ASTV/ผู้จัดการรายวัน-ผู้เสียหาย 31 รายร้องดีเอสไอ ดำเนินคดีคอนโดหรู เดอะ คาริสม่า สุขุมวิท วางเงินจองพร้อมผ่อนดาวน์ 20% รวมมูลค่ากว่า 28 ล้านบาท ผ่านไป 4 ปี ได้แค่ตอกเสาเข็ม พบก่อนหน้านี้นางเอกสาว “พอลล่า” ฟ้องศาลจนบริษัทยอมจ่ายเงินจองพร้อมดอกเบี้ยคืน
วานนี้ (8 ก.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา น.ส.กฤษณา เขมาภรณ์ พร้อมด้วยผู้เสียหายอีก 30 ราย ที่ต้องสูญเงินกว่า 28 ล้านบาท จากการทำสัญญาซื้อห้องชุดในคอนโดมิเนียมหรู เดอะ คาริสม่า สุขุมวิท ได้นำเอกสารหลักฐานเข้าร้องเรียนต่อนายสรรเสริญ ปาลวัฒก์วิไชย ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อขอให้ตรวจสอบพฤติการณ์หลอกลวงเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน โดยเอกสารร้องเรียนของกลุ่มผู้เสียหายระบุว่า บริษัท อินสไตล์ เอสเตท เอกมัย จำกัด ทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท เป็นเจ้าของโครงการเดอะ คาริสม่า สุขุมวิท ซึ่งเป็นโครงการอาคารชุด ความสูง 23 ชั้น จำนวน 326 ยูนิต ตั้งอยู่บนถนนเอกมัย (สุขุมวิท 73) เปิดโฆษณาขายโครงการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2548 และสัญญาว่าจะก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2552 ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อวางเงินจองซื้อห้องชุดห้องละ 50,000 บาท และผ่อนชำระเงินดาวน์อีก 20% ของราคาห้องชุด ซึ่งผู้เสียหายทั้ง 31 รายได้ชำระเงินให้บริษัทไปแล้วกว่า 28 ล้านบาท แต่จนถึงขณะนี้เป็นเวลา 4 ปีเศษ พื้นที่ก่อสร้างยังคงถูกทิ้งร้าง มีเพียงการตอกเสาเข็มแล้วหยุดดำเนินการตลอดมา
กลุ่มผู้เสียหายระบุด้วยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ก่อนดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารชุดเดอะ คาริสม่า บริษัท อินสไตล์ เอสเตท เอกมัย จำกัด ได้นำที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการไปจำนองไว้กับธนาคารโดยตีราคา 280 ล้านบาท และได้เบิกเงินมาใช้ประโยชน์แล้วรวมทั้งต้นและดอกเบี้ยเป็นเงินไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท และไม่มีความเคลื่อนไหวทางบัญชีที่จะแสดงให้เห็นว่า ได้ดำเนินงานไปตามโครงการที่โฆษณาไว้ และยังมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่า บริษัทได้นำเงินที่ได้จากการจำนองที่ดินและเงินที่ได้จากผู้ซื้อไปจัดทำโครงการอื่นๆ ที่ผ่านมาผู้เสียหายได้ติดตามทวงถามความคืบหน้าในการก่อสร้างมาโดยตลอด ซึ่งบริษัทแจ้งว่าประสบปัญหาทางการเงินไม่สามารถคืนเงินให้ได้
นอกจากนี้ ยังตรวจสอบพบว่า บริษัท อินสไตล์ เอสเตท เอกมัย จำกัด ยังถูกบริษัทซีฟโก้ จำกัด ผู้รับเหมาก่อสร้าง บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งรับจ้างทำโฆษณาและธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB ฟ้องเรียกเงินคืนไม่น้อยกว่า 280 ล้านบาท ซึ่งบางคดีศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์แล้ว
ด้าน พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยว่า สำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมได้รวบรวมเอกสารหลักฐานคดีนี้เสนอต่อพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ เพื่อพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมายฐานฉ้อโกงประชาชนกับผู้กระทำความผิด เนื่องจากคดีในลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการเอาเปรียบและฉ้อโกงผู้บริโภค ซึ่งดีเอสไอจะเร่งสืบสวนว่ามีพฤติกรรมนำเงินของผู้ซื้อไปใช้ก่อสร้างและขายโครงการอื่นๆของบริษัทตามคำร้องของผู้เสียหายหรือไม่
ก่อนหน้านี้ ข้อพิพาทของโครงการเดอะคาริสม่า ตกเป็นข่าวครึกโครม เนื่องจากน.ส.พัลลภา ศุภอักษร หรือ พอลล่า เทเลอร์ อายุ 26 ปี นางเอกสาวและนางแบบชื่อดัง ได้ยื่นฟ้องบริษัท อินสไตล์ เอสเตท เอกมัย จำกัด เป็นจำเลย เรื่องผิดสัญญา เรียกค่าเสียหาย 2,584,484 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี เนื่องจากบริษัท อินสไตล์ฯ ไม่ดำเนินการก่อสร้างอาคารชุดดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามสัญญา ต่อมาศาลแพ่งได้นัดไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาท โดยคู่ความยินยอมจะชดใช้ค่าเสียหายให้กับพอลล่าทั้งหมดจำนวน 1,878,947 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี จนกว่าจะชำระครบถ้วน โดยคู่ความขอ ผ่อนชำระเดือนละไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาท.
