โครงการทรานเฟอร์ พาสเซนเจอร์ เดือนแรกกร่อย นักท่องเที่ยวที่พักรอเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน สนใจซื้อทัวร์เที่ยวไม่ถึง 300 คน ระบุระยะเวลาเครื่องลงไม่เอื้อออกมาท่องเที่ยว แต่รัฐบาลขายฝันปั้นยอดนักท่องเที่ยว จนบริษัททัวร์สนใจเคลิ้มแห่สมัครเข้าโครงการเพียบ สุดท้ายเหลือ 8 ราย เชื่อเร็วๆนี้มีถอดใจถอนตัวเพิ่ม
นายอภิชาติ สังฆอารี ที่ปรึกษาสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) เปิดเผยว่า ระยะ 1 เดือนที่ผ่านมาของการเริ่มเปิดให้บริการโครงการ ทรานเฟอร์ พาสเซนเจอร์ หรือ การส่งเสริมให้ผู้โดยสารที่เดินทางระหว่างประเทศโดยแวะเข้ามาเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศไทยให้ออกมาเดินทางท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า พบว่ายังมีนักท่องเที่ยวสนใจเข้ามาใช้บริการจำนวนน้อยมากเพียงวันละ 2-3 เที่ยวๆละไม่เกิน 5 คน ซึ่งเป็นเพราะนักท่องเที่ยวไม่ต้องการรีบเร่งในการเดินทางท่องเที่ยวเพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมง และกลัวว่าจะกลับมาไม่ทันขึ้นเครื่อง จึงขออยู่ภายในสนามบินดีกว่า
ทั้งนี้เที่ยวบินที่แวะเข้ามาเปลี่ยนเครื่องมีตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งกลุ่มที่ผู้โดยสารจะตัดสินใจออกมาเที่ยวนอกสนามบิน จะเป็นเครื่องที่บินมาลงตอนเช้า และไม่เกิน 12.00 น. เพื่อที่จะรอเปลี่ยนเครื่องตอนเย็นหรือค่ำ หากเป็นเครื่องที่มาลงตอนบ่ายหรือเย็น แล้วมารอเปลี่ยนเครื่องตอนค่ำหรือดึกนั้นส่วนใหญ่จะไม่นิยมเดินทางออกมาเที่ยว ประกอบกับเป็นเวลาที่สถานที่ท่องเที่ยวตามเส้นทางที่จัดไว้ก็ปิดให้บริการแล้ว
“ ส่วนตัวมองว่าเป็นโครงการที่ดี แต่ไม่ต้องการให้หวังผลว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้มากนัก
เพราะในความเป็นจริงการที่ผู้โดยสารที่แวะเปลี่ยนเครื่องจะออกมาเที่ยวข้างนอก มีเพียงส่วนน้อย และช่วงเวลาก็เป็นปัจจัยสำคัญของการตัดสินใจด้วย ขณะที่อยู่ภายในสนามบินก็มีกิจกรรมให้ทำมากมายเช่นกัน”
จากการโปรโมตของภาครัฐว่าโครงการนี้จะมีผู้โดยสารจำนวนมากสนใจออกมาท่องเที่ยว ทำให้มีบริษัทนำเที่ยวแห่ไปสมัครเข้าโครงการกว่า 30 ราย ซึ่งท้ายสุดก็คัดเหลือ 8 ราย เชื่อว่าในเร็วๆนี้อาจมีบางบริษัทที่ถอดใจและขอออกจากโครงการเพิ่มเติม เพราะไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ
อย่างไรก็ตาม โครงการทรานเฟอร์ พาสเซนเจอร์ มีโปรแกรมนำเที่ยวทั้งหมด 10 เส้นทาง เช่น เส้นทางเที่ยวชมธรรมชาติ ,เส้นทางสถานที่สำคัญทางศาสนา และ วัด ,เส้นทางชมวัง และงานศิลป์แผ่นดินไทย ,เส้นทางชมการแสดงโชว์พร้อมรับประทานอาหารค่ำ ,เส้นทางสุขภาพและความงาม เช่น สปา ,เส้นทางล่องคลองชมสวน ,เส้นทางชอปปิ้งตลาดหรือห้างสรรพสินค้า ,เส้นทางเที่ยวฟาร์ม สวนสัตว์และสวนสนุก ,เส้นทางเล่นกอล์ฟ และ เส้นทางซิตี้ทัวร์ นั่งรถชมเมือง แต่ละเส้นทางใช้เวลาอย่างต่ำ 4 ชั่วโมง อัตราค่าบริการสำหรับ 1 คน เริ่มตั้งแต่ 1,850 - 6,050 บาท แล้วแต่จำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละเที่ยวการเดินทาง ตั้งเป้าจะมีผู้ใช้บริการ 1,000 คนต่อวัน หรือราว 30% ของจำนวนทรานเฟอร์ พาสเซนเจอร์ 2,800-3,000 คนต่อวัน สร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาทต่อวัน หรือเฉลี่ย 900 ล้านบาทต่อปี
