร่วมกันตัดสินใจ แทนการให้อำนาจการตัดสินใจเพียงคนเดียว พร้อมกันนี้ หากมีเหตุฉุกเฉินขึ้นมาอีก กฟผ.ควรให้น้ำหนักกับการผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันเตา และดีเซล มากกว่าการปล่อยน้ำผลิตไฟฟ้าจากเขื่อน
นายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการกฟผ. กล่าวว่า เตรียมรวบรวมตัวเลขของต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จากเหตุการณ์ส่งก๊าซธรรมชาติยานาดาในประเทศพม่ามีปัญหา เมื่อช่วงวันที่ 15 ส.ค.ไปให้บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เพื่อให้ร่วมรับผิดชอบความเสียหาย ในเบื้องต้นยังไม่ทราบตัวเลขที่แน่ชัด แต่หากมีความเสียหาย 400 ล้านบาทจะกระทบต่อต้นทุนค่าไฟฟ้า 1 ส.ตง/หน่วย
ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวจ.กาญจนบุรีนั้น ทำให้กฟผ.ต้องเร่งสำรวจลำนำใต้เขื่อนของกฟผ.ทั่วประเทศใหม่หมด เพื่อป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำรอยขึ้นมาอีก สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น พบว่า มีประชาชนเดือนร้อนประมาณ 240 ราย มูลค่าความเสีย 25 ล้านบาท โดยกฟผ.จะทยอยจ่ายชดเชยไปก่อน และขณะนี้ ทางกฟผ.ได้หารือไปทางกระทรวงพลังงานแล้วว่า ต้องให้ปตท.มาร่วมรับผิดชอบด้วย
นายสมบัติ กล่าวถึงปริมาณการใช้ไฟฟ้าว่า ในเดือนส.ค.ตัวเลขการใช้ไฟฟ้ากลับมาเป็นบวกในครั้งแรกในรอบปี’52 ประมาณ 2% หลังจากติดลบมาหลายเดือน
