00 ในที่สุดทีมสอบสวนที่นำโดย รอง “ธานี สมบูรณ์ทรัพย์” ก็ได้ฤกษ์ออกหมายจับ 2 ผู้ต้องหาคดีลอบสังหาร “สนธิ ลิ้มทองกุล” หลังจากรอมานานถึง 4 เดือนเต็ม เป็นทหารและตำรวจอย่างละ 1 คน แต่อีกด้านหนึ่ง เมื่อรู้ที่มาก็สามารถสะกดรอยตามเส้นทางย้อนกลับไปก็อาจได้เห็น “ร่องรอย” บางอย่างซ่อนอยู่
00 คำกล่าวที่ว่า ผู้ก่ออาชญากรรมทุกคนย่อมจะทิ้งร่องรอยเอาไว้เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายที่รับผิดชอบจะเอาจริงเอาจังแค่ไหน แต่สำหรับคดีนี้ทุกสายจับจ้องมาที่ระดับ “ผู้บงการ” ว่าเป็นระดับผู้ถือ “ดุลอำนาจ” ในรัฐบาล และที่สำคัญว่ากันว่า เป้าหมายหรือแรงจูงใจในการสั่งลงมือก็คือ เพื่อต้องการกุมทุกอย่างในมือให้เบ็ดเสร็จ เป็นการประสานงานกันเฉพาะกิจระหว่างบิ๊กสีเขียว กับ สีกากี แบบพี่แบบน้อง พึ่งพาอาศัยกันและกัน
00 เป็นการลงมือที่มั่นใจว่า “เหยื่อ” ไม่มีทางรอด แบบหวังผลร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเมื่อดูจากผู้ต้องหาที่เป็นหนึ่งในทีมสังหารมาจากทหาร “หน่วยรบพิเศษ” หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ เหมือนกองทัพภาค 5 ซึ่งตามสายการบังคับบัญชาปกติขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการทหารบก และในปัจจุบันก็คือ “ป็อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา”
00 ขณะที่ระดับผู้บัญชาการยังมีความน่าสนใจก็คือเป็น ตท.10 เสียด้วย แต่ขอบอกไว้ก่อนว่ารุ่นนี้ไม่ได้แนบแน่นเฉพาะกับ “แม้ว” อย่างเดียว เพราะถ้า “เชื่อใจ” ไม่ได้ ก็คงไม่ได้รับการมอบหมายให้คุมหน่วยสำคัญนี้หรอก
00 เมื่อพิจารณาจากทีมสังหารที่มาจากหน่วยรบพิเศษ ก็ต้องเป็นภารกิจ “พิเศษ” นั่นคือ เมื่อได้รับมอบหมายแล้วก็สามารถมาจัดหาทีมงานที่ตัวเองไว้ใจได้กันเอาเอง และนี่คือที่มาของ พตท. คือ (พลเรือน ตำรวจ ทหาร) ดังนั้นชุดแรกที่ออกหมายจับเพียงแค่ 2 คน ก็น่าจะ “นำร่อง” เท่านั้น เพราะถ้าฟังจากปากของ สนธิ ที่นั่งมองอยู่ในรถขณะถูกระดมยิงอยู่นั้น จำได้ว่ามีคนลงมือนับสิบคน และใช้รถยนต์ถึง 3-4 คัน
00 เป็นการลงมือที่อุกอาจมาก ซึ่งก็มีเหตุผลรองรับ เพราะการใช้อาวุธสงครามนานาชนิด และมือปืนลงมือเป็นจำนวนมาก อีกทั้ง “เป้าหมาย” ก็ไม่ใช่ธรรมดา แถมจุดที่ลงมือก็อยู่กลางเมืองหลวง ที่สำคัญกำลังอยู่ในช่วงของการประกาศภาวะฉุกเฉิน มีทหาร-ตำรวจ ลาดตระเวนอยู่เต็มเมือง คงไม่มี “ซุ้มมือปืนบ้านนอก” กระจอกๆ ที่ไหนกล้ารับงานหรอก ดังนั้นคนที่กล้าลงมือ ก็ย่อมมั่นใจว่าคนที่สั่งต้อง “คุ้มกบาล” ได้ เป็นเหตุผลและตรรกะทั่วไปง่ายๆ ไม่ต้องคิดอะไรให้ซับซ้อน และกลุ่มที่ “บงการ” สังคมก็รับรู้กันอยู่แล้วว่าเป็นกลุ่มไหน !!