วานนี้ (8 ก.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา น.ส.กฤษณา เขมาภรณ์ พร้อมด้วยผู้เสียหายอีก 30 ราย ที่ต้องสูญเงินกว่า 28 ล้านบาท จากการทำสัญญาซื้อห้องชุดในคอนโดมิเนียมหรู เดอะ คาริสม่า สุขุมวิท ได้นำเอกสารหลักฐานเข้าร้องเรียนต่อนายสรรเสริญ ปาลวัฒก์วิไชย ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อขอให้ตรวจสอบพฤติการณ์หลอกลวงเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน โดยเอกสารร้องเรียนของกลุ่มผู้เสียหายระบุว่า บริษัท อินสไตล์ เอสเตท เอกมัย จำกัด ทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท เป็นเจ้าของโครงการเดอะ คาริสม่า สุขุมวิท ซึ่งเป็นโครงการอาคารชุด ความสูง 23 ชั้น จำนวน 326 ยูนิต ตั้งอยู่บนถนนเอกมัย (สุขุมวิท 73) เปิดโฆษณาขายโครงการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2548 และสัญญาว่าจะก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2552 ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อวางเงินจองซื้อห้องชุดห้องละ 50,000 บาท และผ่อนชำระเงินดาวน์อีก 20% ของราคาห้องชุด ซึ่งผู้เสียหายทั้ง 31 รายได้ชำระเงินให้บริษัทไปแล้วกว่า 28 ล้านบาท แต่จนถึงขณะนี้เป็นเวลา 4 ปีเศษ พื้นที่ก่อสร้างยังคงถูกทิ้งร้าง มีเพียงการตอกเสาเข็มแล้วหยุดดำเนินการตลอดมา
กลุ่มผู้เสียหายระบุด้วยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ก่อนดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารชุดเดอะ คาริสม่า บริษัท อินสไตล์ เอสเตท เอกมัย จำกัด ได้นำที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการไปจำนองไว้กับธนาคารโดยตีราคา 280 ล้านบาท และได้เบิกเงินมาใช้ประโยชน์แล้วรวมทั้งต้นและดอกเบี้ยเป็นเงินไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท และไม่มีความเคลื่อนไหวทางบัญชีที่จะแสดงให้เห็นว่า ได้ดำเนินงานไปตามโครงการที่โฆษณาไว้ และยังมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่า บริษัทได้นำเงินที่ได้จากการจำนองที่ดินและเงินที่ได้จากผู้ซื้อไปจัดทำโครงการอื่นๆ ที่ผ่านมาผู้เสียหายได้ติดตามทวงถามความคืบหน้าในการก่อสร้างมาโดยตลอด ซึ่งบริษัทแจ้งว่าประสบปัญหาทางการเงินไม่สามารถคืนเงินให้ได้
นอกจากนี้ ยังตรวจสอบพบว่า บริษัท อินสไตล์ เอสเตท เอกมัย จำกัด ยังถูกบริษัทซีฟโก้ จำกัด ผู้รับเหมาก่อสร้าง บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งรับจ้างทำโฆษณาและธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB ฟ้องเรียกเงินคืนไม่น้อยกว่า 280 ล้านบาท ซึ่งบางคดีศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์แล้ว
ด้าน พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยว่า สำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมได้รวบรวมเอกสารหลักฐานคดีนี้เสนอต่อพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ เพื่อพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมายฐานฉ้อโกงประชาชนกับผู้กระทำความผิด เนื่องจากคดีในลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการเอาเปรียบและฉ้อโกงผู้บริโภค ซึ่งดีเอสไอจะเร่งสืบสวนว่ามีพฤติกรรมนำเงินของผู้ซื้อไปใช้ก่อสร้างและขายโครงการอื่นๆของบริษัทตามคำร้องของผู้เสียหายหรือไม่
ก่อนหน้านี้ ข้อพิพาทของโครงการเดอะคาริสม่า ตกเป็นข่าวครึกโครม เนื่องจากน.ส.พัลลภา ศุภอักษร หรือ พอลล่า เทเลอร์ อายุ 26 ปี นางเอกสาวและนางแบบชื่อดัง ได้ยื่นฟ้องบริษัท อินสไตล์ เอสเตท เอกมัย จำกัด เป็นจำเลย เรื่องผิดสัญญา เรียกค่าเสียหาย 2,584,484 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี เนื่องจากบริษัท อินสไตล์ฯ ไม่ดำเนินการก่อสร้างอาคารชุดดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามสัญญา ต่อมาศาลแพ่งได้นัดไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาท โดยคู่ความยินยอมจะชดใช้ค่าเสียหายให้กับพอลล่าทั้งหมดจำนวน 1,878,947 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี จนกว่าจะชำระครบถ้วน โดยคู่ความขอ ผ่อนชำระเดือนละไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาท.
