ASTVผู้จัดการรายวัน - ฟันธงครึ่งหลังปี 52 กองทุนรวมโตต่อ เหตุดอกเบี้ยต่ำดันสภาพคล่องไหลเข้าธุรกิจกองทุนรวมต่อเนื่อง มั่นใจขยายตัวแตะระดับหมื่นล้านบาทแน่นอน ด้านนายกสมาคม บลจ. แนะนักลงทุนติดตามข่าวก่อนลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนในระดับสูง ขณะที่ 2 บิ๊กบลจ.มั่นใจ กองหุ้นกู้มาแรง เตรียมหาโปรดักซ์รองรับความต้องการเพิ่ม
นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (นายกสมาคม ฯ บลจ.) และ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า จากการประเมินครึ่งปีหลังความน่าสนใจของกองทุนรวมต่อนักลงทุนที่ต้องการได้รับผลตอบแทนที่ดีนั้นมองว่าจะได้รับความสนใจ และประสบผลสำเร็จมากขึ้น เนื่องจากหากลงทุนด้วยตนเองจะต้องมีการติดตามข้อมูลข่าวสารทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการประเมินภาวะตลาด และรู้ในเป้าหมายการลงทุน ดังนั้น การลงทุนในกองทุนรวมจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาในการติดตามข้อมูลข่าวสารทางด้านเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด หรือตามไม่ทัน เนื่องจากเรามีความพร้อมในด้านบุคลากรที่ดูแลการลงทุนเต็มเวลาอย่างมืออาชีพมากกว่า
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ธุรกิจกองทุนรวมมีการขยายตัวของ NAV 13.76% จากสิ้นปี 2551 โดยได้รับแรงหนุนจากการแสวงหาช่องทางการลงทุนของผู้ออม ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในรูปแบบที่อยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์และการปรับขึ้นของดัชนีหุ้นจากระดับ ณ สิ้นปี 2551 ซึ่งช่วยหนุน NAV ของกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น
สำหรับภาพรวมธุรกิจกองทุนรวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 นั้น มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุนรวม (ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2552) มูลค่าเท่ากับ 1,736,832.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,526,811.5 ล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2551 โดยจำนวนรวมของกองทุนทั้งหมดตลอดครึ่งแรกของปี 2552 พบว่ามีทั้งสิ้น 1,054 กอง และเมื่อพิจารณาแยกประเภทตามนโยบายการลงทุน พบว่ากองทุนรวมเกือบทุกประเภท NAV ปรับเพิ่มขึ้น นำโดยกองทุนรวมประเภทตราสารหนี้ และกองทุนรวมประเภทตราสารทุน
นางวรวรรณ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้กองทุนรวมยังมีรูปแบบการลงทุนที่หลากหลายเพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนทั้งกองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และ กองทุนทางเลือกอื่นๆ เช่นทองคำ น้ำมัน เป็นต้น
ทั้งนี้ แต่ละกองทุนจะมีระดับความเสี่ยงกับผลตอบแทนคาดหวังที่หลากหลาย สามารถเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับความต้องการของตนเองได้ เมื่อเทียบกับการฝากเงินแต่เพียงอย่างเดียวแล้ว กองทุนรวมมีความน่าสนใจมากกว่า นักลงทุนสามารถแบ่งเงินไปลงทุนในหลายๆ ประเภทเพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนแต่ประเภทเดียวได้ นอกจากนี้การลงทุนในกองทุนก็ยังได้รับการยกเว้นภาษีอีกด้วย
"ปัจจุบันนวัตกรรมของกองทุนรวมทุกวันนี้ ทางเลือกในการลงทุนมีมากขึ้น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ แล้ว สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เอง ก็ยังสนับสนุนให้มีการศึกษาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ แบบไม่ได้ปิดกั้น และกฏระเบียบต่าง ๆ เองได้มีการปรับปรุงแก้ไขให้รองรับนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เหมาะสมกับบ้านเราได้" นางวรวรรณ กล่าว