00 ดังนั้น แม้ว่าจะให้กำลังใจ “รองธานี” ว่าคงมีความกล้าหาญ เดินหน้าไม่เห็นแก่หน้าใคร คงมีการออกหมายจับอีกล็อตในเร็วๆนี้ ทุกอย่างคงจะแจ่มชัดขึ้น แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากคาดหวังไว้มาก เพราะรู้อยู่แล้วว่า ยิ่งสาวยิ่งเจอ “ตอ” ดุ้นเบ้อเร่อแน่นอน !!
00 คำกล่าวที่ว่า ผู้ก่ออาชญากรรมทุกคนย่อมจะทิ้งร่องรอยเอาไว้เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายที่รับผิดชอบจะเอาจริงเอาจังแค่ไหน แต่สำหรับคดีนี้ทุกสายจับจ้องมาที่ระดับ “ผู้บงการ” ว่าเป็นระดับผู้ถือ “ดุลอำนาจ” ในรัฐบาล และที่สำคัญว่ากันว่า เป้าหมายหรือแรงจูงใจในการสั่งลงมือก็คือ เพื่อต้องการกุมทุกอย่างในมือให้เบ็ดเสร็จ เป็นการประสานงานกันเฉพาะกิจระหว่างบิ๊กสีเขียว กับ สีกากี แบบพี่แบบน้อง พึ่งพาอาศัยกันและกัน
00 เป็นการลงมือที่มั่นใจว่า “เหยื่อ” ไม่มีทางรอด แบบหวังผลร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเมื่อดูจากผู้ต้องหาที่เป็นหนึ่งในทีมสังหารมาจากทหาร “หน่วยรบพิเศษ” หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ เหมือนกองทัพภาค 5 ซึ่งตามสายการบังคับบัญชาปกติขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการทหารบก และในปัจจุบันก็คือ “ป็อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา”
00 ขณะที่ระดับผู้บัญชาการยังมีความน่าสนใจก็คือเป็น ตท.10 เสียด้วย แต่ขอบอกไว้ก่อนว่ารุ่นนี้ไม่ได้แนบแน่นเฉพาะกับ “แม้ว” อย่างเดียว เพราะถ้า “เชื่อใจ” ไม่ได้ ก็คงไม่ได้รับการมอบหมายให้คุมหน่วยสำคัญนี้หรอก
00 เมื่อพิจารณาจากทีมสังหารที่มาจากหน่วยรบพิเศษ ก็ต้องเป็นภารกิจ “พิเศษ” นั่นคือ เมื่อได้รับมอบหมายแล้วก็สามารถมาจัดหาทีมงานที่ตัวเองไว้ใจได้กันเอาเอง และนี่คือที่มาของ พตท. คือ (พลเรือน ตำรวจ ทหาร) ดังนั้นชุดแรกที่ออกหมายจับเพียงแค่ 2 คน ก็น่าจะ “นำร่อง” เท่านั้น เพราะถ้าฟังจากปากของ สนธิ ที่นั่งมองอยู่ในรถขณะถูกระดมยิงอยู่นั้น จำได้ว่ามีคนลงมือนับสิบคน และใช้รถยนต์ถึง 3-4 คัน
00 เป็นการลงมือที่อุกอาจมาก ซึ่งก็มีเหตุผลรองรับ เพราะการใช้อาวุธสงครามนานาชนิด และมือปืนลงมือเป็นจำนวนมาก อีกทั้ง “เป้าหมาย” ก็ไม่ใช่ธรรมดา แถมจุดที่ลงมือก็อยู่กลางเมืองหลวง ที่สำคัญกำลังอยู่ในช่วงของการประกาศภาวะฉุกเฉิน มีทหาร-ตำรวจ ลาดตระเวนอยู่เต็มเมือง คงไม่มี “ซุ้มมือปืนบ้านนอก” กระจอกๆ ที่ไหนกล้ารับงานหรอก ดังนั้นคนที่กล้าลงมือ ก็ย่อมมั่นใจว่าคนที่สั่งต้อง “คุ้มกบาล” ได้ เป็นเหตุผลและตรรกะทั่วไปง่ายๆ ไม่ต้องคิดอะไรให้ซับซ้อน และกลุ่มที่ “บงการ” สังคมก็รับรู้กันอยู่แล้วว่าเป็นกลุ่มไหน !!
00 ดังนั้น แม้ว่าจะให้กำลังใจ “รองธานี” ว่าคงมีความกล้าหาญ เดินหน้าไม่เห็นแก่หน้าใคร คงมีการออกหมายจับอีกล็อตในเร็วๆนี้ ทุกอย่างคงจะแจ่มชัดขึ้น แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากคาดหวังไว้มาก เพราะรู้อยู่แล้วว่า ยิ่งสาวยิ่งเจอ “ตอ” ดุ้นเบ้อเร่อแน่นอน !!