อินดิเพนเดนท์ - หลังเลิกงานทุกวัน คุณอาจแวะผับหรือกลับไปเปิดไวน์ดื่มที่บ้าน สองวันในหนึ่งสัปดาห์คุณอาจดื่มหนักจนจำอะไรไม่ได้ คุณใช้เวลามากมายไปกับการเมาหรือวางแผนก๊งเหล้า เช้าวันรุ่งขึ้นหลังการร่ำสุรา คุณไปทำงานได้ตามปกติ โดยอาจมีอาการแค่ร่างกายขาดน้ำ ปวดศรีษะ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเล็กน้อยเท่านั้น
หากใครมีพฤติกรรมทำนองนี้ ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะนี่เป็นอาการของการติดเหล้าที่ดูเหมือนไม่ส่งผลมากนักต่อชีวิตการทำงานประจำวัน ครอบครัวและมิตรภาพ หรือที่เรียกว่า high-functioning alcoholism - HFA
ซาราห์ อัลเลน เบนตัน เป็นตัวอย่างของผู้ที่มีอาการนี้ เธอจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยนอร์ธอีสเทิร์นในบอสตัน ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิตของวิทยาลัยเอมมานูเอลในบอสตันเช่นเดียวกัน
เบนตันเขียนหนังสือชื่อ 'อันเดอร์สแตนดิ้ง เดอะ ไฮ-ฟังชันนิ่ง แอลกอฮอลิก' ที่ตีพิมพ์ในสหรัฐฯ เมื่อเดือนมีนาคม บอกเล่าเรื่องราวการติดเหล้าของตัวเอง และประเมินว่าในบรรดาคนติดเหล้าทั้งหมด มีอย่างน้อย 50% เข้าข่ายเอชเอฟเอ
เธอบอกว่าเริ่มดื่มในงานปาร์ตี้ตั้งแต่อายุ 14 ปี และมีประสบการณ์เมาพับ จำอะไรไม่ได้ตั้งแต่ต้น รวมถึงดื่มแล้วหยุดไม่ได้ แม้กระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยนิสัยนี้ยังติดตัวมาเรื่อย กระนั้น เบนตันยืนยันว่าเธอไม่เคยไปเรียนสาย แถมยังได้เกรดดีมาตลอด
"ดูภายนอกทุกอย่างโอเค แต่พอเหล้าเข้าปาก สิ่งที่ไม่เคยทำฉันก็ทำ แต่ฉันไม่คิดหรอกนะว่าตัวเองติดเหล้า คิดว่าก็เหมือนคนทั่วไปที่ดื่มเพื่อเป็นรางวัลสำหรับการทำงานหนักมาตลอดทั้งวันเท่านั้น"
ด้วยเหตุนี้ เบนตันจึงยังดื่มมาตลอดแม้เมื่อเริ่มทำงานในบริษัทผลิตรายการทีวี
"ฉันอาเจียน จำไม่ได้ว่ากลับบ้านได้อย่างไร เพื่อนต้องคอยเล่าให้ฟัง แต่ฉันไม่เคยปล่อยให้อาการเมาค้างมารบกวนการทำงานแม้แต่ครั้งเดียว"
ทั้งนี้ คนมากมายที่มีอาการเอชเอฟเอไม่ได้ถูกสังคมมองว่าติดเหล้า เพราะไม่ได้ดื่มทุกวัน มิหนำซ้ำยังประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว และบ่อยครั้งที่ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้พวกเอชเอฟเอปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้มีปัญหา จึงไม่จำเป็นต้องเข้ารับการบำบัดอาการติดเหล้า
แอลกอฮอลิกส์ อะโนนีมัส องค์กรรณรงค์เพื่อการเลิกเหล้าในอังกฤษ ระบุว่าอาการบ่งชี้อย่างง่ายที่สุดสำหรับเอชเอฟเอคือ อยากดื่ม หรือดื่มแล้วนิสัยเปลี่ยน พร้อมเตือนว่าเอชเอฟเออาจนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยง เช่น เมาแล้วขับ มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือหมดสติ
เบนตันเล่าต่อว่า ในที่สุดเธอก็เลิกเหล้าได้หลังเข้ารับการบำบัดอย่างจริงจัง
"สิ่งสำคัญคือ ระบบสนับสนุนทางสังคมควบคู่ไปกับการบำบัด การเลิกเหล้าอาจมาพร้อมความกังวลและซึมเศร้า ซึ่งต้องได้รับการบำบัดเช่นเดียวกัน ฉันไม่ดื่มมาห้าปีแล้ว ขั้นตอนสำคัญที่สุดคือ การยอมรับว่าตัวเองติดเหล้า แม้ไม่มีอาการบ่งชี้ชัดเจนก็ตาม"
คำแนะนำของเธอง่ายมาก "พยายามควบคุมตัวเอง กำหนดว่าจะดื่มครั้งละกี่แก้ว ฉันทำไม่ได้เลยต้องวนเวียนกลับไปหาเหล้าตลอด ฉันต้องรับการบำบัด หลายคนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับฉัน พลาดบทเรียนสำคัญของชีวิตเพราะมัวแต่ใช้เหล้าแก้ปัญหา ตัวอย่างเช่นคนที่ชีวิตแต่งงานอัปปาง เหล้าเป็นสัญญาณผิดๆ ของความรู้สึกปลอดภัย ทั้งที่จริงกลับทำให้คนๆ นั้นไม่สามารถจัดการกับปัญหาอื่นๆ ได้เลย"
ทั้งนี้ สัญญาณของเอชเอฟเอที่สามารถสังเกตได้ง่ายๆ มีดังนี้
- มีปัญหาในการควบคุมการดื่ม แม้ตัดสินใจกำหนดลิมิตให้ตัวเองแล้วก็ตาม
- พบว่าตัวเองหมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่การดื่ม เช่น คราวหน้าจะไปดื่มเมื่อไหร่ ที่ไหน และกับใคร
