การพัฒนาการอุดมศึกษาให้เข้มแข็งถือเป็นรากฐานที่สำคัญมากในการพัฒนาประเทศ ดังจะเห็นได้ว่าอารยประเทศทั้งหลายในโลกนี้ต่างก็มีสถาบันอุดมศึกษาที่เข้มแข็งเสมอ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกานั้นได้มีการวิเคราะห์กันว่าที่ก้าวเข้ามาเป็นมหาอำนาจของโลกได้อย่างรวดเร็วนั้นก็เพราะมีมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำเป็นปัจจัยส่งเสริมหลักนั่นเอง
สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง (ร. 5) ทรงเล็งเห็นการณ์ไกลในการเชื่อมโยงการศึกษากับการพัฒนาประเทศไทยให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ จึงทรงส่งนักศึกษาออกไปศึกษาต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการกระโดดทางการพัฒนาประเทศในยุคนั้นเป็นอย่างมาก
จนบัดนี้เวลาล่วงมากว่าร้อยปีแล้ว รัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมาได้ลงทุนมหาศาลส่งนักศึกษาไทยออกไปศึกษาต่างประเทศเรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง และในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนจบปริญญาเอกในวิทยาการสาขาต่างๆ นับหมื่นๆ คน ปริญญาโทอีกเป็นแสน แต่ประเทศไทยก็ยังไม่สามารถยืนบนขาตัวเองได้ในแง่วิชาการสักที จะทำโครงการใหญ่น้อยอะไรแต่ละทีก็ต้องมีที่ปรึกษาต่างชาติเสมอ แม้แต่โครงการขุดค้นด้านโบราณคดีก็ตาม ไม่ต้องเอ่ยถึงโครงการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในที่นี้ขอวิเคราะห์แบบย้อนเกร็ดว่าความอ่อนแอของนักวิชาการในมหาวิทยาลัยไทยนั้น มีสาเหตุหลักมาจากการที่เราส่งนักศึกษาไปเรียนต่างประเทศ “เป็นระยะเวลายาวนานเกินไป” และ “ไร้ทิศทางเกินไป” ซึ่งก่อให้เกิดผลพวงอันเลวร้ายตามมาหลายประการ เช่น
1. เสียเงินออกนอกประเทศ (ใน พ.ศ. 2545 ซึ่งแม้เป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ก็ยังเสียเงินไปเรียนกันประมาณปีละ 45,000 ล้านบาท เมื่อคิดรวมหมดทุกคนที่ไปเรียนอยู่โดยทุนส่วนตัวและทุนรัฐบาล..ประมาณตั้ง 5% ของงบประมาณชาติในขณะนั้น)
2. ทำให้มหาวิทยาลัยไทยอ่อนแอทางการศึกษา เพราะไม่ได้นักศึกษาคุณภาพดีเข้ามาป้อนการศึกษาระดับโท-เอก (ได้แต่พวกหมดหนทางไปเรียนนอกเข้าเป็นวัตถุดิบ)
3. ทำให้การวิจัยในมหาวิทยาลัยอ่อนแอ เพราะไม่มีแรงงานและมันสมองของนักศึกษาบัณฑิตศึกษาที่เก่งๆ คอยช่วยเหลือ (ทำวิทยานิพนธ์) แต่กลับส่งมันสมองชั้นดีเหล่านี้ไปทำงานวิจัยเพื่อพัฒนาความเข้มแข็งให้มหาวิทยาลัยต่างชาติเสียหมด เท่ากับว่าเราเอางบของประเทศไทยที่จนๆ ส่งสมองชั้นเลิศของเราไปช่วยพัฒนาต่างชาติที่เขารวยกว่าเราร้อยเท่า
4. เมื่อมันสมองเหล่านั้นกลับมาสู่ประเทศแล้ว (หากไม่โดนต่างชาติดูดตัวไปเสียก่อน) ส่วนใหญ่ก็จะทำงานวิจัยในเรื่องเดิมที่เคยทำ ณ ต่างประเทศต่อไป ซึ่งมักไม่ค่อยมีผลต่อการพัฒนาชาติไทย แต่กลับมีผลต่อการพัฒนาชาติอื่น (ทั้งที่ใช้เงินคนไทยทำงานนี้) เท่ากับว่าชาติเราเสียเงินทั้งขึ้นทั้งล่อง (ยังไม่นับการเสียโอกาสอีกมหาศาล)
