นส.ธมลวรรณ จิรวรพัฒน์ หรือ “เอมี่” พนักงานบริษัท ค้าอะไหล่รถยนต์ หนึ่งในผู้ที่ตกเป็นเหยื่อบริษัท พีทีเอสโฮม ในเครือภูธนแสงทอง ที่ปัจจุบันยังคงตระเวนหลอกผู้บริสุทธิ์บนความเดือดร้อนของผู้ประกอบอาชีพสุจริต ที่เลี้ยงชีพและครอบครัว
“ทุกวันนี้สุดช้ำใจกับพฤติกรรมของบริษัทนี้มาก นายศิวัช มาในคราบผู้ดี ใส่สูท แต่ตัวตนที่แท้จริง ร้ายกาจกว่าคนที่แต่งตัวปอนๆมาฉกชิงวิ่งราว เพราะคนที่ฉกชิงวิ่งราว เค้าเอาแค่ทรัพย์เล็กๆน้อยๆ พอประทังชีวิตของเค้า แต่กับบริษัทนี้เค้าใส่สูท มาหลอกเอาทรัพย์เราแบบชนิดหมดตัวกันเลยทีเดียว เรียกว่าโจรปล้น3-4ครั้ง ยังได้ทรัพย์ไปไม่เท่าเค้า เพราะโจรจะได้แค่ทรัพย์สินเงินทองไม่สามารถเอาเงินทองที่เราฝากไว้ในธนาคารได้ หรือไม่สามารถมาเอาที่ดินเราไปได้ แต่สำหรับบริษัทนี้ ทำให้เราต้องสูญเสียทั้งเงินทอง แล้วยังเป็นหนี้เงินกู้กับธนาคาร เรียกว่า ถ้าเราไม่หาเงินมาส่งธนาคารก็จะถูกยืดทั้งบ้านทั้งที่ดินของเรากันเลย แม้สภาพบ้าน จะเป็นบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จก็ตาม ”
นส.ธมลวรรณ ถ่ายทอดความสูญเสีย จากเหตุการณ์ถูกทิ้งงานแล้วหอบเงินหนีของบริษัทในคราบโจรว่า ได้เซ็นสัญญาก่อสร้างบ้านกับบริษัท พีทีเอส โฮม จำกัด ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย.2549 ซึ่งตามสัญญาครบกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในวันที่ 14 พ.ย.50 แต่จนถึงปัจจุบันนี้บ้านก็ยังสร้างไม่เสร็จ ทำให้ต้องบอกเลิกสัญญาเพื่อหาช่างรับเหมาก่อสร้างรายใหม่เข้าก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จ
“ถ้ายังก่อสร้างบ้านกับบริษัทนี้อยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะกี่ปีถึงจะมีบ้านอยู่เหมือนเช่นคนอื่นๆ ทุกวันนี้เวลาเดินทางเข้าไปตรวจไซต์งานก่อสร้าง ที่ให้ช่างรับเหมาก่อสร้างต่อจากบริษัท พีทีเอส โฮม ยังนึกโกรธอยู่ทุกๆครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจำนวนเงินที่สูญเสียไปกว่า 4.5 ล้านบาท หรือกว่า 130 % ของมูลค่าบ้านที่ทำสัญญาก่อสร้างไว้ 3.2ล้านบาท รวมถึงเสียเวลา เสียโอกาสทางธุรกิจที่เตรียม ค่าก่อสร้างตกลงกันไว้ 3.2 ล้านบาท แต่กลับมีการเบิกเงินล่วงหน้า มีการเพิ่มโน่นเพิ่มนี่ แล้วมาเรียกเก็บเงินเพิ่ม ทำให้เราเสียเงินไปมากกว่าสัญญาที่ตกลงไว้ ส่วนหนึ่งยอมรับว่า เงินที่เพิ่มขึ้นมาจากการแก้แบบ แต่ส่วนส่วนใหญ่ปัญหามาจากการตุกติกของนายศิวัช ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทดังกล่าว”
สำหรับบ้านหลังนี้ เดิมตั้งใจจะสร้างเป็นเรือนหอของน้องสาวที่กำลังจะแต่งงาน และใช้เป็นสำนักงานเล็กๆ สำหรับทำธุรกิจส่วนตัว เพราะมีแผนว่าจะเปิดธุรกิจส่วนตัวให้น้องสาวเข้ามาช่วยดูแลด้วย แต่หลังจากที่ถูกทิ้งงานไม่ยอมสร้างบ้านต่อ ทำให้แผนและความฝันที่เตรียมไว้ ไม่ว่า เรื่องธุรกิจ เรื่องเรือนหอของน้องสาว ต้องมลายหายไป ด้วยฝีมือของ “โจรใส่สูท” ที่ยังแฝงตัวอยู่ในวงการธุรกิจรับสร้างบ้าน!