ด้าน นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจกองทุนรวมน่าจะดำเนินต่อไปได้ เนื่องจากสภาพคล่องในระบบโดยรวมยังมีอยู่ ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนยังคงให้ความสนใจลงทุนในตราสารหนี้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกองทุนรวมพันธบัตรเกาหลี
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ความต้องการของกองทุนพันธบัตรเกาหลีเริ่มปรับมาอยู่ในระยะอิ่มตัว ทำให้ในครึ่งปีหลัง บลจ.จำเป็นที่จะต้องหาโปรดักซ์ให้หลากหลายมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุน
"มันยังเป็นเรื่องของการหาผลตอบแทนที่ดีกว่าในช่วงอัตราดอกเบี้ยต่ำ แต่หลังจากนี้เราคงต้องหาอะไรมาตอบสนองนักลทุนมากขึ้น อย่างช่วงที่ผ่านมาบลจ.ไทยพาณิชย์ขายกองหุ้นกู้เอกชนกว่า 5.4 พันล้านก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่มันค่อนข้างทำอยากเพราะมีเงื่อนไขทั้งเรื่องของ บริษัทที่จะออกหุ้นกู้ซึ่งจะต้องมีจำนวนตามที่กำหนด และต้องเป็นอายุที่ต้องครบกำหนดพร้อมกัน โดยเราจะต้องประสานงานกับเครือข่ายของแบงก์ให้ดีถึงจำได้"นางโชติกากล่าว
นางโชติกา กล่าวอีกว่า แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจกองทุนรวมนั้นเชื่อว่าจะโตเป็นระดับหมื่นล้าน เพราะสินทรัพย์รวมของบริษัทในครึ่งปีที่ผ่านมาก็ขยายตัวไปแล้วกว่า 15% ซึ่งทำให้เป้าสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารของบริษัทอยู่ในระดับหมื่นล้านบาทเช่นกันสำหรับปีนี้ ส่วนการที่มีความกังวลว่าแนวโน้มธุรกิจกองทุนรวมอาจปรับตัวลดลงเช่นเดียวกับช่วงครึ่งหลังของปี 2551 นั้น เชื่อว่าจะไม่รุนแรงขนาดนั้น เพราะสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจค่อนข้างชัดเจน และสะท้อนไปถึงการปรับตัวของตลาดหุ้นในระดับหนึ่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรจับตามองและน่าจะเป็นปัจจัยลบต่อการขยายตัวของธุรกิจกองทุนรวมครึ่งหลังของปีนี้ น่าจะเป็นการระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งที่ผ่านมาเคยสร้างผลกระทบต่อธุรกิจกองทุนรวมมาก่อน
"แบงก์ระดมเงินฝากจะเป็นปัจจัยลบหลังจากนี้ ซึ่งถ้าเขาต้องการสภาพคล่องเพื่อปล่อยสินเชื่อก็น่าสนใจ แต่ก็มีบางช่วงที่ออกแคมเปญเพื่อรักษาฐานลูกค้าก็มี อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสภาพคล่องโดยรวมน่าจะยังมีอยู่เยอะ อีกทั้งดอกเบี้ยนโยบายยังน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องก็น่าจะทำให้แบงก์ยังไม่ระดมเงินฝากตอนนี้ แต่เรื่องนี้คงต้องดูเป็นรายแบงก์ว่าเขาจะปล่อยสินเชื่อ หรือว่ามีสภาพคล่องพอขนาดไหนที่เขาจะเอาไปปล่อยต่อ"นางโชติกากล่าว
ด้านนายประภาส ตันติพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือของการลงทุนในกองทุนรวมมองว่า นักลงทุนอาจจะเริ่มเข้ามาให้น้ำหนักในการลงทุนในหุ้นมากขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เพราะในช่วงครึ่งปีแรกจะเห็นว่ามีเงินลงทุนเข้าออกในตลาดหุ้นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เงินที่หมุนเวียนในตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นว่ากองทุนรวมตลาดเงินหรือมันนีมาร์เก็ตไม่ค่อยได้รับความนิยมเหมือนช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เนื่องจากว่าอัตราผลตอบแทนของดอกเบี้ยมีการปรับตัวลดลงจนทำให้นักลงทุนไม่ค่อยสนใจเหมือนแต่ก่อน แต่อย่างไรก็ตาม กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนระยะสั้นประมาณ 3 - 6 เดือนจะกลับมาได้รับความนิยมจากนักลงทุนอีกครั้ง นอกจากนี้แล้วกองทุนรวมต่างประเทศ หรือ FIF ที่เป็นกองทุนเปิด รวมถึงกองทุนตราสารหนี้ และกองทุนทิกเกอร์ หรือกองทุนบาลานซ์ฟันด์ เองก็จะได้รับความสนใจแก่นักลงทุนอีกครั้งด้วย