5. เมื่อมันสมองระดับสูงเหล่านี้เข้ามาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และรับนักศึกษาปริญญาโท-เอก (ที่เหลือเดนจากการไม่สามารถไปเรียนนอกได้) เข้ามาทำงานวิทยานิพนธ์กับตน ก็จะแจกโจทย์วิจัยเพื่อพัฒนาชาติอื่นเหล่านี้ให้นักศึกษาช่วยทำกันต่อไปอีกนาน นับเป็นการสูญเสียระยะยาวทีเดียว
กรณีประวัติศาสตร์ของสองชาติที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่งคือ รัสเซีย และญี่ปุ่น สองชาตินี้สร้างชาติมาคล้ายกันคือพระเจ้าปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเซีย และจักรพรรดิเมจิแห่งญี่ปุ่นทรงส่งนักศึกษาออกไปศึกษาวิทยาการจากตะวันตกในเวลาเพียงประมาณ 30 ปี เท่านั้น จากนั้นก็ลดจำนวนการส่งออกลงมาก แล้วหันมาพัฒนาการศึกษาและการวิจัยภายในประเทศของตนเอง จนทั้งสองประเทศกลายสภาพจากบ้านป่าเมืองเถื่อนมาเป็นประเทศมหาประเทศได้อย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โลกก่อนหน้านั้นก็ว่าได้ น่าคิดว่าถ้าสองประเทศนี้ส่งนักศึกษาไปเรียนนอกแบบต่อเนื่องยาวนานนับร้อยปีเหมือนไทยเราโดยไม่คิดสร้างความรู้ด้วยตัวเองบ้าง ป่านนี้จะเป็นอย่างไร
ผู้เขียนใคร่ขอเสนอหนทางแก้ไขความอ่อนแอและพัฒนาความเข้มแข็งของมหาวิทยาลัยไทยแบบย้อนเกล็ดว่า ให้ลดการส่งนักศึกษาไปเรียนต่างประเทศให้มากที่สุด (คงไว้เพียงจำนวนน้อยจำนวนหนึ่งเพื่อ “ทรง” ความรู้เท่านั้น) แล้วหันมาสร้างค่านิยม และสร้างแรงจูงใจให้เรียนในประเทศไทยให้มากที่สุด ซึ่งในขณะนี้สามารถทำได้เป็นอย่างดีเพราะประเทศไทยมีนักวิชาการระดับปริญญาเอกในสาขาวิชาการต่างๆเป็นจำนวนมากพอที่จะตั้งตัวทางวิชาการได้แล้ว
โดยเฉพาะนักศึกษาทุนรัฐบาลต้องเรียนในประเทศเท่านั้น โดยนักศึกษาระดับปริญญาเอกมีเงินเดือนให้ 15,000 บาทเป็นเวลา 4 ปี มีงบสนับสนุนการทำวิทยานิพนธ์จำนวน 2 ล้านบาท และมีงบให้อาจารย์ไปเสนอผลงานวิจัยต่างประเทศได้ 2 แสนบาท (ซึ่งอาจารย์ไทยส่วนใหญ่ชอบมาก) การทำเช่นนี้มีข้อดีคือ
1. ถูกกว่าส่งไปเรียนนอก 3 เท่า
2. เงินอยู่ในประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยปีละนับหมื่นล้าน
3. ช่วยพัฒนาความเข้มแข็งของมหาวิทยาลัยไทย (อาจารย์มีงานวิจัยทำและมีนักศึกษาเก่งๆ ช่วยงานวิจัย)
4. หัวข้อวิจัยสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศไทย (อาจกำหนดเป็นเงื่อนไขของการให้ทุนวิจัยวิทยานิพนธ์)
5. เป็นการพึ่งตนเอง แทนการพึ่งต่างชาติร่ำไป จะส่งอานิสงส์มหาศาลไปยังภาคอื่นๆ อย่างคาดไม่ถึงอีกมาก (ลองนึกดูสิ)
ศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของคนไทย สอนให้เรารู้จักพึ่งตนเอง ดังพุทธพจน์ที่ว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” แต่นักวิชาการไทยส่วนใหญ่และนักวางนโยบายทางการศึกษาส่วนใหญ่มักคิดกันได้แต่การจะพึ่งการศึกษาของต่างชาติอยู่ร่ำไป..และดูเหมือนว่าจะตลอดไปหากไม่มีอะไรมากระตุ้นให้เป็นอื่น ไม่มีใครคิดจะพึ่งตนเองด้วยการส่งเสริมให้เกิดการเรียนในประเทศแทนการส่งไปเรียนเมืองนอกกันโครมๆ บ้างเลย เช่น รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ (นายกฯ จบนอกอีกคน) นั้น
