โออิชิ ลุยต่อเนื่อง ซื้อแฟรนไชส์ “คาโซกูเตะ” จากญี่ปุ่น บุกช่องว่างร้านอาหารเมนูเส้นที่ยังมีอยู่ ปีแรกเตรียมควักเงิน 50 ล้านบาท เปิด 5 สาขา ลุ้นเปิดสาขาแรกปลายปีนี้ ส่วนภาพรวมรายได้ไตรมาสแรก ยอดขายเครื่องดื่มยังเป็นไปตามเป้า ทั้งปีมั่นใจรายได้รวมแตะ 7,200 มาจากเครื่องดื่ม 55% และร้านอาหาร 45%
นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป (จำกัด) มหาชน เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ ทางบริษัทได้เซ็นสัญญาซื้อแฟรนไชส์ร้าน“คาโซกูเตะ” ซึ่งเป็นผู้นำทางด้านการผลิตเส้นอูด้ง และโซบะ จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย โดยเป็นการเซ็นสัญญาแบบ 5 ปี ต่อ 5 ปี ซึ่งการซื้อแฟรนไชส์ครั้งนี้ มี ไทย จีน สิงคโปร์ ที่เซ็นสัญญาพร้อมกัน และเป็นครั้งแรกที่ คาโซกูเตะ มีการขยายแฟรนไชส์ไปยังต่างประเทศ
ทั้งนี้ตั้งใจว่าภายในช่วงปีแรกของการดำเนินงาน จะต้องเปิดให้ได้อย่างน้อย 5 สาขา ใช้งบลงทุนสาขาละประมาณ 10 ล้านบาท รวมแล้ว 50 ล้านบาท ซึ่งเป้าหมายใน 5 ปีแรก จะเปิดให้ได้ 20 สาขา เป็นอย่างน้อย และคาดว่าจะมีการจ้างงานเกิดขึ้นที่ 20 คนต่อสาขา
อย่างไรก็ตาม งบลงทุนของร้านคาโซกุเตะในปีนี้ ไม่ได้รวมอยู่ในงบลงทุนรวมธุรกิจร้านอาหารโออิชิที่วางไว้ 200 ล้านบาทในปีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ภายใน 120 วัน นับจากวันเซ็นสัญญา บริษัทจะมีการเปิดให้บริการร้านอาหารเมนูเส้น ภายใต้ชื่อ คาโซกูเตะ สาขาแรกให้ได้ โดยจะเปิดในศูนย์การค้าเป็นหลัก ขณะนี้กำลังมองหาทำเลอยู่
สำหรับการลงทุนซื้อแฟรนไชส์ครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบในส่วนของการผลิตวัตถุดิบมากนัก เพราะเครื่องจักรที่ลงทุนซื้อไว้อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว สามารถรองรับกำลังการผลิตเส้นอูด้งและโซบะได้อย่างดี เพียงแค่เปลี่ยนแม่พิมพ์เท่านั้น นอกจากนี้มั่นใจว่าจะเป็นธุรกิจอาหารเส้น ที่ไม่ทับซ้อนกับร้านอาหารโออิชิราเมนของบริษัทฯที่เปิดดำเนินการอยู่ก่อนแล้วแน่นอน อีกทั้งยังเป็นร้านอาหารที่จับกลุ่มเป้าหมายระดับกลางขึ้นไป เมนูอาหารราคาเริ่มที่ 50 บาทขึ้นไป
โดยในส่วนของธุรกิจร้านอาหารโออิชิ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวมแล้วมีการขยายสาขาเพิ่มทุกแบรนด์กว่า 10 สาขา ทั้งนี้ระยะเวลาอีก 4 เดือนที่เหลือ เชื่อว่าจะสามารถขยายเพิ่มได้อีกเล็กน้อย จากร้านอาหารทั้งหมด ขณะนี้รวมแล้วมีกว่า 100 สาขา อาทิ เช่น ร้าน ไมโดะโอกินิ อีก 2 เดือนข้างหน้า จะเปิดให้บริการสาขาที่ 2 ที่ เดอะมอลล์ บางแค หลังเปิดให้บริการสาขาแรกไปแล้วที่ ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต
นายตัน กล่าวต่อว่า ในส่วนของภาพรวมธุรกิจเครื่องดื่มตั้งแต่ต้นปีมานั้น กลุ่มชาพร้อมดื่มมีอัตราการเติบโตสูงสุดถึง 28% รองลงมา คือ กาแฟพร้อมดื่มโต 21% และกลุ่มเครื่องดื่มที่เหลือโต 10% โดยในกลุ่มชาพร้อมดื่ม โออิชิ ยังครองความเป็นผู้นำอยู่ หรือมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 64% จากมูลค่าตลาดชาพร้อมดื่มรวม 4,800 ล้านบาท
การเติบโตของชาเขียวโออิชิส่วนหนึ่งมาจากแคมเปญ “ไปแต่ตัวทัวร์ยกแก็งค์กับโออิชิ ภาค2 กับสุดยอดดารา 30 คน” ถือเป็นกระแสที่ช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก โดยมีตัวเลขที่ส่งฝาเข้ามาร่วมสนุกสูงถึง 30 ล้านฝา ขณะที่แคมเปญนี้ในปีก่อน ทำได้ 20 ล้านฝา ดังนั้นทั้งปีนี้จึงมั่นใจว่า รายได้จะเป็นไปตามแผนที่วางไว้ 7,200 ล้านบาท มาจากกลุ่มเครื่องดื่ม 55% และร้านอาหาร 45%
นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป (จำกัด) มหาชน เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ ทางบริษัทได้เซ็นสัญญาซื้อแฟรนไชส์ร้าน“คาโซกูเตะ” ซึ่งเป็นผู้นำทางด้านการผลิตเส้นอูด้ง และโซบะ จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย โดยเป็นการเซ็นสัญญาแบบ 5 ปี ต่อ 5 ปี ซึ่งการซื้อแฟรนไชส์ครั้งนี้ มี ไทย จีน สิงคโปร์ ที่เซ็นสัญญาพร้อมกัน และเป็นครั้งแรกที่ คาโซกูเตะ มีการขยายแฟรนไชส์ไปยังต่างประเทศ
ทั้งนี้ตั้งใจว่าภายในช่วงปีแรกของการดำเนินงาน จะต้องเปิดให้ได้อย่างน้อย 5 สาขา ใช้งบลงทุนสาขาละประมาณ 10 ล้านบาท รวมแล้ว 50 ล้านบาท ซึ่งเป้าหมายใน 5 ปีแรก จะเปิดให้ได้ 20 สาขา เป็นอย่างน้อย และคาดว่าจะมีการจ้างงานเกิดขึ้นที่ 20 คนต่อสาขา
อย่างไรก็ตาม งบลงทุนของร้านคาโซกุเตะในปีนี้ ไม่ได้รวมอยู่ในงบลงทุนรวมธุรกิจร้านอาหารโออิชิที่วางไว้ 200 ล้านบาทในปีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ภายใน 120 วัน นับจากวันเซ็นสัญญา บริษัทจะมีการเปิดให้บริการร้านอาหารเมนูเส้น ภายใต้ชื่อ คาโซกูเตะ สาขาแรกให้ได้ โดยจะเปิดในศูนย์การค้าเป็นหลัก ขณะนี้กำลังมองหาทำเลอยู่
สำหรับการลงทุนซื้อแฟรนไชส์ครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบในส่วนของการผลิตวัตถุดิบมากนัก เพราะเครื่องจักรที่ลงทุนซื้อไว้อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว สามารถรองรับกำลังการผลิตเส้นอูด้งและโซบะได้อย่างดี เพียงแค่เปลี่ยนแม่พิมพ์เท่านั้น นอกจากนี้มั่นใจว่าจะเป็นธุรกิจอาหารเส้น ที่ไม่ทับซ้อนกับร้านอาหารโออิชิราเมนของบริษัทฯที่เปิดดำเนินการอยู่ก่อนแล้วแน่นอน อีกทั้งยังเป็นร้านอาหารที่จับกลุ่มเป้าหมายระดับกลางขึ้นไป เมนูอาหารราคาเริ่มที่ 50 บาทขึ้นไป
โดยในส่วนของธุรกิจร้านอาหารโออิชิ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวมแล้วมีการขยายสาขาเพิ่มทุกแบรนด์กว่า 10 สาขา ทั้งนี้ระยะเวลาอีก 4 เดือนที่เหลือ เชื่อว่าจะสามารถขยายเพิ่มได้อีกเล็กน้อย จากร้านอาหารทั้งหมด ขณะนี้รวมแล้วมีกว่า 100 สาขา อาทิ เช่น ร้าน ไมโดะโอกินิ อีก 2 เดือนข้างหน้า จะเปิดให้บริการสาขาที่ 2 ที่ เดอะมอลล์ บางแค หลังเปิดให้บริการสาขาแรกไปแล้วที่ ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต
นายตัน กล่าวต่อว่า ในส่วนของภาพรวมธุรกิจเครื่องดื่มตั้งแต่ต้นปีมานั้น กลุ่มชาพร้อมดื่มมีอัตราการเติบโตสูงสุดถึง 28% รองลงมา คือ กาแฟพร้อมดื่มโต 21% และกลุ่มเครื่องดื่มที่เหลือโต 10% โดยในกลุ่มชาพร้อมดื่ม โออิชิ ยังครองความเป็นผู้นำอยู่ หรือมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 64% จากมูลค่าตลาดชาพร้อมดื่มรวม 4,800 ล้านบาท
การเติบโตของชาเขียวโออิชิส่วนหนึ่งมาจากแคมเปญ “ไปแต่ตัวทัวร์ยกแก็งค์กับโออิชิ ภาค2 กับสุดยอดดารา 30 คน” ถือเป็นกระแสที่ช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก โดยมีตัวเลขที่ส่งฝาเข้ามาร่วมสนุกสูงถึง 30 ล้านฝา ขณะที่แคมเปญนี้ในปีก่อน ทำได้ 20 ล้านฝา ดังนั้นทั้งปีนี้จึงมั่นใจว่า รายได้จะเป็นไปตามแผนที่วางไว้ 7,200 ล้านบาท มาจากกลุ่มเครื่องดื่ม 55% และร้านอาหาร 45%