ท่านประเสริฐ นาสกุล อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญจากโลกนี้ไปอย่างสงบ ในงานศพของท่านก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่แตกต่างวิถีชีวิตระหว่างที่ท่านยังมีลมหายใจอยู่
78 ปีของการใช้ชีวิตบนผืนแผ่นดินไทย ท่านประเสริฐเป็นบุคคลต้นแบบที่ไม่เคยเนรคุณแผ่นดิน
ในทางตรงข้าม ท่านเป็นผู้ที่ตอบแทนบุญคุณแผ่นดินตลอดวาระของชีวิต ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ
ในยามเป็นข้าราชการประจำ สมัยดำรงตำแหน่งเลขาธิการกฤษฎีกา ก็เป็นข้าราชการใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยแท้
กล้างัดง้างกับนักการเมืองที่เรืองอำนาจในขณะนั้น โดยไม่หวั่นเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่การงานของตนเอง
ซึ่งครั้งหนึ่งท่านประเสริฐ อธิบายให้ฟังว่า “สาเหตุที่ต้องยืนหยัดในความถูกต้อง เพราะเป็นหน้าที่ของข้าราชการ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการบริหารบ้านเมือง หากข้าราชการไม่สามารถยึดมั่นในแนวทางที่ถูกต้องได้ การรักษาบ้านเมืองก็เป็นเรื่องยากเหมือนที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้” เป็นคำพูดในระหว่างพิจารณาคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
จุดยืนของท่านประเสริฐ แตกต่างจากข้าราชการปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
เพราะยุคนี้ต่างมุ่งแสวงหาความก้าวหน้าของตนมาเป็นอันดับแรก ประเทศชาติจะลงเหวอย่างไรก็ไม่เดือนร้อน จนกลายเป็นปุ๋ยชั้นดีที่ให้กับระบอบทักษิณ ฝังรากลึกในสังคมไทย
แต่ท่านประเสริฐ ไม่ใช่คนเช่นนั้น และกลับแสดงออกชัดเจน เพื่อต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ ขยายปีกเยี่ยงพญาอินทรี จนแทบจะไม่มีใครกล้าต่อกรด้วย
โดยสะท้อนจากคำวินิจฉัยส่วนตัวในคดีซุกหุ้น ที่ตีแผ่ตัวตนคนชื่อทักษิณได้อย่างถึงแก่น
“พ.ต.ท.ทักษิณ โฆษณาให้ประชาชนทราบเพียงว่า ประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ มีเงินทองมากมาย ไม่ทุจริตผิดกฎหมาย และไม่อำพราง อุทิศตัวหันมาทำงานการเมือง โดยโอนการจัดการธุรกิจให้แก่คู่สมรส บุตร และเครือญาติ แล้วอ้างว่ารู้ปัญหาบ้านเมืองดี จึงอาสาเข้ามาแก้ไข แต่พ.ต.ท.ทักษิณ มิได้แสดงหรือเปิดเผยว่า ความสำเร็จในการประกอบธุรกิจในอดีตของผู้ถูกต้อง ภายในระหว่างอันสั้นนั้น กระทำได้อย่างไร และจะแก้ปัญหาการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ของครอบครัวกับประโยชน์ของชาติอย่างไร
ปัญหาของบ้านเมืองบางอย่าง อาจแก้ไขได้ โดยไม่ต้องใช้เงินทองเลย แต่ผู้นำของประเทศประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี โดยการคิด พูด และทำตรงกัน ชี้นำประชาชนในชาติว่า ปัญหาของชาตินั้นอยู่ที่ทุกคนจะต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ไข ด้วยการลด ละ เลิกความเห็นแก่ตัวเป็นอันดับแรก หากไม่แก้ไขความเห็นแก่ตัวก่อนแล้ว เห็นว่าหมดหวัง และไม่มีทางอันใด ที่จะแก้ไขปัญหาของชาติในเวลานี้ได้
เมื่อประชาชนกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจงใจยื่นปัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน หนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ก็มีข่าวค่อยๆเบี่ยงเบนประเด็นทีละน้อยๆ และเป็นระยะๆว่า ตนเองประกอบธุรกิจจนร่ำรวยด้วยน้ำพักน้ำแรง ไม่มีทางทุจริต ผิดกฎหมาย พร้อมกับอ้างว่าตนเองเป็นคนแรกที่ยื่นบัญชีรายการแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินให้ประชาชนทราบในขณะที่ไม่มีกฎหมายบังคับ เป็นการสมัครใจยื่นรายการทรัพย์สินและหนี้สินเอง หากเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทำผิดก็เป็นการทำผิดโดยสุจริต ควรใช้หลักรัฐศาสตร์ ชะลอการตัดสินคดี หรือยกโทษ ไม่ควรลงโทษ เพราะตนเองได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน 11 ล้านคน เพื่อให้โดยผู้นำพรรคไทยรักไทย บริหารประเทศต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะไม่มีใครดีกว่า และประเทศขาดคนชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้