- เมื่อดื่มแล้ว พฤติกรรมจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
- เมาพับ จำสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการดื่มไม่ได้
หากใครมีพฤติกรรมทำนองนี้ ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะนี่เป็นอาการของการติดเหล้าที่ดูเหมือนไม่ส่งผลมากนักต่อชีวิตการทำงานประจำวัน ครอบครัวและมิตรภาพ หรือที่เรียกว่า high-functioning alcoholism - HFA
ซาราห์ อัลเลน เบนตัน เป็นตัวอย่างของผู้ที่มีอาการนี้ เธอจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยนอร์ธอีสเทิร์นในบอสตัน ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิตของวิทยาลัยเอมมานูเอลในบอสตันเช่นเดียวกัน
เบนตันเขียนหนังสือชื่อ 'อันเดอร์สแตนดิ้ง เดอะ ไฮ-ฟังชันนิ่ง แอลกอฮอลิก' ที่ตีพิมพ์ในสหรัฐฯ เมื่อเดือนมีนาคม บอกเล่าเรื่องราวการติดเหล้าของตัวเอง และประเมินว่าในบรรดาคนติดเหล้าทั้งหมด มีอย่างน้อย 50% เข้าข่ายเอชเอฟเอ
เธอบอกว่าเริ่มดื่มในงานปาร์ตี้ตั้งแต่อายุ 14 ปี และมีประสบการณ์เมาพับ จำอะไรไม่ได้ตั้งแต่ต้น รวมถึงดื่มแล้วหยุดไม่ได้ แม้กระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยนิสัยนี้ยังติดตัวมาเรื่อย กระนั้น เบนตันยืนยันว่าเธอไม่เคยไปเรียนสาย แถมยังได้เกรดดีมาตลอด
"ดูภายนอกทุกอย่างโอเค แต่พอเหล้าเข้าปาก สิ่งที่ไม่เคยทำฉันก็ทำ แต่ฉันไม่คิดหรอกนะว่าตัวเองติดเหล้า คิดว่าก็เหมือนคนทั่วไปที่ดื่มเพื่อเป็นรางวัลสำหรับการทำงานหนักมาตลอดทั้งวันเท่านั้น"
ด้วยเหตุนี้ เบนตันจึงยังดื่มมาตลอดแม้เมื่อเริ่มทำงานในบริษัทผลิตรายการทีวี
"ฉันอาเจียน จำไม่ได้ว่ากลับบ้านได้อย่างไร เพื่อนต้องคอยเล่าให้ฟัง แต่ฉันไม่เคยปล่อยให้อาการเมาค้างมารบกวนการทำงานแม้แต่ครั้งเดียว"
ทั้งนี้ คนมากมายที่มีอาการเอชเอฟเอไม่ได้ถูกสังคมมองว่าติดเหล้า เพราะไม่ได้ดื่มทุกวัน มิหนำซ้ำยังประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว และบ่อยครั้งที่ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้พวกเอชเอฟเอปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้มีปัญหา จึงไม่จำเป็นต้องเข้ารับการบำบัดอาการติดเหล้า
แอลกอฮอลิกส์ อะโนนีมัส องค์กรรณรงค์เพื่อการเลิกเหล้าในอังกฤษ ระบุว่าอาการบ่งชี้อย่างง่ายที่สุดสำหรับเอชเอฟเอคือ อยากดื่ม หรือดื่มแล้วนิสัยเปลี่ยน พร้อมเตือนว่าเอชเอฟเออาจนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยง เช่น เมาแล้วขับ มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือหมดสติ
เบนตันเล่าต่อว่า ในที่สุดเธอก็เลิกเหล้าได้หลังเข้ารับการบำบัดอย่างจริงจัง
"สิ่งสำคัญคือ ระบบสนับสนุนทางสังคมควบคู่ไปกับการบำบัด การเลิกเหล้าอาจมาพร้อมความกังวลและซึมเศร้า ซึ่งต้องได้รับการบำบัดเช่นเดียวกัน ฉันไม่ดื่มมาห้าปีแล้ว ขั้นตอนสำคัญที่สุดคือ การยอมรับว่าตัวเองติดเหล้า แม้ไม่มีอาการบ่งชี้ชัดเจนก็ตาม"
คำแนะนำของเธอง่ายมาก "พยายามควบคุมตัวเอง กำหนดว่าจะดื่มครั้งละกี่แก้ว ฉันทำไม่ได้เลยต้องวนเวียนกลับไปหาเหล้าตลอด ฉันต้องรับการบำบัด หลายคนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับฉัน พลาดบทเรียนสำคัญของชีวิตเพราะมัวแต่ใช้เหล้าแก้ปัญหา ตัวอย่างเช่นคนที่ชีวิตแต่งงานอัปปาง เหล้าเป็นสัญญาณผิดๆ ของความรู้สึกปลอดภัย ทั้งที่จริงกลับทำให้คนๆ นั้นไม่สามารถจัดการกับปัญหาอื่นๆ ได้เลย"
ทั้งนี้ สัญญาณของเอชเอฟเอที่สามารถสังเกตได้ง่ายๆ มีดังนี้
- มีปัญหาในการควบคุมการดื่ม แม้ตัดสินใจกำหนดลิมิตให้ตัวเองแล้วก็ตาม
- พบว่าตัวเองหมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่การดื่ม เช่น คราวหน้าจะไปดื่มเมื่อไหร่ ที่ไหน และกับใคร
- เมื่อดื่มแล้ว พฤติกรรมจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
- เมาพับ จำสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการดื่มไม่ได้