xs
xsm
sm
md
lg

BLUE พรทิวา!

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

ตั้งแต่ต้นปี 2552 เป็นต้นมา ของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ที่บริหารชาติบ้านเมืองผ่านมาได้ประมาณ 6 เดือนกว่า ต้องยอมรับว่า “ฟันฝ่ามรสุม” มาหลายลูก ทั้งในเชิงการเมืองและการบริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การเคลื่อนไหว” ของ “กลุ่มต่อต้าน” รัฐบาล ที่มาในรูปแบบของ “กลุ่มเสื้อแดง-นปช.” ซึ่งว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว คือ “พรรคฝ่ายค้าน-พรรคเพื่อไทย”

ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการสำรวจและประเมินผลงานของรัฐบาลช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาว่า “สอบผ่าน” หรือ “สอบไม่ผ่าน” ผลปรากฏว่า “สอบไม่ผ่าน” โดยสอบตกแบบเฉียดฉิว ได้คะแนน 4.6 จากคะแนนเต็ม 10

นอกเหนือจากนั้น ยังมีการสำรวจ “รัฐมนตรีโลกลืม!” เช่นเดียวกัน หรือพูดง่ายๆ ก็หมายความว่าเป็น “รัฐมนตรีตกสำรวจ-ประชาชนไม่รู้จัก!” อีกจำนวนเกือบ 10 กว่าคน จากตำแหน่งรัฐมนตรี 35 คน เนื่องด้วยไม่ค่อยมีผลงานเป็นที่ปรากฏ ประกอบกับสื่อมวลชนไม่ได้มีการนำเสนอกิจกรรมข่าว ตลอดจนรูปภาพแต่ประการใด แทบจะครบทุกแขนง

“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พรทิวา นาคาศัย” เป็นรัฐมนตรีที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ติดอันดับทอปเทนมาตลอด 6 เดือนของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นทั้งในเชิงลบและเชิงบวก เนื่องด้วยกระทรวงพาณิชย์ เป็นกระทรวงสำคัญทางด้านเศรษฐกิจและธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ

แต่ที่สำคัญไปมากกว่านั้น จุดเริ่มต้นของรัฐมนตรีฯ พรทิวา นั่นคือ “การปรามาส” ว่า “มือใหม่หัดขับ-ป้ายแดง” ที่อาจอ่อนด้อยประสบการณ์ ในการที่ต้องแบกภาระหนักอึ้ง กับ “ภารกิจ-เป้าหมาย” สำคัญของกระทรวงพาณิชย์ ส่วนในกรณีเรื่องส่วนตัว ที่มาที่ไปของครอบครัวคุณพรทิวานั้น อาจจะโดนวิพากษ์วิจารณ์ในช่วงแรกๆ ทำนอง “ดิสเครดิต” ซึ่งว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว ก็ไม่แฟร์ซักเท่าไร!

ประเด็นปัญหาของกระทรวงด้านเศรษฐกิจและธุรกิจ อย่างกระทรวงพาณิชย์นั้น เป็นกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับ “ผลประโยชน์” ที่มหาศาล เพราะเป็นกระทรวงที่ต้อง “ค้าขาย!” ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกรมส่งเสริมการส่งออก กรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน และที่สำคัญที่สุด คือ “องค์การคลังสินค้า (อคส.)” ที่มีกรณีของ “สินค้าเกษตร” โดยเฉพาะข้าวและข้าวโพด ที่เป็นสินค้าเกษตรเพื่อทำการส่งออกที่มี “ผลประโยชน์-เงินทอง” เข้ามาเป็นตัวละครหลักนับหลายร้อยหลายพันล้านบาท

ในขณะเดียวกัน “กรมส่งเสริมการส่งออก” มีงบประมาณมากที่สุด ที่ต้องทำการโปรโมตสินค้าเพื่อการส่งออก ตลอดจนมีสำนักงานทูตพาณิชย์ทั่วโลก ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเพื่อส่งเสริมการส่งออก การประชาสัมพันธ์ จึงมีงบประมาณมากถึงหลักพันล้านบาท

จากประเด็นหลักต่างๆ ข้างต้น จึงเป็นที่ทั้ง “หมายตามอง” จากพรรคการเมืองที่ปรารถนามานั่งเป็นเสนาบดี และแน่นอนที่สุด จะต้อง “ถูกจับตา” เฝ้าดูจากทุกภาคส่วนในสังคม ไม่ว่า นักวิชาการ สื่อมวลชน และบรรดานักการเมืองพรรคอื่นๆ จนรัฐมนตรีของกระทรวงพาณิชย์ทุกคนจะ “กระดิกตัว” ไม่ว่าท่าทีจะเป็นเช่นไร “ถูกตั้งข้อสงสัย” ไว้ก่อน