เมื่อฟื้นจากพิษโรคเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ก็ประกาศนโยบายส่งออกนักศึกษา 5,000 คนทันที นัยว่าเพื่อสร้างคนไว้เอามาพัฒนาประเทศ ซึ่งเป็นการติดกับดักของวิสัยทัศน์เดิมๆ เก่าๆ ทั้งที่หาเสียงทางการเมืองเสียเลิศหรูว่า “คิดใหม่ทำใหม่” อีกทั้งยังมีโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งด็อกเตอร์ โดยด็อกเตอร์เหล่านี้ส่งไปเรียนต่างประเทศหมด ไม่เคยคิดจะให้เรียนในเมืองไทยเราบ้างเลย
การส่งเสริมให้เรียนในประเทศ และนโยบายมาตรการให้ทุนวิจัยที่ชาญฉลาด จะช่วยพัฒนาปัญญาและความรู้ของนักวิชาการในมหาวิทยาลัยไทย พร้อมกับช่วยพัฒนาประเทศให้มั่งคั่งพร้อมกันไป เชื่อได้ว่า 20 ปีจากนี้ไปไทยเราจะพึ่งตนเองได้ทางวิชาการ ทั้งนี้หาใช่ว่าเราจะปิดประเทศด้านวิชาการ เพราะการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับต่างชาติยังคงมีอยู่เพียงแต่ว่าบทบาทและลักษณะจะเปลี่ยนไปเป็น “เพื่อนฝูง” แทนการเป็น “ลูกไล่” แบบเก่าก่อน การให้ทุนไปเสนอผลงานวิจัย ณ ต่างประเทศก็เป็นกุศโลบายในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยปริยายอยู่แล้วด้วย
ชาติไทยได้ลงทุนส่งคนไปเรียนนอกมาร้อยกว่าปีจนมีดอกเตอร์ในทุกสาขาวิชาการเต็มประเทศ ผู้เขียนเชื่อว่าถ้ามีความตั้งใจทางการเมืองที่แน่วแน่ และมีวิสัยทัศน์ทางการศึกษาของชาติที่ถูกต้อง ชาติเราต้องพึ่งตนเองทางวิชาการได้ภายใน 20 ปีจากนี้ไปอย่างแน่นอน
....ทวิช จิตรสมบูรณ์
สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง (ร. 5) ทรงเล็งเห็นการณ์ไกลในการเชื่อมโยงการศึกษากับการพัฒนาประเทศไทยให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ จึงทรงส่งนักศึกษาออกไปศึกษาต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการกระโดดทางการพัฒนาประเทศในยุคนั้นเป็นอย่างมาก
จนบัดนี้เวลาล่วงมากว่าร้อยปีแล้ว รัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมาได้ลงทุนมหาศาลส่งนักศึกษาไทยออกไปศึกษาต่างประเทศเรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง และในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนจบปริญญาเอกในวิทยาการสาขาต่างๆ นับหมื่นๆ คน ปริญญาโทอีกเป็นแสน แต่ประเทศไทยก็ยังไม่สามารถยืนบนขาตัวเองได้ในแง่วิชาการสักที จะทำโครงการใหญ่น้อยอะไรแต่ละทีก็ต้องมีที่ปรึกษาต่างชาติเสมอ แม้แต่โครงการขุดค้นด้านโบราณคดีก็ตาม ไม่ต้องเอ่ยถึงโครงการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในที่นี้ขอวิเคราะห์แบบย้อนเกร็ดว่าความอ่อนแอของนักวิชาการในมหาวิทยาลัยไทยนั้น มีสาเหตุหลักมาจากการที่เราส่งนักศึกษาไปเรียนต่างประเทศ “เป็นระยะเวลายาวนานเกินไป” และ “ไร้ทิศทางเกินไป” ซึ่งก่อให้เกิดผลพวงอันเลวร้ายตามมาหลายประการ เช่น