“หมดกันโอกาสทางธุรกิจที่วางแผนไว้ เพราะก่อนหน้านั้นคิดและทำแผนธุรกิจ โดยได้ติดต่อลูกค้าและซับพลายเออร์ไว้หมดแล้ว แต่เมื่อสำนักงานของเราก่อสร้างไม่เสร็จ ก็ไม่สามารถเปิดบริษัทได้ คิดจะไปเช่าห้องเปิดบริษัทก็มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง เพราะเงินที่สะสมไว้ ถูกนำไปจ่ายค่างวดล่วงหน้าเกือบหมดแล้ว ขาดอีกเพียง 10,000 บาทก็จะครบจำนวนที่ต้องจ่ายให้ตามสัญญา ซึ่งวันนี้ เอมี่ ยังคงตามทวงเงินส่วนที่จ่ายไปเกินงวดงานก่อสร้างอยู่ แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร บางครั้งก็พยายามทำใจ แต่อย่างไรก็ตาม ตั้งใจว่าจะดำเนินการให้ถึงที่สุดสำหรับเรื่องนี้”
นอกจากปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกแล้วในวันนี้ ยังมีภาระหนักจากการกู้เงินสร้างบ้านหลังนี้ให้ตามแก้อีก ยอมรับว่าเหนื่อยใจจริงๆ แรกๆ ตอนที่เริ่มทำสัญญาก่อสร้าง ส่วนตัวอยากไปงานตกแต่งบ้าน งานแสดงสินค้าต่าง แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น บอกตรงๆ ว่า “ไม่มีอารมณ์...!”
ปัญหาที่เกิดขึ้นวันนี้ สะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยเรา กฎหมายบ้านเรายังไม่ให้ความคุ้มครองผู้บริโภคอย่างจริงจัง เพราะการทำสัญญาต่างๆ ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการทุกประตู และทุกวันนี้ บ้านเมืองเรา รัฐบาลหรือหน่วยงานราชการในบ้านเรา น่าจะมีการส่งสัญญาณที่ดีต่อผู้บริโภคบ้าง คือต้องออกกฎหมายให้ครอบคลุมเรื่องสัญญาการก่อสร้างที่เป็นธรรมสำหรับทั้ง2ฝ่าย คือ เจ้าของบ้านละผู้ประกอบการ ให้ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายซะที
“จากวันนั้น ก็ผ่านมา 2 ปีกว่าแล้ว ที่จ่ายเงินไป แต่ยังไม่มีบ้านจะอยู่ แถมต้องแบกภาระผ่อนดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคาร โชคดีหน่อยก็ที่ยังพอมีเงินเหลือนิดหน่อยไว้ใช้จ่ายในช่วงนี้” เอมี่ กล่าวให้เห็นถึงผลกรรมที่ถูกนายศิวัชกระทำไว้ !
แต่ที่โชคร้ายกว่าก็คือ ล่าสุดที่ผ่านมา ถูกหมายศาลเรียกตัวให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา จากการก่อสร้างบ้านผิดแบบแปลนที่ยื่นขออนุญาตไป เพราะเชื่อใจให้บริษัท พีทีเอส โฮมฯไปยื่นขออนุญาตก่อสร้างให้ ซึ่งเค้ายื่นแบบก่อสร้างบ้านคนละแบบกับที่เราเลือกและตกลงกันไว้
“ที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ ถูกพ่อแม่ของสถาปนิก และวิศวกร ที่เคยเป็นพนักงานในบริษัท พีทีเอส โฮม โทรศัพท์มาต่อว่า และขู่อาฆาตไว้ เพราะมีหมายศาลเรียกตัวของสถาปนิกและวิศวกรทั้งคู่ไปรับทราบข้อกล่าวหาเช่นกันว่า ยื่นขออนุญาตแบบบ้านผิดแบบ ซึ่งพ่อ แม่ของอดีตพนักงานบริษัทดังกล่าวทั้ง2 กลัวว่า ลูกชายเค้าจะติดคุกเพราะลายเซ็นรับรองแบบบ้านนั้น เป็นรายเซ็นของสถาปนิก และวิศวกร ทั้งที่ความจริงแล้ว พนักงานทั้ง2คนดังกล่าวลาออกไปทำงานและเรียนต่อต่างประเทศเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่บริษัทนี้ยังใช้ชื่อของทั้ง 2 คนนั้นมาแอบอ้างในการยื่นของอนุญาตแบบก่อสร้าง” เอมี่ กล่าวถึงเลห์กลของของผู้บริหารภูธนแสงทอง
จากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนี้ ไม่อยากให้คนที่จะสร้างบ้านต้องตกเป็นเหยื่อของบริษัทนี้อีกต่อไป เพราะการสร้างบ้านแล้วไม่บ้าน แถมต้องมานั่งใช้หนี้ มันเหมือนตกนรกทั้งเป็น.
“ทุกวันนี้สุดช้ำใจกับพฤติกรรมของบริษัทนี้มาก นายศิวัช มาในคราบผู้ดี ใส่สูท แต่ตัวตนที่แท้จริง ร้ายกาจกว่าคนที่แต่งตัวปอนๆมาฉกชิงวิ่งราว เพราะคนที่ฉกชิงวิ่งราว เค้าเอาแค่ทรัพย์เล็กๆน้อยๆ พอประทังชีวิตของเค้า แต่กับบริษัทนี้เค้าใส่สูท มาหลอกเอาทรัพย์เราแบบชนิดหมดตัวกันเลยทีเดียว เรียกว่าโจรปล้น3-4ครั้ง ยังได้ทรัพย์ไปไม่เท่าเค้า เพราะโจรจะได้แค่ทรัพย์สินเงินทองไม่สามารถเอาเงินทองที่เราฝากไว้ในธนาคารได้ หรือไม่สามารถมาเอาที่ดินเราไปได้ แต่สำหรับบริษัทนี้ ทำให้เราต้องสูญเสียทั้งเงินทอง แล้วยังเป็นหนี้เงินกู้กับธนาคาร เรียกว่า ถ้าเราไม่หาเงินมาส่งธนาคารก็จะถูกยืดทั้งบ้านทั้งที่ดินของเรากันเลย แม้สภาพบ้าน จะเป็นบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จก็ตาม ”
นส.ธมลวรรณ ถ่ายทอดความสูญเสีย จากเหตุการณ์ถูกทิ้งงานแล้วหอบเงินหนีของบริษัทในคราบโจรว่า ได้เซ็นสัญญาก่อสร้างบ้านกับบริษัท พีทีเอส โฮม จำกัด ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย.2549 ซึ่งตามสัญญาครบกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในวันที่ 14 พ.ย.50 แต่จนถึงปัจจุบันนี้บ้านก็ยังสร้างไม่เสร็จ ทำให้ต้องบอกเลิกสัญญาเพื่อหาช่างรับเหมาก่อสร้างรายใหม่เข้าก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จ
“ถ้ายังก่อสร้างบ้านกับบริษัทนี้อยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะกี่ปีถึงจะมีบ้านอยู่เหมือนเช่นคนอื่นๆ ทุกวันนี้เวลาเดินทางเข้าไปตรวจไซต์งานก่อสร้าง ที่ให้ช่างรับเหมาก่อสร้างต่อจากบริษัท พีทีเอส โฮม ยังนึกโกรธอยู่ทุกๆครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจำนวนเงินที่สูญเสียไปกว่า 4.5 ล้านบาท หรือกว่า 130 % ของมูลค่าบ้านที่ทำสัญญาก่อสร้างไว้ 3.2ล้านบาท รวมถึงเสียเวลา เสียโอกาสทางธุรกิจที่เตรียม ค่าก่อสร้างตกลงกันไว้ 3.2 ล้านบาท แต่กลับมีการเบิกเงินล่วงหน้า มีการเพิ่มโน่นเพิ่มนี่ แล้วมาเรียกเก็บเงินเพิ่ม ทำให้เราเสียเงินไปมากกว่าสัญญาที่ตกลงไว้ ส่วนหนึ่งยอมรับว่า เงินที่เพิ่มขึ้นมาจากการแก้แบบ แต่ส่วนส่วนใหญ่ปัญหามาจากการตุกติกของนายศิวัช ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทดังกล่าว”
สำหรับบ้านหลังนี้ เดิมตั้งใจจะสร้างเป็นเรือนหอของน้องสาวที่กำลังจะแต่งงาน และใช้เป็นสำนักงานเล็กๆ สำหรับทำธุรกิจส่วนตัว เพราะมีแผนว่าจะเปิดธุรกิจส่วนตัวให้น้องสาวเข้ามาช่วยดูแลด้วย แต่หลังจากที่ถูกทิ้งงานไม่ยอมสร้างบ้านต่อ ทำให้แผนและความฝันที่เตรียมไว้ ไม่ว่า เรื่องธุรกิจ เรื่องเรือนหอของน้องสาว ต้องมลายหายไป ด้วยฝีมือของ “โจรใส่สูท” ที่ยังแฝงตัวอยู่ในวงการธุรกิจรับสร้างบ้าน!
