ASTVผู้จัดการรายวัน – พัฒน์กล เน้นรัดเข็มขัดเน้นคุมต้นทุน หลังเศรษฐกิจซบ รุกขยายฐานลูกค้าในประเทศแถบเอเชียเพิ่ม ตั้งเป้ารักษารายได้ปีนี้ให้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 898.97 ล้านบาท เผยปัจจุบันมีงานในมือ 500-600 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้จนถึงสิ้นปีนี้ ส่วนผลงานไตรมาส 2 คาดไม่สวยเท่าปี 51
นายแสงชัย โชติช่วงชัชวาล กรรมการ บริษัท พัฒน์กล จำกัด (มหาชน) หรือ PATKL เปิดเผยว่าจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา ส่งผลให้บริษัทต้องปรับลดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ เช่น การปลดพนักงาน (lay out) บางส่วนออกไป ซึ่งการลดคนครั้งนี้นั้นสามารถทำให้ PATKL ประหยัดต้นทุนไปถึง 20% แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อระบบงานของบริษัท ขณะที่การลงทุนใหม่นั้นยังไม่มีแผน เพราะบริษัทต้องการรักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับเหมาะสมเพื่อรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
สำหรับในปี 52 บริษัทฯ มีแผนจะขยายฐานลูกค้าในแถบประเทศเอเชียเพิ่มเติม จากเดิมที่ฐานลูกค้าหลักจะอยู่ในประเทศมาเลเซีย ฟิลิปินส์ และตะวันออกกลาง เพื่อป้องกันความเสี่ยงหากลูกค้าส่วนดังกล่าวได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีตามกระแสเศรษฐกิจโลก
" ตอนนี้ยังไม่ได้เห็นสัญญาณอะไรของฐานลูกค้าเดิมที่จะลดคำสั่งซื้อเครื่องจักร แต่เราเองก็ไม่ประมาทเพราะเศรษฐกิจแบบนี้อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยตอนนี้เราต้องพยายามขยายฐานลูกค้าในแถบเอเชียเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งถ้าเหตุการณ์เลวร้ายฐานลูกค้าใหม่ก็จะกลายเป็นรายได้ที่เข้ามาทดแทนได้ หรือถ้าทุกอย่างปกติก็ถือว่าเป็นการสร้างความเติบโตกับธุรกิจ ขณะเดียวกันก็จะพยายามรักษารายได้ปีนี้ให้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่เคยทำได้ 898.97 ล้านบาท" นายแสงชัยกล่าว
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทแบ่งเป็นในประเทศ 20-30 % และที่เหลือมาจากการส่งออกไปยังต่างประเทศ รวมทั้งยังมีงานมือ (Backlog) อีกมูลค่าประมาณ 500-600 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการขายเครื่องจักรอุตสาหกรรมอาหารในไทยและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี52
สำหรับ ภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารในปัจจุบันถือว่ายังพอไปได้ แต่คงขยายตัวเหมือนดังเช่นกับปีที่ผ่านมาเพราะสภาพเศรษฐกิจซบเซา ส่งผลให้ผู้บริโภคบางส่วนปรับลดการใช้จ่ายจนทำให้ยอดขายสินค้าประเภทอาหารหดลงจากปีก่อนพอสมควร
นอกจากนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าผลการดำเนินในไตรมาส 2/52 คาดว่าน่าจะมีรายได้ปรับลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 51 ที่มีรายได้อยู่ที่ 832.34 ล้านบาท เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจจนทำให้คำสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ลดน้อยลง
สำหรับผลประกอบการสิ้นไตรมาส 1 ปี 52 พบว่าขาดทุนสุทธิ 821.56 ล้านบาท เทียบงวดเดียวกันปี 51 ที่ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 142.18 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิลดลง อันเกิดจากการที่บริษัทฯ รับก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นงานที่บริษัทฯ ยังไม่มีประสบการณ์ จึงทำให้มีความผิดพลาดในการประมาณต้นทุน ประกอบกับวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายทำให้บริษัทไม่สามารถเพิ่มยอดขายได้ตามเป้าหมาย
รวมทั้งไตรมาสแรกปีนี้บริษัทมีการตั้งหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น 676 ล้านบาท จากลูกหนี้ที่คาดว่าจะเก็บเงินไม่ได้โดยทำสัญญาประนอมหนี้กับลูกหนี้บางราย ซึ่งยังคงชำระเงินสม่ำเสมอ บริษัทจึงตั้งประมาณการหนี้สงสัยจะสูญตามหลักเกณฑ์ โดยขยายระยะเวลาชำระหนี้ และทำสัญญาผ่อนชำระหนี้เป็นงวด งวดละเดือน (ระยะเวลาประมาณไม่เกิน 5 ปี) ในปัจจุบันลูกหนี้ยังคงชำระหนี้ตามสัญญา