1. เสียเงินออกนอกประเทศ (ใน พ.ศ. 2545 ซึ่งแม้เป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ก็ยังเสียเงินไปเรียนกันประมาณปีละ 45,000 ล้านบาท เมื่อคิดรวมหมดทุกคนที่ไปเรียนอยู่โดยทุนส่วนตัวและทุนรัฐบาล..ประมาณตั้ง 5% ของงบประมาณชาติในขณะนั้น)
2. ทำให้มหาวิทยาลัยไทยอ่อนแอทางการศึกษา เพราะไม่ได้นักศึกษาคุณภาพดีเข้ามาป้อนการศึกษาระดับโท-เอก (ได้แต่พวกหมดหนทางไปเรียนนอกเข้าเป็นวัตถุดิบ)
3. ทำให้การวิจัยในมหาวิทยาลัยอ่อนแอ เพราะไม่มีแรงงานและมันสมองของนักศึกษาบัณฑิตศึกษาที่เก่งๆ คอยช่วยเหลือ (ทำวิทยานิพนธ์) แต่กลับส่งมันสมองชั้นดีเหล่านี้ไปทำงานวิจัยเพื่อพัฒนาความเข้มแข็งให้มหาวิทยาลัยต่างชาติเสียหมด เท่ากับว่าเราเอางบของประเทศไทยที่จนๆ ส่งสมองชั้นเลิศของเราไปช่วยพัฒนาต่างชาติที่เขารวยกว่าเราร้อยเท่า
4. เมื่อมันสมองเหล่านั้นกลับมาสู่ประเทศแล้ว (หากไม่โดนต่างชาติดูดตัวไปเสียก่อน) ส่วนใหญ่ก็จะทำงานวิจัยในเรื่องเดิมที่เคยทำ ณ ต่างประเทศต่อไป ซึ่งมักไม่ค่อยมีผลต่อการพัฒนาชาติไทย แต่กลับมีผลต่อการพัฒนาชาติอื่น (ทั้งที่ใช้เงินคนไทยทำงานนี้) เท่ากับว่าชาติเราเสียเงินทั้งขึ้นทั้งล่อง (ยังไม่นับการเสียโอกาสอีกมหาศาล)
5. เมื่อมันสมองระดับสูงเหล่านี้เข้ามาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และรับนักศึกษาปริญญาโท-เอก (ที่เหลือเดนจากการไม่สามารถไปเรียนนอกได้) เข้ามาทำงานวิทยานิพนธ์กับตน ก็จะแจกโจทย์วิจัยเพื่อพัฒนาชาติอื่นเหล่านี้ให้นักศึกษาช่วยทำกันต่อไปอีกนาน นับเป็นการสูญเสียระยะยาวทีเดียว
กรณีประวัติศาสตร์ของสองชาติที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่งคือ รัสเซีย และญี่ปุ่น สองชาตินี้สร้างชาติมาคล้ายกันคือพระเจ้าปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเซีย และจักรพรรดิเมจิแห่งญี่ปุ่นทรงส่งนักศึกษาออกไปศึกษาวิทยาการจากตะวันตกในเวลาเพียงประมาณ 30 ปี เท่านั้น จากนั้นก็ลดจำนวนการส่งออกลงมาก แล้วหันมาพัฒนาการศึกษาและการวิจัยภายในประเทศของตนเอง จนทั้งสองประเทศกลายสภาพจากบ้านป่าเมืองเถื่อนมาเป็นประเทศมหาประเทศได้อย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์โลกก่อนหน้านั้นก็ว่าได้ น่าคิดว่าถ้าสองประเทศนี้ส่งนักศึกษาไปเรียนนอกแบบต่อเนื่องยาวนานนับร้อยปีเหมือนไทยเราโดยไม่คิดสร้างความรู้ด้วยตัวเองบ้าง ป่านนี้จะเป็นอย่างไร
ผู้เขียนใคร่ขอเสนอหนทางแก้ไขความอ่อนแอและพัฒนาความเข้มแข็งของมหาวิทยาลัยไทยแบบย้อนเกล็ดว่า ให้ลดการส่งนักศึกษาไปเรียนต่างประเทศให้มากที่สุด (คงไว้เพียงจำนวนน้อยจำนวนหนึ่งเพื่อ “ทรง” ความรู้เท่านั้น) แล้วหันมาสร้างค่านิยม และสร้างแรงจูงใจให้เรียนในประเทศไทยให้มากที่สุด ซึ่งในขณะนี้สามารถทำได้เป็นอย่างดีเพราะประเทศไทยมีนักวิชาการระดับปริญญาเอกในสาขาวิชาการต่างๆเป็นจำนวนมากพอที่จะตั้งตัวทางวิชาการได้แล้ว