จากการที่มีความจำเป็นต้องจัดตั้งรัฐบาลให้ได้เมื่อต้นปี 2552 การรวบรวมพรรคการเมืองเพื่อให้มีจำนวนเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในสภาผู้แทนฯ ให้ได้มากที่สุดเกินกึ่งหนึ่งประมาณอย่างน้อยก็ต้อง 250 เสียงขึ้นไป จึงเป็นที่มาของการแยกกลุ่มของอดีตกลุ่มแกนนำการเมืองเดิม “พรรคพลังประชาชน” มาร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ เป็น “พรรคภูมิใจไทย”

การจัดตั้งรัฐบาลด้วยแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ จึงได้ถูกจัดตั้งขึ้นมาได้จาก “กลุ่มเพื่อนเนวิน-กลุ่มมัชฌิมาธิปไตย” ที่ย้ายสังกัด “แยกวง” มาจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์จนได้ จน “กลุ่มชินวัตร” ไม่พอใจอย่างมาก

“พรรคภูมิใจไทย” ต่อรองจนได้ตำแหน่งกระทรวงเกรดเอไปได้ถึง 3 กระทรวง กล่าวคือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และกระทรวงพาณิชย์ จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากถึง “อิทธิฤทธิ์” ของคุณเนวิน ชิดชอบ หัวหน้าทีมสำคัญของพรรคภูมิใจไทย

กระทรวงที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด ในกรณีของ “คุณสมบัติ-ความรู้ความสามารถ-ประสบการณ์” คือ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงพาณิชย์ ว่าเป็น “มือใหม่หัดขับ!” และที่สำคัญคือ “มือไม่ถึง!”

ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์นั้น ก็ต้องรับว่าเป็น “กระทรวงเศรษฐกิจ” ที่มีภารกิจหนักอึ้งกับ “การแก้ไข” และ “ฟื้นฟู” สภาวะเศรษฐกิจของประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ภาคการส่งออก”

“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พรทิวา นาคาศัย” อาจจะเป็นไปตามที่มีการปรามาสไว้ล่วงหน้า พร้อมกังวลว่า “มือใหม่หัดขับ-มือไม่ถึง” จนไม่สามารถปฏิบัติภารกิจกับวิกฤตเศรษฐกิจในสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ได้

จนในที่สุด ได้ระดม “คณะที่ปรึกษา” จากสถาบันการศึกษาชั้นแนวหน้าของประเทศ เนื่องด้วย รัฐมนตรีฯ พรทิวา ยึดมั่นในหลักการทำงานแบบ “ทีมเวิร์ค (Teamwork)”

ความจริงที่เราต้องยอมรับ หรือใครก็ตามแต่ที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า “การส่งออก” ในความรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์ ยัง “บกพร่อง!” อยู่นั้น ก็ต้องเรียนชี้แจงว่า “วิกฤตเศรษฐกิจโลก” ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2008 นั้น เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจทุกประเทศ แม้กระทั่ง “ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน” ที่อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีดีพี : GDP) เคยอยู่ในระดับร้อยละ 10-11 แต่ปี 2008 ลดลงมาเหลือร้อยละ 7 เท่านั้น แม้กระทั่งปี 2009 นี้ ทั้งนี้ก็ยังเป็นประเทศเดียวในโลกที่ GDP สูงที่สุดของโลก

ประเทศคู่ค้าของไทยทั่วโลก ไม่ว่า กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ต่างเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจแบบ “อ่วมอรทัย” กันถ้วนหน้า จีดีพีต่างติดลบทุกประเทศ ถามว่า เมื่อกลุ่มประเทศคู่ค้าหลักๆ ของไทยประสบปัญหาเช่นนี้ พูดง่ายๆ คือ “ไม่มีเงิน!” การซื้อขายระหว่างประเทศต้องชะงักงันทันที และนั่นคือสาเหตุของ “อุตสาหกรรมส่งออก” ที่เทวดาที่ไหนก็ไม่สามารถ “เสกให้เดินหน้าได้!” คอลัมนิสต์ระดับบิ๊กจะไม่รู้ข้อมูลเลยเหรอ!?!

