ASTVผู้จัดการรายวัน-เอ็กโก กรุ๊ป คาดครึ่งปีหลังกำไรลดลง เตรียมแผนลงทุนซื้อกิจการโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ และลงทุนพลังงานหมุนเวียน
นายวินิจ แตงน้อย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง บริษัทมีกำไรสุทธิต่ำกว่าครึ่งแรกของปีที่มีกำไรสุทธิ 4.64 พันล้านบาท และจะต่ำกว่าปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 6.9 พันล้านบาท เพราะบริษัทจะรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีลดลงมาก เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าขนอมที่จะมีรายได้ลดลงในครึ่งปีหลัง ยกเว้นโรงไฟฟ้าระยองที่มีรายได้ใกล้เคียง 6 เดือนแรก ซึ่งโครงสร้างค่าไฟของโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีจะทยอยลดลงปีละ 10% เป็นเวลา 5-6 ปี ซึ่งการรับรู้กำไรจากบีแอลซีพีคิดเป็น 41% ของกำไรทั้งหมดของเอ็กโก ขณะที่โรงไฟฟ้าขนอมและโรงไฟฟ้าระยองจะทำรายได้และกำไรลดลงต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ส่งผลให้กำไรสุทธิของเอ็กโกในปี 2553 จะลดลงต่ำกว่าปี 2552 เว้นแต่มีการซื้อกิจการโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วในต่างประเทศเท่านั้น
“วันที่ 15 ธ.ค.นี้ โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 สปป.ลาว กำลังผลิต 1086,8 เมกะวัตต์จะมีการจ่ายไฟเข้าสู่ระบบตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ทำให้บริษัทรับรู้รายได้ในปี 2553 ประมาณ 500 ล้านบาท รวมกับรายได้จากโรงไฟฟ้าเควซอนที่ฟิลิปปินส์และโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 ก็ไม่สามารถชดเชยกำไรที่หายไปจากบีแอลซีพีไปได้ ทำให้แนวโน้มกำไรบริษัทจะลดลงต่อเนื่องไปอีก 4 ปี หากไม่มีโครงการใหม่เข้ามาเสริม แต่จะพยายามรักษากำไรไว้ที่ระดับปีละ 5,000 ล้านบาทให้ได้”
นายวินิจกล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเน้นการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียนที่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและเวียดนาม ทั้งการซื้อโรงไฟฟ้าเดิมที่ผลิตไฟฟ้าอยู่แล้ว หรือการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ โดยยอมรับว่าวิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติทั้งสหรัฐฯ และยุโรปที่เข้ามาลงทุนในอาเซียนต้องขายสินทรัพย์ในภูมิภาคนี้ออกมา ซึ่งบริษัทมีความเข้มแข็งด้านการเงินทำให้มีโอกาสที่จะเข้าไปซื้อกิจการเหล่านี้ได้ โดยจะเน้นโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว เป็นการลงทุนไม่เกินตัว และต้องมีพาร์ทเนอร์ที่ดีด้วย
สำหรับแผนการเข้าซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าเควซอนเพิ่มเติมอีกนั้น ขณะนี้คู่แข่งที่ต้องการเข้ามาซื้อหุ้นเช่นกัน และยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญในการลงทุนในไทย โดยจะหันไปลงทุนโครงการพลังงานหมุนเวียน ซึ่งล่าสุดบริษัทได้เข้าไปถือหุ้นบริษัท พัฒนาพลังงานธรรมชาติ สัดส่วน 33.33%เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 13.3 เมกะวัตต์ บริเวณลำตะคอง จ.นครราชสีมา และโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ขนาด 8 เมกะวัตต์ จ.ลพบุรี จะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 2,000 ล้านบาท
นายวินิจ แตงน้อย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง บริษัทมีกำไรสุทธิต่ำกว่าครึ่งแรกของปีที่มีกำไรสุทธิ 4.64 พันล้านบาท และจะต่ำกว่าปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 6.9 พันล้านบาท เพราะบริษัทจะรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีลดลงมาก เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าขนอมที่จะมีรายได้ลดลงในครึ่งปีหลัง ยกเว้นโรงไฟฟ้าระยองที่มีรายได้ใกล้เคียง 6 เดือนแรก ซึ่งโครงสร้างค่าไฟของโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีจะทยอยลดลงปีละ 10% เป็นเวลา 5-6 ปี ซึ่งการรับรู้กำไรจากบีแอลซีพีคิดเป็น 41% ของกำไรทั้งหมดของเอ็กโก ขณะที่โรงไฟฟ้าขนอมและโรงไฟฟ้าระยองจะทำรายได้และกำไรลดลงต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ส่งผลให้กำไรสุทธิของเอ็กโกในปี 2553 จะลดลงต่ำกว่าปี 2552 เว้นแต่มีการซื้อกิจการโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วในต่างประเทศเท่านั้น
“วันที่ 15 ธ.ค.นี้ โรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 สปป.ลาว กำลังผลิต 1086,8 เมกะวัตต์จะมีการจ่ายไฟเข้าสู่ระบบตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ทำให้บริษัทรับรู้รายได้ในปี 2553 ประมาณ 500 ล้านบาท รวมกับรายได้จากโรงไฟฟ้าเควซอนที่ฟิลิปปินส์และโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 ก็ไม่สามารถชดเชยกำไรที่หายไปจากบีแอลซีพีไปได้ ทำให้แนวโน้มกำไรบริษัทจะลดลงต่อเนื่องไปอีก 4 ปี หากไม่มีโครงการใหม่เข้ามาเสริม แต่จะพยายามรักษากำไรไว้ที่ระดับปีละ 5,000 ล้านบาทให้ได้”
นายวินิจกล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะเน้นการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียนที่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและเวียดนาม ทั้งการซื้อโรงไฟฟ้าเดิมที่ผลิตไฟฟ้าอยู่แล้ว หรือการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ โดยยอมรับว่าวิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติทั้งสหรัฐฯ และยุโรปที่เข้ามาลงทุนในอาเซียนต้องขายสินทรัพย์ในภูมิภาคนี้ออกมา ซึ่งบริษัทมีความเข้มแข็งด้านการเงินทำให้มีโอกาสที่จะเข้าไปซื้อกิจการเหล่านี้ได้ โดยจะเน้นโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว เป็นการลงทุนไม่เกินตัว และต้องมีพาร์ทเนอร์ที่ดีด้วย
สำหรับแผนการเข้าซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าเควซอนเพิ่มเติมอีกนั้น ขณะนี้คู่แข่งที่ต้องการเข้ามาซื้อหุ้นเช่นกัน และยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญในการลงทุนในไทย โดยจะหันไปลงทุนโครงการพลังงานหมุนเวียน ซึ่งล่าสุดบริษัทได้เข้าไปถือหุ้นบริษัท พัฒนาพลังงานธรรมชาติ สัดส่วน 33.33%เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 13.3 เมกะวัตต์ บริเวณลำตะคอง จ.นครราชสีมา และโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ขนาด 8 เมกะวัตต์ จ.ลพบุรี จะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 2,000 ล้านบาท