เมื่อใกล้จะถึงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะลงมติ มีข่าวหนาหูว่า ฝ่ายผู้สนับสนุนจะมีการชุมนุมเพื่อกดดันศาล จะวางเพลิงเผาศาล ตลอดจนจะทำร้ายตุลาการบางคน จนกระทั่งมีการสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปให้การคุ้มครอง ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินไปอย่างน่าเสียดาย ข่าวต่างๆ ดังกล่าวมานี้ เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หากมิใช่เป็นความเห็นแก่ตัวของคน"
นั่นคือส่วนหนึ่งในคำวินิจฉัยอย่างถึงพริกถึงขิง บ่งบอกตัวตนของทักษิณ ที่ยังพยายามสำแดงความเห็นแก่ตัวด้วยวิธีคิดแบบเดิม โดยไม่สนใจความหายนะของชาติ ขอเพียงตัวกูอยู่รอดเป็นพอ
น่าเสียดายที่ไม่มีการแผ่คำวินิจฉัย ให้สาธารณชนได้รับทราบในวงกว้าง ที่น่าเสียใจมากกว่าคือ
ในขณะนี้สังคมไทยจดจำชื่อทักษิณ แต่คนจำนวนมากกลับหลงลืม คนที่สร้างคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติอย่าง ท่านประเสริฐ นาสกุล
ทั้งๆที่ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำรงตนชนิดที่หาคนมาเทียบได้ยากเหลือเกิน ในช่วงที่ท่านเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ หลายครั้งผู้เขียนเห็นท่านเดินตามลำพังไปหน้าศาล เพื่อเรียกแท็กซี่ จนอดไม่ได้ต้องถามว่า
“ทำไมไม่ไปรถประจำตำแหน่ง ซึ่งจะมีคววามสะดวกสบายกว่า”
ท่านประเสริฐ ในวัยใกล้ 70 ปี ในขณะนั้น อธิบายให้ฟังว่า
“ผมจะไปโรงพยาบาล เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรใช้รถประจำตำแหน่ง” จากนั้นก็ขึ้นรถแท็กซี่ เพื่อไปโรงพยาบาลศิริราช
ที่นั่น ไม่มีแม้แต่การลัดคิว เพื่อให้ท่านได้ตรวจรักษาอาการก่อน เพียงจากท่านพอใจที่จะรอคิวตรวจอาการเหมือนสามัญชนธรรมดาทั่วไป โดยไม่มีการใช้อภิสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น
นี่ไม่ใช่แบบอย่างของคนดีของไทย ที่ควรจดจำอย่างนั้นหรือ?
ไม่เพียงเท่านั้นวัตรปฏิบัติก็ควรเลื่อมใสอย่างยิ่ง ทั้งการใช้ชีวิตเรียบง่าย ในบ้านไม้ 2 ชั้น ซึ่งแม้จะอยู่ย่านสุขุมวิท อันเป็นแหล่งพำนักของกลุ่มคนมีอันจะกิน แต่สภาพบ้านก็แสดงให้เห็นว่า เป็นบ้านเก่า ตั้งแต่ที่ดินสุขุมวิท ไม่มีค่าเป็นทองคำเช่นในปัจจุบัน ภายในบ้านเครื่องเรือน ข้าวของ เครื่องใช้ ตลอดการตกแต่งบ้าน เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสมถะเรียบง่ายของผู้เป็นเจ้าบ้าน
ยิ่งตอกย้ำชัดเจนว่า นอกจากท่านจะมีความกล้าหาญ กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง ยังตั้งมั่นอยู่ในซื่อสัตย์สุจริตอีกด้วย
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยุคซุกหุ้นภาคแรกหลายคน อาจมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป หลังตัดสินใจเลือกเป็นเสียงมากในคดีซุกหุ้น แต่สำหรับท่านประเสริฐ นาสกุล ในวัย 78 ปี ยังคงดำรงตนอยู่บนความงดงาม เรียบง่าย ในฐานะราษฎรเต็มขั้น ที่ต้องต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่เข้ามารุมเร้า จนคร่าชีวิตและลมหายใจไปจากแผ่นดินนี้
เมื่อวันที่ 8 ก.ค.52
แม้ว่าท่านประเสริฐ จะจากไปแล้ว แต่เชื่อว่าหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความยุติธรรม และคุณงามความดีที่สร้างให้แผ่นดินเกิด จะถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์คนดี ให้สังคมได้จดจำชื่อ
ประเสริฐ นาสกุล
78 ปีของการใช้ชีวิตบนผืนแผ่นดินไทย ท่านประเสริฐเป็นบุคคลต้นแบบที่ไม่เคยเนรคุณแผ่นดิน
ในทางตรงข้าม ท่านเป็นผู้ที่ตอบแทนบุญคุณแผ่นดินตลอดวาระของชีวิต ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ
ในยามเป็นข้าราชการประจำ สมัยดำรงตำแหน่งเลขาธิการกฤษฎีกา ก็เป็นข้าราชการใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยแท้
กล้างัดง้างกับนักการเมืองที่เรืองอำนาจในขณะนั้น โดยไม่หวั่นเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่การงานของตนเอง
ซึ่งครั้งหนึ่งท่านประเสริฐ อธิบายให้ฟังว่า “สาเหตุที่ต้องยืนหยัดในความถูกต้อง เพราะเป็นหน้าที่ของข้าราชการ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการบริหารบ้านเมือง หากข้าราชการไม่สามารถยึดมั่นในแนวทางที่ถูกต้องได้ การรักษาบ้านเมืองก็เป็นเรื่องยากเหมือนที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้” เป็นคำพูดในระหว่างพิจารณาคดีซุกหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
จุดยืนของท่านประเสริฐ แตกต่างจากข้าราชการปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
เพราะยุคนี้ต่างมุ่งแสวงหาความก้าวหน้าของตนมาเป็นอันดับแรก ประเทศชาติจะลงเหวอย่างไรก็ไม่เดือนร้อน จนกลายเป็นปุ๋ยชั้นดีที่ให้กับระบอบทักษิณ ฝังรากลึกในสังคมไทย
แต่ท่านประเสริฐ ไม่ใช่คนเช่นนั้น และกลับแสดงออกชัดเจน เพื่อต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ ขยายปีกเยี่ยงพญาอินทรี จนแทบจะไม่มีใครกล้าต่อกรด้วย
โดยสะท้อนจากคำวินิจฉัยส่วนตัวในคดีซุกหุ้น ที่ตีแผ่ตัวตนคนชื่อทักษิณได้อย่างถึงแก่น
“พ.ต.ท.ทักษิณ โฆษณาให้ประชาชนทราบเพียงว่า ประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ มีเงินทองมากมาย ไม่ทุจริตผิดกฎหมาย และไม่อำพราง อุทิศตัวหันมาทำงานการเมือง โดยโอนการจัดการธุรกิจให้แก่คู่สมรส บุตร และเครือญาติ แล้วอ้างว่ารู้ปัญหาบ้านเมืองดี จึงอาสาเข้ามาแก้ไข แต่พ.ต.ท.ทักษิณ มิได้แสดงหรือเปิดเผยว่า ความสำเร็จในการประกอบธุรกิจในอดีตของผู้ถูกต้อง ภายในระหว่างอันสั้นนั้น กระทำได้อย่างไร และจะแก้ปัญหาการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ของครอบครัวกับประโยชน์ของชาติอย่างไร
ปัญหาของบ้านเมืองบางอย่าง อาจแก้ไขได้ โดยไม่ต้องใช้เงินทองเลย แต่ผู้นำของประเทศประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี โดยการคิด พูด และทำตรงกัน ชี้นำประชาชนในชาติว่า ปัญหาของชาตินั้นอยู่ที่ทุกคนจะต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ไข ด้วยการลด ละ เลิกความเห็นแก่ตัวเป็นอันดับแรก หากไม่แก้ไขความเห็นแก่ตัวก่อนแล้ว เห็นว่าหมดหวัง และไม่มีทางอันใด ที่จะแก้ไขปัญหาของชาติในเวลานี้ได้
เมื่อประชาชนกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจงใจยื่นปัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน หนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ก็มีข่าวค่อยๆเบี่ยงเบนประเด็นทีละน้อยๆ และเป็นระยะๆว่า ตนเองประกอบธุรกิจจนร่ำรวยด้วยน้ำพักน้ำแรง ไม่มีทางทุจริต ผิดกฎหมาย พร้อมกับอ้างว่าตนเองเป็นคนแรกที่ยื่นบัญชีรายการแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินให้ประชาชนทราบในขณะที่ไม่มีกฎหมายบังคับ เป็นการสมัครใจยื่นรายการทรัพย์สินและหนี้สินเอง หากเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทำผิดก็เป็นการทำผิดโดยสุจริต ควรใช้หลักรัฐศาสตร์ ชะลอการตัดสินคดี หรือยกโทษ ไม่ควรลงโทษ เพราะตนเองได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน 11 ล้านคน เพื่อให้โดยผู้นำพรรคไทยรักไทย บริหารประเทศต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะไม่มีใครดีกว่า และประเทศขาดคนชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้
เมื่อใกล้จะถึงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะลงมติ มีข่าวหนาหูว่า ฝ่ายผู้สนับสนุนจะมีการชุมนุมเพื่อกดดันศาล จะวางเพลิงเผาศาล ตลอดจนจะทำร้ายตุลาการบางคน จนกระทั่งมีการสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปให้การคุ้มครอง ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินไปอย่างน่าเสียดาย ข่าวต่างๆ ดังกล่าวมานี้ เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว หากมิใช่เป็นความเห็นแก่ตัวของคน"
นั่นคือส่วนหนึ่งในคำวินิจฉัยอย่างถึงพริกถึงขิง บ่งบอกตัวตนของทักษิณ ที่ยังพยายามสำแดงความเห็นแก่ตัวด้วยวิธีคิดแบบเดิม โดยไม่สนใจความหายนะของชาติ ขอเพียงตัวกูอยู่รอดเป็นพอ
น่าเสียดายที่ไม่มีการแผ่คำวินิจฉัย ให้สาธารณชนได้รับทราบในวงกว้าง ที่น่าเสียใจมากกว่าคือ
ในขณะนี้สังคมไทยจดจำชื่อทักษิณ แต่คนจำนวนมากกลับหลงลืม คนที่สร้างคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติอย่าง ท่านประเสริฐ นาสกุล
ทั้งๆที่ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำรงตนชนิดที่หาคนมาเทียบได้ยากเหลือเกิน ในช่วงที่ท่านเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ หลายครั้งผู้เขียนเห็นท่านเดินตามลำพังไปหน้าศาล เพื่อเรียกแท็กซี่ จนอดไม่ได้ต้องถามว่า
“ทำไมไม่ไปรถประจำตำแหน่ง ซึ่งจะมีคววามสะดวกสบายกว่า”
ท่านประเสริฐ ในวัยใกล้ 70 ปี ในขณะนั้น อธิบายให้ฟังว่า
“ผมจะไปโรงพยาบาล เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรใช้รถประจำตำแหน่ง” จากนั้นก็ขึ้นรถแท็กซี่ เพื่อไปโรงพยาบาลศิริราช
ที่นั่น ไม่มีแม้แต่การลัดคิว เพื่อให้ท่านได้ตรวจรักษาอาการก่อน เพียงจากท่านพอใจที่จะรอคิวตรวจอาการเหมือนสามัญชนธรรมดาทั่วไป โดยไม่มีการใช้อภิสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น
นี่ไม่ใช่แบบอย่างของคนดีของไทย ที่ควรจดจำอย่างนั้นหรือ?
ไม่เพียงเท่านั้นวัตรปฏิบัติก็ควรเลื่อมใสอย่างยิ่ง ทั้งการใช้ชีวิตเรียบง่าย ในบ้านไม้ 2 ชั้น ซึ่งแม้จะอยู่ย่านสุขุมวิท อันเป็นแหล่งพำนักของกลุ่มคนมีอันจะกิน แต่สภาพบ้านก็แสดงให้เห็นว่า เป็นบ้านเก่า ตั้งแต่ที่ดินสุขุมวิท ไม่มีค่าเป็นทองคำเช่นในปัจจุบัน ภายในบ้านเครื่องเรือน ข้าวของ เครื่องใช้ ตลอดการตกแต่งบ้าน เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสมถะเรียบง่ายของผู้เป็นเจ้าบ้าน
ยิ่งตอกย้ำชัดเจนว่า นอกจากท่านจะมีความกล้าหาญ กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง ยังตั้งมั่นอยู่ในซื่อสัตย์สุจริตอีกด้วย
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยุคซุกหุ้นภาคแรกหลายคน อาจมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป หลังตัดสินใจเลือกเป็นเสียงมากในคดีซุกหุ้น แต่สำหรับท่านประเสริฐ นาสกุล ในวัย 78 ปี ยังคงดำรงตนอยู่บนความงดงาม เรียบง่าย ในฐานะราษฎรเต็มขั้น ที่ต้องต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่เข้ามารุมเร้า จนคร่าชีวิตและลมหายใจไปจากแผ่นดินนี้
เมื่อวันที่ 8 ก.ค.52
แม้ว่าท่านประเสริฐ จะจากไปแล้ว แต่เชื่อว่าหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความยุติธรรม และคุณงามความดีที่สร้างให้แผ่นดินเกิด จะถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์คนดี ให้สังคมได้จดจำชื่อ
ประเสริฐ นาสกุล