ทางด้านนายสุรพล ศรีตระกูล นายกสมาคมแอตต้า กล่าวว่า จำนวนผู้โดยสารแวะเปลี่ยนเครื่อง ที่ออกมาเดินทางเที่ยวประเทศไทยในโครงการทรานเฟอร์ พาสเซนเจอร์ ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมามีจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการรวม 299 คน หรือเฉลี่ยวันละ 10 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย เพราะมีระยะเวลารอเปลี่ยนเครื่องนานกว่า 8-9 ชั่วโมง โปรแกรมทัวร์ที่ได้รับความนิยมสูง คือ ชอปปิ้ง รองลงมาคือ เที่ยวชมเมือง วัด วัง วัดพระแก้วฯ และเที่ยวคลอบางกอกน้อย
“จำนวนนักท่องเที่ยวในเดือนแรกนี้ตั้งไว้ 300 คน แต่ได้มา 299 คน ก็ถือว่าพอใจ เพราะช่วงแรกมีปัญหาเรื่องการประสานงานในหน่วยงานของรัฐบาลไทยเอง คือ ตม.ยังไม่ได้รับหนังสือให้อนุญาตเรื่องยกเว้นวีซ่า เป็นต้น แต่มั่นใจว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นในเดือนต่อๆไป ซึ่งขึ้นอยู่กับการเร่งประชาสัมพันธ์ของภาครัฐ”
สำหรับสถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะนี้มีจำนวนลดลงทุกตลาด บางตลาดลดลงกว่า 50% มีเพียงนักท่องเที่ยวจากประเทศอิหร่านเท่านั้นที่เติบโตกว่า 50% เป็นเพราะการจับมือร่วมกันส่งเสริมการท่องเที่ยวกันมากขึ้น ส่วนตลาดฮ่องกง มีจำนวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และข่าวการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ 2009 ไม่มีผลกระทบ เพราะฮ่องกงก็ประสบภาวการณ์ระบาดเช่นกัน
นายอภิชาติ สังฆอารี ที่ปรึกษาสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) เปิดเผยว่า ระยะ 1 เดือนที่ผ่านมาของการเริ่มเปิดให้บริการโครงการ ทรานเฟอร์ พาสเซนเจอร์ หรือ การส่งเสริมให้ผู้โดยสารที่เดินทางระหว่างประเทศโดยแวะเข้ามาเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศไทยให้ออกมาเดินทางท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า พบว่ายังมีนักท่องเที่ยวสนใจเข้ามาใช้บริการจำนวนน้อยมากเพียงวันละ 2-3 เที่ยวๆละไม่เกิน 5 คน ซึ่งเป็นเพราะนักท่องเที่ยวไม่ต้องการรีบเร่งในการเดินทางท่องเที่ยวเพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมง และกลัวว่าจะกลับมาไม่ทันขึ้นเครื่อง จึงขออยู่ภายในสนามบินดีกว่า
ทั้งนี้เที่ยวบินที่แวะเข้ามาเปลี่ยนเครื่องมีตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งกลุ่มที่ผู้โดยสารจะตัดสินใจออกมาเที่ยวนอกสนามบิน จะเป็นเครื่องที่บินมาลงตอนเช้า และไม่เกิน 12.00 น. เพื่อที่จะรอเปลี่ยนเครื่องตอนเย็นหรือค่ำ หากเป็นเครื่องที่มาลงตอนบ่ายหรือเย็น แล้วมารอเปลี่ยนเครื่องตอนค่ำหรือดึกนั้นส่วนใหญ่จะไม่นิยมเดินทางออกมาเที่ยว ประกอบกับเป็นเวลาที่สถานที่ท่องเที่ยวตามเส้นทางที่จัดไว้ก็ปิดให้บริการแล้ว
“ ส่วนตัวมองว่าเป็นโครงการที่ดี แต่ไม่ต้องการให้หวังผลว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้มากนัก
เพราะในความเป็นจริงการที่ผู้โดยสารที่แวะเปลี่ยนเครื่องจะออกมาเที่ยวข้างนอก มีเพียงส่วนน้อย และช่วงเวลาก็เป็นปัจจัยสำคัญของการตัดสินใจด้วย ขณะที่อยู่ภายในสนามบินก็มีกิจกรรมให้ทำมากมายเช่นกัน”
จากการโปรโมตของภาครัฐว่าโครงการนี้จะมีผู้โดยสารจำนวนมากสนใจออกมาท่องเที่ยว ทำให้มีบริษัทนำเที่ยวแห่ไปสมัครเข้าโครงการกว่า 30 ราย ซึ่งท้ายสุดก็คัดเหลือ 8 ราย เชื่อว่าในเร็วๆนี้อาจมีบางบริษัทที่ถอดใจและขอออกจากโครงการเพิ่มเติม เพราะไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ
อย่างไรก็ตาม โครงการทรานเฟอร์ พาสเซนเจอร์ มีโปรแกรมนำเที่ยวทั้งหมด 10 เส้นทาง เช่น เส้นทางเที่ยวชมธรรมชาติ ,เส้นทางสถานที่สำคัญทางศาสนา และ วัด ,เส้นทางชมวัง และงานศิลป์แผ่นดินไทย ,เส้นทางชมการแสดงโชว์พร้อมรับประทานอาหารค่ำ ,เส้นทางสุขภาพและความงาม เช่น สปา ,เส้นทางล่องคลองชมสวน ,เส้นทางชอปปิ้งตลาดหรือห้างสรรพสินค้า ,เส้นทางเที่ยวฟาร์ม สวนสัตว์และสวนสนุก ,เส้นทางเล่นกอล์ฟ และ เส้นทางซิตี้ทัวร์ นั่งรถชมเมือง แต่ละเส้นทางใช้เวลาอย่างต่ำ 4 ชั่วโมง อัตราค่าบริการสำหรับ 1 คน เริ่มตั้งแต่ 1,850 - 6,050 บาท แล้วแต่จำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละเที่ยวการเดินทาง ตั้งเป้าจะมีผู้ใช้บริการ 1,000 คนต่อวัน หรือราว 30% ของจำนวนทรานเฟอร์ พาสเซนเจอร์ 2,800-3,000 คนต่อวัน สร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาทต่อวัน หรือเฉลี่ย 900 ล้านบาทต่อปี
ทางด้านนายสุรพล ศรีตระกูล นายกสมาคมแอตต้า กล่าวว่า จำนวนผู้โดยสารแวะเปลี่ยนเครื่อง ที่ออกมาเดินทางเที่ยวประเทศไทยในโครงการทรานเฟอร์ พาสเซนเจอร์ ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมามีจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการรวม 299 คน หรือเฉลี่ยวันละ 10 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย เพราะมีระยะเวลารอเปลี่ยนเครื่องนานกว่า 8-9 ชั่วโมง โปรแกรมทัวร์ที่ได้รับความนิยมสูง คือ ชอปปิ้ง รองลงมาคือ เที่ยวชมเมือง วัด วัง วัดพระแก้วฯ และเที่ยวคลอบางกอกน้อย
“จำนวนนักท่องเที่ยวในเดือนแรกนี้ตั้งไว้ 300 คน แต่ได้มา 299 คน ก็ถือว่าพอใจ เพราะช่วงแรกมีปัญหาเรื่องการประสานงานในหน่วยงานของรัฐบาลไทยเอง คือ ตม.ยังไม่ได้รับหนังสือให้อนุญาตเรื่องยกเว้นวีซ่า เป็นต้น แต่มั่นใจว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นในเดือนต่อๆไป ซึ่งขึ้นอยู่กับการเร่งประชาสัมพันธ์ของภาครัฐ”
สำหรับสถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะนี้มีจำนวนลดลงทุกตลาด บางตลาดลดลงกว่า 50% มีเพียงนักท่องเที่ยวจากประเทศอิหร่านเท่านั้นที่เติบโตกว่า 50% เป็นเพราะการจับมือร่วมกันส่งเสริมการท่องเที่ยวกันมากขึ้น ส่วนตลาดฮ่องกง มีจำนวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และข่าวการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ 2009 ไม่มีผลกระทบ เพราะฮ่องกงก็ประสบภาวการณ์ระบาดเช่นกัน