โดยเฉพาะนักศึกษาทุนรัฐบาลต้องเรียนในประเทศเท่านั้น โดยนักศึกษาระดับปริญญาเอกมีเงินเดือนให้ 15,000 บาทเป็นเวลา 4 ปี มีงบสนับสนุนการทำวิทยานิพนธ์จำนวน 2 ล้านบาท และมีงบให้อาจารย์ไปเสนอผลงานวิจัยต่างประเทศได้ 2 แสนบาท (ซึ่งอาจารย์ไทยส่วนใหญ่ชอบมาก) การทำเช่นนี้มีข้อดีคือ
1. ถูกกว่าส่งไปเรียนนอก 3 เท่า
2. เงินอยู่ในประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยปีละนับหมื่นล้าน
3. ช่วยพัฒนาความเข้มแข็งของมหาวิทยาลัยไทย (อาจารย์มีงานวิจัยทำและมีนักศึกษาเก่งๆ ช่วยงานวิจัย)
4. หัวข้อวิจัยสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศไทย (อาจกำหนดเป็นเงื่อนไขของการให้ทุนวิจัยวิทยานิพนธ์)
5. เป็นการพึ่งตนเอง แทนการพึ่งต่างชาติร่ำไป จะส่งอานิสงส์มหาศาลไปยังภาคอื่นๆ อย่างคาดไม่ถึงอีกมาก (ลองนึกดูสิ)
ศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของคนไทย สอนให้เรารู้จักพึ่งตนเอง ดังพุทธพจน์ที่ว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” แต่นักวิชาการไทยส่วนใหญ่และนักวางนโยบายทางการศึกษาส่วนใหญ่มักคิดกันได้แต่การจะพึ่งการศึกษาของต่างชาติอยู่ร่ำไป..และดูเหมือนว่าจะตลอดไปหากไม่มีอะไรมากระตุ้นให้เป็นอื่น ไม่มีใครคิดจะพึ่งตนเองด้วยการส่งเสริมให้เกิดการเรียนในประเทศแทนการส่งไปเรียนเมืองนอกกันโครมๆ บ้างเลย เช่น รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ (นายกฯ จบนอกอีกคน) นั้น
เมื่อฟื้นจากพิษโรคเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ก็ประกาศนโยบายส่งออกนักศึกษา 5,000 คนทันที นัยว่าเพื่อสร้างคนไว้เอามาพัฒนาประเทศ ซึ่งเป็นการติดกับดักของวิสัยทัศน์เดิมๆ เก่าๆ ทั้งที่หาเสียงทางการเมืองเสียเลิศหรูว่า “คิดใหม่ทำใหม่” อีกทั้งยังมีโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งด็อกเตอร์ โดยด็อกเตอร์เหล่านี้ส่งไปเรียนต่างประเทศหมด ไม่เคยคิดจะให้เรียนในเมืองไทยเราบ้างเลย
การส่งเสริมให้เรียนในประเทศ และนโยบายมาตรการให้ทุนวิจัยที่ชาญฉลาด จะช่วยพัฒนาปัญญาและความรู้ของนักวิชาการในมหาวิทยาลัยไทย พร้อมกับช่วยพัฒนาประเทศให้มั่งคั่งพร้อมกันไป เชื่อได้ว่า 20 ปีจากนี้ไปไทยเราจะพึ่งตนเองได้ทางวิชาการ ทั้งนี้หาใช่ว่าเราจะปิดประเทศด้านวิชาการ เพราะการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับต่างชาติยังคงมีอยู่เพียงแต่ว่าบทบาทและลักษณะจะเปลี่ยนไปเป็น “เพื่อนฝูง” แทนการเป็น “ลูกไล่” แบบเก่าก่อน การให้ทุนไปเสนอผลงานวิจัย ณ ต่างประเทศก็เป็นกุศโลบายในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยปริยายอยู่แล้วด้วย
ชาติไทยได้ลงทุนส่งคนไปเรียนนอกมาร้อยกว่าปีจนมีดอกเตอร์ในทุกสาขาวิชาการเต็มประเทศ ผู้เขียนเชื่อว่าถ้ามีความตั้งใจทางการเมืองที่แน่วแน่ และมีวิสัยทัศน์ทางการศึกษาของชาติที่ถูกต้อง ชาติเราต้องพึ่งตนเองทางวิชาการได้ภายใน 20 ปีจากนี้ไปอย่างแน่นอน
....ทวิช จิตรสมบูรณ์