ศูนย์ข่าวภูเก็ต -เอกชนภูเก็ตเรียกร้องรัฐบาลทบทวนการย้ายสถานที่จัดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ระบุภูเก็ตพร้อมเป็นสถานที่จัดประชุม ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือเต็มที่ และเตรียมพร้อมมานาน ด้านนายก อบต.เชิงทะเล ระบุงานประเพณีถือศีลกินผักไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้ต้องย้ายสถานที่จัดประชุม
นายภูริต มาศวงศา อุปนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงการย้ายสถานที่จัดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนหรืออาเซียนซัมมิตจากภูเก็ตไปหัวหิน-ชะอำว่า อยากให้รัฐบาลทบทวน ซึ่งในส่วนของภาคเอกชนในภูเก็ตกำลังหารือกันในเรื่องนี้ และอยากให้มาจัดประชุมอาเซียนซัมมิตที่จังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะในพื้นที่กะตะ-กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต เพราะชาวภูเก็ตได้มีการเตรียมความพร้อมกันมานานานแล้ว ในการเป็นเจ้าบ้านต้อนรับการประชุมที่จะเกิดขึ้น จึงอยากให้ทบทวนเรื่องของการย้ายสถานที่
“หากภูเก็ตได้รับเลือกเป็นสถานที่สำหรับจัดประชุมอาเซียนซัมมิต จะทำให้ภาพความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อประเทศไทยก่อนหน้านี้หายไปได้ เพราะภูเก็ตก็คือประเทศไทย ซึ่งในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่ผ่านมาเป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่า จังหวัดภูเก็ตไม่มีภาคความขัดแย้งเกิดขึ้น ทุกคนต่างให้ความร่วมมือในการเป็นเจ้าบ้านที่ดีเป็นอย่างดี และเชื่อว่าการประชุมครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ทุกคนจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเหมือนที่ผ่านมา” นายภูริต กล่าว
นายภูริตกล่าวต่อว่า ในฐานะองค์กรภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตจึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนเรื่องของการย้ายสถานที่จัดประชุมอาเซียนซัมมิตใหม่อีกครั้ง ซึ่งทราบว่าเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีจะมีการพิจารณาและตัดสินใจเลือกสถานที่จัดประชุมภายในสัปดาห์หน้านี้
ด้านนายมาโนช พันธุ์ฉลาด นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต กล่าวว่า ถ้าต้องย้ายการประชุมไปจัดที่อื่นจริงๆ ก็รู้สึกเสียดาย เพราะหากจัดที่ภูเก็ตก็จะมีความต่อเนื่องในเรื่องของความเชื่อมั่น จึงอยากให้รัฐบาลทบทวนอีกครั้ง ซึ่งหากมีการเปลี่ยนสถานที่จัดการประชุมก็อาจจะเกิดคำถามขึ้นได้ว่าเป็นเพราะอะไร ในเมื่อการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่ผ่านมา สามารถดำเนินการไปได้ด้วยความเรียบร้อย ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด และคนภูเก็ตก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันพร้อมที่จะให้ความร่วมมือเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา หรือหากไม่เลือกภูเก็ตจริงๆ ก็จะต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจน
นายมาโนช กล่าวถึงข้ออ้างว่า ในช่วงที่มีการประชุมระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคม 2552 เป็นช่วงเวลาที่ จ.ภูเก็ตมีประเพณีถือศีลกินผักและมีผู้คนเข้ามาเป็นจำนวนมาก ไม่น่าจะเป็นเหตุผลหลักในการย้ายสถานที่จัดประชุม เพราะหากเลือกจัดการประชุมในพื้นที่กะตะ-กะรน ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะในพื้นที่ไม่มีศาลเจ้า และในการดูแลรักษาความปลอดภัยของผู้นำนั้นก็จะกระบวนการและขั้นตอนอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่น่าจะมีผลกระทบ ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลได้ทบทวนเรื่องของการเลือกสถานที่จัดประชุมอีกครั้ง
นายภูริต มาศวงศา อุปนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงการย้ายสถานที่จัดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนหรืออาเซียนซัมมิตจากภูเก็ตไปหัวหิน-ชะอำว่า อยากให้รัฐบาลทบทวน ซึ่งในส่วนของภาคเอกชนในภูเก็ตกำลังหารือกันในเรื่องนี้ และอยากให้มาจัดประชุมอาเซียนซัมมิตที่จังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะในพื้นที่กะตะ-กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต เพราะชาวภูเก็ตได้มีการเตรียมความพร้อมกันมานานานแล้ว ในการเป็นเจ้าบ้านต้อนรับการประชุมที่จะเกิดขึ้น จึงอยากให้ทบทวนเรื่องของการย้ายสถานที่
“หากภูเก็ตได้รับเลือกเป็นสถานที่สำหรับจัดประชุมอาเซียนซัมมิต จะทำให้ภาพความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อประเทศไทยก่อนหน้านี้หายไปได้ เพราะภูเก็ตก็คือประเทศไทย ซึ่งในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่ผ่านมาเป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่า จังหวัดภูเก็ตไม่มีภาคความขัดแย้งเกิดขึ้น ทุกคนต่างให้ความร่วมมือในการเป็นเจ้าบ้านที่ดีเป็นอย่างดี และเชื่อว่าการประชุมครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ทุกคนจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเหมือนที่ผ่านมา” นายภูริต กล่าว
นายภูริตกล่าวต่อว่า ในฐานะองค์กรภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตจึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนเรื่องของการย้ายสถานที่จัดประชุมอาเซียนซัมมิตใหม่อีกครั้ง ซึ่งทราบว่าเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีจะมีการพิจารณาและตัดสินใจเลือกสถานที่จัดประชุมภายในสัปดาห์หน้านี้
ด้านนายมาโนช พันธุ์ฉลาด นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต กล่าวว่า ถ้าต้องย้ายการประชุมไปจัดที่อื่นจริงๆ ก็รู้สึกเสียดาย เพราะหากจัดที่ภูเก็ตก็จะมีความต่อเนื่องในเรื่องของความเชื่อมั่น จึงอยากให้รัฐบาลทบทวนอีกครั้ง ซึ่งหากมีการเปลี่ยนสถานที่จัดการประชุมก็อาจจะเกิดคำถามขึ้นได้ว่าเป็นเพราะอะไร ในเมื่อการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่ผ่านมา สามารถดำเนินการไปได้ด้วยความเรียบร้อย ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด และคนภูเก็ตก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันพร้อมที่จะให้ความร่วมมือเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา หรือหากไม่เลือกภูเก็ตจริงๆ ก็จะต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจน
นายมาโนช กล่าวถึงข้ออ้างว่า ในช่วงที่มีการประชุมระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคม 2552 เป็นช่วงเวลาที่ จ.ภูเก็ตมีประเพณีถือศีลกินผักและมีผู้คนเข้ามาเป็นจำนวนมาก ไม่น่าจะเป็นเหตุผลหลักในการย้ายสถานที่จัดประชุม เพราะหากเลือกจัดการประชุมในพื้นที่กะตะ-กะรน ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะในพื้นที่ไม่มีศาลเจ้า และในการดูแลรักษาความปลอดภัยของผู้นำนั้นก็จะกระบวนการและขั้นตอนอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่น่าจะมีผลกระทบ ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลได้ทบทวนเรื่องของการเลือกสถานที่จัดประชุมอีกครั้ง