นายประภาส ยังกล่าวต่ออีกว่า แต่ถึงอย่างไรผู้จัดการกองทุนเองต้องพยายามตอบโจทย์ให้ได้ว่ากองทุนอะไรประเภทไหนที่จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุนได้ โดยเราจะต้องรอดูสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลานั้นเพื่อคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของนักลงทุน
นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (นายกสมาคม ฯ บลจ.) และ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า จากการประเมินครึ่งปีหลังความน่าสนใจของกองทุนรวมต่อนักลงทุนที่ต้องการได้รับผลตอบแทนที่ดีนั้นมองว่าจะได้รับความสนใจ และประสบผลสำเร็จมากขึ้น เนื่องจากหากลงทุนด้วยตนเองจะต้องมีการติดตามข้อมูลข่าวสารทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการประเมินภาวะตลาด และรู้ในเป้าหมายการลงทุน ดังนั้น การลงทุนในกองทุนรวมจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาในการติดตามข้อมูลข่าวสารทางด้านเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด หรือตามไม่ทัน เนื่องจากเรามีความพร้อมในด้านบุคลากรที่ดูแลการลงทุนเต็มเวลาอย่างมืออาชีพมากกว่า
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ธุรกิจกองทุนรวมมีการขยายตัวของ NAV 13.76% จากสิ้นปี 2551 โดยได้รับแรงหนุนจากการแสวงหาช่องทางการลงทุนของผู้ออม ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในรูปแบบที่อยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์และการปรับขึ้นของดัชนีหุ้นจากระดับ ณ สิ้นปี 2551 ซึ่งช่วยหนุน NAV ของกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น
สำหรับภาพรวมธุรกิจกองทุนรวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 นั้น มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุนรวม (ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2552) มูลค่าเท่ากับ 1,736,832.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,526,811.5 ล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2551 โดยจำนวนรวมของกองทุนทั้งหมดตลอดครึ่งแรกของปี 2552 พบว่ามีทั้งสิ้น 1,054 กอง และเมื่อพิจารณาแยกประเภทตามนโยบายการลงทุน พบว่ากองทุนรวมเกือบทุกประเภท NAV ปรับเพิ่มขึ้น นำโดยกองทุนรวมประเภทตราสารหนี้ และกองทุนรวมประเภทตราสารทุน
นางวรวรรณ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้กองทุนรวมยังมีรูปแบบการลงทุนที่หลากหลายเพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนทั้งกองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และ กองทุนทางเลือกอื่นๆ เช่นทองคำ น้ำมัน เป็นต้น
ทั้งนี้ แต่ละกองทุนจะมีระดับความเสี่ยงกับผลตอบแทนคาดหวังที่หลากหลาย สามารถเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับความต้องการของตนเองได้ เมื่อเทียบกับการฝากเงินแต่เพียงอย่างเดียวแล้ว กองทุนรวมมีความน่าสนใจมากกว่า นักลงทุนสามารถแบ่งเงินไปลงทุนในหลายๆ ประเภทเพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนแต่ประเภทเดียวได้ นอกจากนี้การลงทุนในกองทุนก็ยังได้รับการยกเว้นภาษีอีกด้วย
"ปัจจุบันนวัตกรรมของกองทุนรวมทุกวันนี้ ทางเลือกในการลงทุนมีมากขึ้น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ แล้ว สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เอง ก็ยังสนับสนุนให้มีการศึกษาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ แบบไม่ได้ปิดกั้น และกฏระเบียบต่าง ๆ เองได้มีการปรับปรุงแก้ไขให้รองรับนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เหมาะสมกับบ้านเราได้" นางวรวรรณ กล่าว
ด้าน นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจกองทุนรวมน่าจะดำเนินต่อไปได้ เนื่องจากสภาพคล่องในระบบโดยรวมยังมีอยู่ ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนยังคงให้ความสนใจลงทุนในตราสารหนี้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกองทุนรวมพันธบัตรเกาหลี