“หมดกันโอกาสทางธุรกิจที่วางแผนไว้ เพราะก่อนหน้านั้นคิดและทำแผนธุรกิจ โดยได้ติดต่อลูกค้าและซับพลายเออร์ไว้หมดแล้ว แต่เมื่อสำนักงานของเราก่อสร้างไม่เสร็จ ก็ไม่สามารถเปิดบริษัทได้ คิดจะไปเช่าห้องเปิดบริษัทก็มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง เพราะเงินที่สะสมไว้ ถูกนำไปจ่ายค่างวดล่วงหน้าเกือบหมดแล้ว ขาดอีกเพียง 10,000 บาทก็จะครบจำนวนที่ต้องจ่ายให้ตามสัญญา ซึ่งวันนี้ เอมี่ ยังคงตามทวงเงินส่วนที่จ่ายไปเกินงวดงานก่อสร้างอยู่ แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร บางครั้งก็พยายามทำใจ แต่อย่างไรก็ตาม ตั้งใจว่าจะดำเนินการให้ถึงที่สุดสำหรับเรื่องนี้”
นอกจากปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกแล้วในวันนี้ ยังมีภาระหนักจากการกู้เงินสร้างบ้านหลังนี้ให้ตามแก้อีก ยอมรับว่าเหนื่อยใจจริงๆ แรกๆ ตอนที่เริ่มทำสัญญาก่อสร้าง ส่วนตัวอยากไปงานตกแต่งบ้าน งานแสดงสินค้าต่าง แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น บอกตรงๆ ว่า “ไม่มีอารมณ์...!”
ปัญหาที่เกิดขึ้นวันนี้ สะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยเรา กฎหมายบ้านเรายังไม่ให้ความคุ้มครองผู้บริโภคอย่างจริงจัง เพราะการทำสัญญาต่างๆ ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการทุกประตู และทุกวันนี้ บ้านเมืองเรา รัฐบาลหรือหน่วยงานราชการในบ้านเรา น่าจะมีการส่งสัญญาณที่ดีต่อผู้บริโภคบ้าง คือต้องออกกฎหมายให้ครอบคลุมเรื่องสัญญาการก่อสร้างที่เป็นธรรมสำหรับทั้ง2ฝ่าย คือ เจ้าของบ้านละผู้ประกอบการ ให้ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายซะที
“จากวันนั้น ก็ผ่านมา 2 ปีกว่าแล้ว ที่จ่ายเงินไป แต่ยังไม่มีบ้านจะอยู่ แถมต้องแบกภาระผ่อนดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคาร โชคดีหน่อยก็ที่ยังพอมีเงินเหลือนิดหน่อยไว้ใช้จ่ายในช่วงนี้” เอมี่ กล่าวให้เห็นถึงผลกรรมที่ถูกนายศิวัชกระทำไว้ !
แต่ที่โชคร้ายกว่าก็คือ ล่าสุดที่ผ่านมา ถูกหมายศาลเรียกตัวให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา จากการก่อสร้างบ้านผิดแบบแปลนที่ยื่นขออนุญาตไป เพราะเชื่อใจให้บริษัท พีทีเอส โฮมฯไปยื่นขออนุญาตก่อสร้างให้ ซึ่งเค้ายื่นแบบก่อสร้างบ้านคนละแบบกับที่เราเลือกและตกลงกันไว้
“ที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ ถูกพ่อแม่ของสถาปนิก และวิศวกร ที่เคยเป็นพนักงานในบริษัท พีทีเอส โฮม โทรศัพท์มาต่อว่า และขู่อาฆาตไว้ เพราะมีหมายศาลเรียกตัวของสถาปนิกและวิศวกรทั้งคู่ไปรับทราบข้อกล่าวหาเช่นกันว่า ยื่นขออนุญาตแบบบ้านผิดแบบ ซึ่งพ่อ แม่ของอดีตพนักงานบริษัทดังกล่าวทั้ง2 กลัวว่า ลูกชายเค้าจะติดคุกเพราะลายเซ็นรับรองแบบบ้านนั้น เป็นรายเซ็นของสถาปนิก และวิศวกร ทั้งที่ความจริงแล้ว พนักงานทั้ง2คนดังกล่าวลาออกไปทำงานและเรียนต่อต่างประเทศเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่บริษัทนี้ยังใช้ชื่อของทั้ง 2 คนนั้นมาแอบอ้างในการยื่นของอนุญาตแบบก่อสร้าง” เอมี่ กล่าวถึงเลห์กลของของผู้บริหารภูธนแสงทอง
จากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนี้ ไม่อยากให้คนที่จะสร้างบ้านต้องตกเป็นเหยื่อของบริษัทนี้อีกต่อไป เพราะการสร้างบ้านแล้วไม่บ้าน แถมต้องมานั่งใช้หนี้ มันเหมือนตกนรกทั้งเป็น.