นายแสงชัย โชติช่วงชัชวาล กรรมการ บริษัท พัฒน์กล จำกัด (มหาชน) หรือ PATKL เปิดเผยว่าจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา ส่งผลให้บริษัทต้องปรับลดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ เช่น การปลดพนักงาน (lay out) บางส่วนออกไป ซึ่งการลดคนครั้งนี้นั้นสามารถทำให้ PATKL ประหยัดต้นทุนไปถึง 20% แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อระบบงานของบริษัท ขณะที่การลงทุนใหม่นั้นยังไม่มีแผน เพราะบริษัทต้องการรักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับเหมาะสมเพื่อรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
สำหรับในปี 52 บริษัทฯ มีแผนจะขยายฐานลูกค้าในแถบประเทศเอเชียเพิ่มเติม จากเดิมที่ฐานลูกค้าหลักจะอยู่ในประเทศมาเลเซีย ฟิลิปินส์ และตะวันออกกลาง เพื่อป้องกันความเสี่ยงหากลูกค้าส่วนดังกล่าวได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีตามกระแสเศรษฐกิจโลก
" ตอนนี้ยังไม่ได้เห็นสัญญาณอะไรของฐานลูกค้าเดิมที่จะลดคำสั่งซื้อเครื่องจักร แต่เราเองก็ไม่ประมาทเพราะเศรษฐกิจแบบนี้อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยตอนนี้เราต้องพยายามขยายฐานลูกค้าในแถบเอเชียเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งถ้าเหตุการณ์เลวร้ายฐานลูกค้าใหม่ก็จะกลายเป็นรายได้ที่เข้ามาทดแทนได้ หรือถ้าทุกอย่างปกติก็ถือว่าเป็นการสร้างความเติบโตกับธุรกิจ ขณะเดียวกันก็จะพยายามรักษารายได้ปีนี้ให้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่เคยทำได้ 898.97 ล้านบาท" นายแสงชัยกล่าว
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทแบ่งเป็นในประเทศ 20-30 % และที่เหลือมาจากการส่งออกไปยังต่างประเทศ รวมทั้งยังมีงานมือ (Backlog) อีกมูลค่าประมาณ 500-600 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการขายเครื่องจักรอุตสาหกรรมอาหารในไทยและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี52
สำหรับ ภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารในปัจจุบันถือว่ายังพอไปได้ แต่คงขยายตัวเหมือนดังเช่นกับปีที่ผ่านมาเพราะสภาพเศรษฐกิจซบเซา ส่งผลให้ผู้บริโภคบางส่วนปรับลดการใช้จ่ายจนทำให้ยอดขายสินค้าประเภทอาหารหดลงจากปีก่อนพอสมควร
นอกจากนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าผลการดำเนินในไตรมาส 2/52 คาดว่าน่าจะมีรายได้ปรับลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 51 ที่มีรายได้อยู่ที่ 832.34 ล้านบาท เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจจนทำให้คำสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ลดน้อยลง
สำหรับผลประกอบการสิ้นไตรมาส 1 ปี 52 พบว่าขาดทุนสุทธิ 821.56 ล้านบาท เทียบงวดเดียวกันปี 51 ที่ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 142.18 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิลดลง อันเกิดจากการที่บริษัทฯ รับก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นงานที่บริษัทฯ ยังไม่มีประสบการณ์ จึงทำให้มีความผิดพลาดในการประมาณต้นทุน ประกอบกับวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายทำให้บริษัทไม่สามารถเพิ่มยอดขายได้ตามเป้าหมาย
รวมทั้งไตรมาสแรกปีนี้บริษัทมีการตั้งหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น 676 ล้านบาท จากลูกหนี้ที่คาดว่าจะเก็บเงินไม่ได้โดยทำสัญญาประนอมหนี้กับลูกหนี้บางราย ซึ่งยังคงชำระเงินสม่ำเสมอ บริษัทจึงตั้งประมาณการหนี้สงสัยจะสูญตามหลักเกณฑ์ โดยขยายระยะเวลาชำระหนี้ และทำสัญญาผ่อนชำระหนี้เป็นงวด งวดละเดือน (ระยะเวลาประมาณไม่เกิน 5 ปี) ในปัจจุบันลูกหนี้ยังคงชำระหนี้ตามสัญญา