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการส่งออกจะติดลบติดต่อกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา สูงถึงร้อยละ 20 กว่าๆ และฟันธงได้เลยว่า ภายในปลายปี 2552 นี้ ตัวเลขการส่งออกน่าจะติดลบสูงถึงร้อยละ 10-15

ถามว่า “เทวดาหน้าไหน!” ไม่ว่าจะเป็น “นักธุรกิจ-นักวิชาการ” ชั้นเซียนของประเทศไทย จากพรรคไหนก็ตาม ประสบการณ์สูง ก็ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับรัฐมนตรีฯ พรทิวา นาคาศัย เช่นเดียวกัน!

หลังจากรับตำแหน่งได้ประมาณ 2-3 เดือน รัฐมนตรีฯ พรทิวา พร้อมคณะที่ปรึกษาและข้าราชการ ต่างยังคงเพียรพยายามเดินสายกับประเทศคู่ค้าหลักๆ อย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกัน ก็หันมามองปัญหาด้านการผลิต การประกอบการและผู้บริโภคภายในประเทศ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็น “นโยบายคู่ขนาน (Dual Track)” ระหว่างต่างประเทศกับในประเทศ

“ปัญหาราคาสินค้า-ปัญหาราคาพืชผล-ปัญหาการบริโภค” จึงเป็น “นโยบาย” และ “มาตรการ” หลักๆ ที่กระทรวงพาณิชย์ได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่กับสารพัดโครงการและกิจกรรม ที่เรียกว่า “ธงฟ้า (Blue)” ที่โอบอุ้มช่วยเหลือ “ผู้ผลิต-ผู้ประกอบการ-ผู้บริโภค” จนโด่งดังมาถึงวันนี้ ด้วย “สารพัดฟ้า”

“โครงการธงฟ้า” เดินหน้ามาได้อย่างสวยงาม มีกลุ่มต่างๆ เข้าร่วมโครงการอย่างมหาศาล ไม่ว่า โรงแรม รถแท็กซี่ ผู้ประกอบการทุกประเภทรายใหญ่ๆ นำ “สินค้าคุณภาพ-ราคาถูก” เข้าร่วมโครงการจนสร้างมูลค่าหมุนเวียนของเม็ดเงินนับหลายพันล้านบาท

เหมือน “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด!” จาก “วิกฤตเศรษฐกิจโลก” ถูกกระหน่ำโหมซ้ำด้วย “โรคไข้หวัดหมู” หรือ “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1” อีกหนึ่งมรสุม เป็นระยะเวลาเกือบ 2 เดือน แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ เท่ากับเป็น “การซ้ำเติม!” ให้การกอบกู้เศรษฐกิจด้านการพาณิชย์ทั้งภายในประเทศและการส่งออกทรุดลงไปกว่าเดิมอีก!

มาตรการช่วยเหลือสินค้าเกษตร โดยเฉพาะ “ข้าว-ข้าวโพด-มันสำปะหลัง” ที่น่าจะมีการระบายและขายสินค้าได้กลับถูก “ดอง” ไว้จนสินค้าเสียหายไปกว่าครึ่ง “ผู้ซื้อยกเลิกสัญญา!” หรือถ้าขายได้ก็ถูกตัดราคาจนแทบไม่มีอะไรเหลือ มูลค่านับหมื่นๆ ล้านบาท ในกรณีนี้ ขอฟันธงเลยว่า “การเมืองเตะตัดขา!” และ “ใครจะรับผิดชอบกับการสูญรายได้!”

ต้องยอมรับว่า “ผลงาน” ของกระทรวงพาณิชย์เยอะมาก มากกว่าหลายๆ กระทรวงด้วยซ้ำ โดยมี “รายงานผลงานของ รมต.พรทิวา 6 เดือน” ได้ถูกเผยแพร่สู่สาธารณชนเรียบร้อยแล้ว

คำว่า “Blue” แปลว่า “สีฟ้า” หรือแปลว่า “เศร้า!” ในกรณีของรัฐมนตรีฯ “หญิงเหล็ก-สีทนได้!” พรทิวา นาคาศัย นั้น ต้องแปลว่า “ยิ่งสร้างความสดใสด้วยสีฟ้า คนไทยยิ้มได้!” กลับกลายเป็น “ถูกกลั่นแกล้ง-ถูกรังแก” จน “Blue-เศร้า!” พร้อมถูกยุให้ปรับออกจากกระทรวงพาณิชย์อีกต่างหาก

ขอบอกว่า ใครหวังปรารถนามานั่งเก้าอี้นี้ จะเลวร้ายกว่า “สีทนได้เสียอีก!” และอย่าเอาผลประโยชน์ของชาติมาเดิมพัน!
กำลังโหลดความคิดเห็น