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ความต้องการของกองทุนพันธบัตรเกาหลีเริ่มปรับมาอยู่ในระยะอิ่มตัว ทำให้ในครึ่งปีหลัง บลจ.จำเป็นที่จะต้องหาโปรดักซ์ให้หลากหลายมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุน
"มันยังเป็นเรื่องของการหาผลตอบแทนที่ดีกว่าในช่วงอัตราดอกเบี้ยต่ำ แต่หลังจากนี้เราคงต้องหาอะไรมาตอบสนองนักลทุนมากขึ้น อย่างช่วงที่ผ่านมาบลจ.ไทยพาณิชย์ขายกองหุ้นกู้เอกชนกว่า 5.4 พันล้านก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่มันค่อนข้างทำอยากเพราะมีเงื่อนไขทั้งเรื่องของ บริษัทที่จะออกหุ้นกู้ซึ่งจะต้องมีจำนวนตามที่กำหนด และต้องเป็นอายุที่ต้องครบกำหนดพร้อมกัน โดยเราจะต้องประสานงานกับเครือข่ายของแบงก์ให้ดีถึงจำได้"นางโชติกากล่าว
นางโชติกา กล่าวอีกว่า แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจกองทุนรวมนั้นเชื่อว่าจะโตเป็นระดับหมื่นล้าน เพราะสินทรัพย์รวมของบริษัทในครึ่งปีที่ผ่านมาก็ขยายตัวไปแล้วกว่า 15% ซึ่งทำให้เป้าสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหารของบริษัทอยู่ในระดับหมื่นล้านบาทเช่นกันสำหรับปีนี้ ส่วนการที่มีความกังวลว่าแนวโน้มธุรกิจกองทุนรวมอาจปรับตัวลดลงเช่นเดียวกับช่วงครึ่งหลังของปี 2551 นั้น เชื่อว่าจะไม่รุนแรงขนาดนั้น เพราะสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจค่อนข้างชัดเจน และสะท้อนไปถึงการปรับตัวของตลาดหุ้นในระดับหนึ่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรจับตามองและน่าจะเป็นปัจจัยลบต่อการขยายตัวของธุรกิจกองทุนรวมครึ่งหลังของปีนี้ น่าจะเป็นการระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งที่ผ่านมาเคยสร้างผลกระทบต่อธุรกิจกองทุนรวมมาก่อน
"แบงก์ระดมเงินฝากจะเป็นปัจจัยลบหลังจากนี้ ซึ่งถ้าเขาต้องการสภาพคล่องเพื่อปล่อยสินเชื่อก็น่าสนใจ แต่ก็มีบางช่วงที่ออกแคมเปญเพื่อรักษาฐานลูกค้าก็มี อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสภาพคล่องโดยรวมน่าจะยังมีอยู่เยอะ อีกทั้งดอกเบี้ยนโยบายยังน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องก็น่าจะทำให้แบงก์ยังไม่ระดมเงินฝากตอนนี้ แต่เรื่องนี้คงต้องดูเป็นรายแบงก์ว่าเขาจะปล่อยสินเชื่อ หรือว่ามีสภาพคล่องพอขนาดไหนที่เขาจะเอาไปปล่อยต่อ"นางโชติกากล่าว
ด้านนายประภาส ตันติพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือของการลงทุนในกองทุนรวมมองว่า นักลงทุนอาจจะเริ่มเข้ามาให้น้ำหนักในการลงทุนในหุ้นมากขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เพราะในช่วงครึ่งปีแรกจะเห็นว่ามีเงินลงทุนเข้าออกในตลาดหุ้นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เงินที่หมุนเวียนในตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นว่ากองทุนรวมตลาดเงินหรือมันนีมาร์เก็ตไม่ค่อยได้รับความนิยมเหมือนช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เนื่องจากว่าอัตราผลตอบแทนของดอกเบี้ยมีการปรับตัวลดลงจนทำให้นักลงทุนไม่ค่อยสนใจเหมือนแต่ก่อน แต่อย่างไรก็ตาม กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนระยะสั้นประมาณ 3 - 6 เดือนจะกลับมาได้รับความนิยมจากนักลงทุนอีกครั้ง นอกจากนี้แล้วกองทุนรวมต่างประเทศ หรือ FIF ที่เป็นกองทุนเปิด รวมถึงกองทุนตราสารหนี้ และกองทุนทิกเกอร์ หรือกองทุนบาลานซ์ฟันด์ เองก็จะได้รับความสนใจแก่นักลงทุนอีกครั้งด้วย
นายประภาส ยังกล่าวต่ออีกว่า แต่ถึงอย่างไรผู้จัดการกองทุนเองต้องพยายามตอบโจทย์ให้ได้ว่ากองทุนอะไรประเภทไหนที่จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุนได้ โดยเราจะต้องรอดูสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลานั้นเพื่อคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของนักลงทุน