บทความชื่อแสนเชย (เชียงรายรำลึก) ของผมในคอลัมน์ “หน้ากระดานเรียงห้า” เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้แทรกการวิเคราะห์เรื่องการล่ารายชื่อถวายฎีกาเพื่อขอพระทานอภัยโทษให้ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ไว้ตอนหนึ่งว่า ...
..“เสื้อแดงยังแรงฤทธิ์
.- 27 มิ.ย.เริ่มสงครามรอบสอง ล่ารายชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษทั้งๆ ที่ไม่ถูกต้อง กดดันสถาบันอย่างไม่บังควร เป้าหมายล่ารายชื่อเพื่อจะให้เป็นของขวัญวันเกิดแม้ว 26 ก.ค./เป้าหมายพรรคเพื่อไทยจริงๆ ต้องการกดดันให้รัฐบาลยุบสภา...”
เพื่อนฝูงบางคนและผู้ใหญ่บางท่านโทรศัพท์มาต่อว่าผมเล็กๆ น้อยๆ ประมาณว่า ไปให้ราคาค่างวด ให้ความสำคัญกับ “สาวกแม้ว” หรือคนเสื้อแดงจนเกินเหตุ เพราะพวกเขาไม่มีทางล่ารายชื่อได้ครบล้านในหนึ่งเดือน หรือแม้จะครบแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น..
ผมได้ชี้แจงสวนกลับทั้งเพื่อนและผู้ใหญ่ในฐานะคนคุ้นเคยไปว่า...ประเมินสถานการณ์คนเสื้อแดงต่ำเกินไป
- ผมยังเชื่อว่าถ้าสถานการณ์ทุกฝ่ายยังเป็นอย่างวันนี้ ล่ารายชื่อได้ครบและเกินล้านแน่ โดยอาศัยการบริหารจัดการทางการเมือง ใช้ ส.ส.และการรณรงค์ทั่วไป ส.ส.200 คน หามาคนละ 1,000 ชื่อ ก็ 2 ล้านแล้ว ยังไม่นับที่พวกเขารณรงค์เอาหนังสือถวายฎีกาแจกเป็นใบปลิวตามห้างสรรพสินค้า ย่านชุมชน เสียบไว้ที่ปัดน้ำฝนรถยนต์ ฯลฯ
- หากพวกเขาสามารถถวายฎีกาได้ในวันไหน อย่าได้มองว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นหมายถึงความพ่ายแพ้ของรัฐบาลและแนวรบของผู้รักเทิดทูนสถาบันทีเดียวเจียวล่ะ...!!??
เมื่อได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแล้ว ทั้งเพื่อนฝูงและผู้ใหญ่ที่ว่าก็เริ่มเห็นคล้อยกับผม แต่ก็ไม่วายยังยืนยันว่าอย่าไปให้ความสำคัญกับคนเหล่านั้น ผมก็รับฟังแต่ก็ไม่วาย (เหมือนกัน) ที่จะบอกว่า ในส่วนลึกแล้วเบื่อและเซ็งมากๆ ที่จะพูดถึงพวกวรนุช..เอ๊ย พวกเสื้อแดงเหล่านี้ แต่ลองปล่อยให้พวกเขาพูดและเคลื่อนไหว ยึดพื้นที่สื่ออยู่ฝ่ายเดียวล่ะก็...พ่อแม่พี่น้องเอ๊ย ดูไม่จืด เละเป็นโจ๊กแน่...
ใครที่จะเละเป็นโจ๊กบ้างก็ช่วยนำไปคิดกันต่อก็แล้วกัน...!!??
ครับ ผมยังยืนยันนั่งยันว่ายุทธการล่ารายชื่อถวายฎีกาหนนี้ เป็นเกมที่เหี้ยมโหดและใจร้ายของแนวรบคนเสื้อแดงภายใต้การบงการของคนที่เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี...
พวกเขารู้ดีว่าหนทางการนิรโทษกรรมให้ “ทักษิณ” พ้นโทษจำคุก 2 ปีจากคดีซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกเป็นไปไม่ได้เพราะต้องออกเป็นกฎหมาย พวกเขารู้ดีว่าการขอพระราชทานอภัยโทษก็ทำไม่ได้เพราะ “ทักษิณ” ยังไม่มารับโทษ พวกเขาจึงเลือกใช้เป็นวิธีการถวายฎีการ้องทุกข์...
แต่ก็ไม่วายที่จะยัดเยียดข้อความ “ขอพระราชทานอภัยโทษ” เอาไว้ด้วย
พวกเขาย่อมรู้ดีว่า ถ้าสามารถยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาได้ มันเท่ากับการวางระเบิดเวลาลูกใหญ่ใส่สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่ว่าพระองค์ท่านหรือผู้เกี่ยวข้องจะมีความคิดเห็นไปในทางไหน ผลลัพธ์ก็ล้วนแต่เป็นผลลบ...
เห็นไหมล่ะว่า “พระเจ้ามูลแม้ว” ของคนเสื้อแดงเหี้ยมโหดและเลวร้ายขนาดไหน??
จะอย่างไรก็ตาม ดังชื่อบทความของผมฉบับนี้ ในความเหี้ยมโหดเลวร้ายรอบนี้ผมต้องขอบคุณคนเสื้อแดงที่ในมุมกลับทำให้ผมมองเห็นถึงขีดความสามารถ จิตใจและตัวตนของคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะคนไทยที่อยู่ในเครื่องแบบนักการเมือง ตำรวจ ทหาร ข้าราชบริพาร
ความรู้สึกหลายอย่าง คำถามหลายประการผุดขึ้นในความนึกคิดของผมมาหลายวันแล้ว
1) รัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯ ที่ประกาศในวันรับสนองพระบรมราชโองการว่า จะปกป้องสถาบันด้วยชีวิตจิตใจ...วันนี้พวกท่านทำอะไรกันบ้างในกรณีนี้
ที่เข้าตาอยู่บ้างก็เห็นจะเป็น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.ที่หาญกล้าประกาศไม่อนุญาตให้คนเสื้อแดงใช้พื้นที่ท้องสนามหลวงจัดงานแซยิดให้น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 26 ก.ค.52
2) กองทัพไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพบกที่ ผบ.ทบ.เคยเป็น ผบ.ร.21 รอ.หรือทหารเสือราชินีและเติบโตมาในเส้นทาง “บูรพาพยัคฆ์” มีความคิดอ่านในเรื่องนี้อย่างไร..ผมยังไม่เห็น ไม่ได้ยิน..
3) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ที่มีงบประมาณในมืออู้ฟู่กว่ายุคก่อนๆ นอกจากออกแคมเปญเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว เรื่องนี้พวกท่านจะทำอะไรกันบ้างหรือไม่?
4) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ใช่ไหมว่า..หัวขบวนเอาแต่จะสร้างผลงานการแต่งตั้งโยกย้ายภายใต้โครงสร้างใหม่ทิ้งทวนให้เป็นผลงานชิ้นโบแดง ก่อนเกษียณ ปล่อยให้พวกหางแดงกระทำปู้ยี่ปู้ยำสถาบันกันต่อหน้าต่อตาประชาชน ในขณะที่เก่งกาจสามารถเอามากๆ ในการออกหมายเรียกตั้งข้อหาก่อการร้าย โทษประหารชีวิตให้กับผู้ชุมนุมทางการเมืองที่สนามบินสุวรรณภูมิ
5) แนวรบด้านรัฐสภา มีเพียงคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ บางคณะของวุฒิสภาที่ออกมาขับเคลื่อน พูดถึงเรื่องนี้ด้วยความห่วงใย ขณะที่สมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่ทำราวกับว่าเมื่อปิดสมัยประชุมบรรดาผู้ทรงเกียรติก็ต้องปิดหูปิดตาและปิดปากที่จะพูดถึงความ “ผิดปกติ” ที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองไปด้วย
6) สื่อของรัฐ รัฐมนตรีที่กำกับดูแลในเชิงนโยบายยังไม่หาญกล้าพอที่จะส่งสัญญาณไปยังผู้รับผิดชอบให้ตระหนักและให้ความสำคัญอย่างมีจุดยืนในเรื่องนี้ จึงไม่แปลกที่ทีวีของรัฐบาลบางช่องเสนอข่าวลูกๆ ของอดีตนายกฯ แจกทุนจากขายหนังสือได้ แต่กลับไม่มีข่าวกลุ่มสยามสามัคคีที่รักบ้านรักเมืองรักสถาบันแถลงข่าวเรื่องการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา
นี่ยังไม่นับการปล่อยให้วิทยุชุมชน โดยเฉพาะในต่างจังหวัดปลุกระดมการล่ารายชื่อกันอย่างฮึกเหิม ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม
7) มีนักการเมือง และบุคคลที่รักบ้านรักเมือง เทิดทูนสถาบันบางส่วน พยายามเสนอให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกมาเคลื่อนไหวหรือทำอะไรบ้างในสถานการณ์แบบนี้...โดยที่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าบรรดาพันธมิตรฯ โดยเฉพาะแกนนำแม้ลึกๆ ใจจะยังเกินร้อย แต่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลและโซ่ตรวนที่อำนาจรัฐหยิบยื่นให้จนแทบกระดิกกระเดี้ยไม่ได้
จะว่าไปที่ผ่านมาพันธมิตรฯ ก็เหมือนมือที่กำคมมีด ยามใดที่ผู้มีอำนาจกระตุกด้ามมีดเลือดก็ไหลโกรกทุกทีไป พันธมิตรฯ ไม่น้อยจึงไม่ยอมที่จะกำคมมีดอีกต่อไป
8) ...ฯลฯ...
...................................
นั่นเป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งที่กรุ่นอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของผม ผมซึ่งก็เหมือนกับผู้คนอีกมากมายที่อยากเห็นสังคมสมานฉันท์ข้ามพ้นเรื่องสีเสื้อ การแบ่งเป็นฝักฝ่ายกันอย่างไร้เหตุผลในบางเรื่อง
แต่ถึงอย่างไร ผมก็ไม่เห็นด้วยหากเราจะข้ามพ้นเรื่องการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาที่ท้าทายและกดดันต่อสถาบันด้วยการเมินเฉย ปิดหูปิดตา ปล่อยให้พระองค์ท่านหรือสถาบันต้องถอดสลักระเบิดโดยลำพัง
เราต้องช่วยกัน โดยเฉพาะรัฐบาลท่านต้องไม่นิ่งดูดาย!!
samr_rod@hotmail.com
..“เสื้อแดงยังแรงฤทธิ์
.- 27 มิ.ย.เริ่มสงครามรอบสอง ล่ารายชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษทั้งๆ ที่ไม่ถูกต้อง กดดันสถาบันอย่างไม่บังควร เป้าหมายล่ารายชื่อเพื่อจะให้เป็นของขวัญวันเกิดแม้ว 26 ก.ค./เป้าหมายพรรคเพื่อไทยจริงๆ ต้องการกดดันให้รัฐบาลยุบสภา...”
เพื่อนฝูงบางคนและผู้ใหญ่บางท่านโทรศัพท์มาต่อว่าผมเล็กๆ น้อยๆ ประมาณว่า ไปให้ราคาค่างวด ให้ความสำคัญกับ “สาวกแม้ว” หรือคนเสื้อแดงจนเกินเหตุ เพราะพวกเขาไม่มีทางล่ารายชื่อได้ครบล้านในหนึ่งเดือน หรือแม้จะครบแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น..
ผมได้ชี้แจงสวนกลับทั้งเพื่อนและผู้ใหญ่ในฐานะคนคุ้นเคยไปว่า...ประเมินสถานการณ์คนเสื้อแดงต่ำเกินไป
- ผมยังเชื่อว่าถ้าสถานการณ์ทุกฝ่ายยังเป็นอย่างวันนี้ ล่ารายชื่อได้ครบและเกินล้านแน่ โดยอาศัยการบริหารจัดการทางการเมือง ใช้ ส.ส.และการรณรงค์ทั่วไป ส.ส.200 คน หามาคนละ 1,000 ชื่อ ก็ 2 ล้านแล้ว ยังไม่นับที่พวกเขารณรงค์เอาหนังสือถวายฎีกาแจกเป็นใบปลิวตามห้างสรรพสินค้า ย่านชุมชน เสียบไว้ที่ปัดน้ำฝนรถยนต์ ฯลฯ
- หากพวกเขาสามารถถวายฎีกาได้ในวันไหน อย่าได้มองว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นหมายถึงความพ่ายแพ้ของรัฐบาลและแนวรบของผู้รักเทิดทูนสถาบันทีเดียวเจียวล่ะ...!!??
เมื่อได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแล้ว ทั้งเพื่อนฝูงและผู้ใหญ่ที่ว่าก็เริ่มเห็นคล้อยกับผม แต่ก็ไม่วายยังยืนยันว่าอย่าไปให้ความสำคัญกับคนเหล่านั้น ผมก็รับฟังแต่ก็ไม่วาย (เหมือนกัน) ที่จะบอกว่า ในส่วนลึกแล้วเบื่อและเซ็งมากๆ ที่จะพูดถึงพวกวรนุช..เอ๊ย พวกเสื้อแดงเหล่านี้ แต่ลองปล่อยให้พวกเขาพูดและเคลื่อนไหว ยึดพื้นที่สื่ออยู่ฝ่ายเดียวล่ะก็...พ่อแม่พี่น้องเอ๊ย ดูไม่จืด เละเป็นโจ๊กแน่...
ใครที่จะเละเป็นโจ๊กบ้างก็ช่วยนำไปคิดกันต่อก็แล้วกัน...!!??
ครับ ผมยังยืนยันนั่งยันว่ายุทธการล่ารายชื่อถวายฎีกาหนนี้ เป็นเกมที่เหี้ยมโหดและใจร้ายของแนวรบคนเสื้อแดงภายใต้การบงการของคนที่เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี...
พวกเขารู้ดีว่าหนทางการนิรโทษกรรมให้ “ทักษิณ” พ้นโทษจำคุก 2 ปีจากคดีซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกเป็นไปไม่ได้เพราะต้องออกเป็นกฎหมาย พวกเขารู้ดีว่าการขอพระราชทานอภัยโทษก็ทำไม่ได้เพราะ “ทักษิณ” ยังไม่มารับโทษ พวกเขาจึงเลือกใช้เป็นวิธีการถวายฎีการ้องทุกข์...
แต่ก็ไม่วายที่จะยัดเยียดข้อความ “ขอพระราชทานอภัยโทษ” เอาไว้ด้วย
พวกเขาย่อมรู้ดีว่า ถ้าสามารถยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาได้ มันเท่ากับการวางระเบิดเวลาลูกใหญ่ใส่สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่ว่าพระองค์ท่านหรือผู้เกี่ยวข้องจะมีความคิดเห็นไปในทางไหน ผลลัพธ์ก็ล้วนแต่เป็นผลลบ...
เห็นไหมล่ะว่า “พระเจ้ามูลแม้ว” ของคนเสื้อแดงเหี้ยมโหดและเลวร้ายขนาดไหน??
จะอย่างไรก็ตาม ดังชื่อบทความของผมฉบับนี้ ในความเหี้ยมโหดเลวร้ายรอบนี้ผมต้องขอบคุณคนเสื้อแดงที่ในมุมกลับทำให้ผมมองเห็นถึงขีดความสามารถ จิตใจและตัวตนของคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะคนไทยที่อยู่ในเครื่องแบบนักการเมือง ตำรวจ ทหาร ข้าราชบริพาร
ความรู้สึกหลายอย่าง คำถามหลายประการผุดขึ้นในความนึกคิดของผมมาหลายวันแล้ว
1) รัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯ ที่ประกาศในวันรับสนองพระบรมราชโองการว่า จะปกป้องสถาบันด้วยชีวิตจิตใจ...วันนี้พวกท่านทำอะไรกันบ้างในกรณีนี้
ที่เข้าตาอยู่บ้างก็เห็นจะเป็น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.ที่หาญกล้าประกาศไม่อนุญาตให้คนเสื้อแดงใช้พื้นที่ท้องสนามหลวงจัดงานแซยิดให้น.ช.ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 26 ก.ค.52
2) กองทัพไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพบกที่ ผบ.ทบ.เคยเป็น ผบ.ร.21 รอ.หรือทหารเสือราชินีและเติบโตมาในเส้นทาง “บูรพาพยัคฆ์” มีความคิดอ่านในเรื่องนี้อย่างไร..ผมยังไม่เห็น ไม่ได้ยิน..
3) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ที่มีงบประมาณในมืออู้ฟู่กว่ายุคก่อนๆ นอกจากออกแคมเปญเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว เรื่องนี้พวกท่านจะทำอะไรกันบ้างหรือไม่?
4) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ใช่ไหมว่า..หัวขบวนเอาแต่จะสร้างผลงานการแต่งตั้งโยกย้ายภายใต้โครงสร้างใหม่ทิ้งทวนให้เป็นผลงานชิ้นโบแดง ก่อนเกษียณ ปล่อยให้พวกหางแดงกระทำปู้ยี่ปู้ยำสถาบันกันต่อหน้าต่อตาประชาชน ในขณะที่เก่งกาจสามารถเอามากๆ ในการออกหมายเรียกตั้งข้อหาก่อการร้าย โทษประหารชีวิตให้กับผู้ชุมนุมทางการเมืองที่สนามบินสุวรรณภูมิ
5) แนวรบด้านรัฐสภา มีเพียงคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ บางคณะของวุฒิสภาที่ออกมาขับเคลื่อน พูดถึงเรื่องนี้ด้วยความห่วงใย ขณะที่สมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่ทำราวกับว่าเมื่อปิดสมัยประชุมบรรดาผู้ทรงเกียรติก็ต้องปิดหูปิดตาและปิดปากที่จะพูดถึงความ “ผิดปกติ” ที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองไปด้วย
6) สื่อของรัฐ รัฐมนตรีที่กำกับดูแลในเชิงนโยบายยังไม่หาญกล้าพอที่จะส่งสัญญาณไปยังผู้รับผิดชอบให้ตระหนักและให้ความสำคัญอย่างมีจุดยืนในเรื่องนี้ จึงไม่แปลกที่ทีวีของรัฐบาลบางช่องเสนอข่าวลูกๆ ของอดีตนายกฯ แจกทุนจากขายหนังสือได้ แต่กลับไม่มีข่าวกลุ่มสยามสามัคคีที่รักบ้านรักเมืองรักสถาบันแถลงข่าวเรื่องการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา
นี่ยังไม่นับการปล่อยให้วิทยุชุมชน โดยเฉพาะในต่างจังหวัดปลุกระดมการล่ารายชื่อกันอย่างฮึกเหิม ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม
7) มีนักการเมือง และบุคคลที่รักบ้านรักเมือง เทิดทูนสถาบันบางส่วน พยายามเสนอให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกมาเคลื่อนไหวหรือทำอะไรบ้างในสถานการณ์แบบนี้...โดยที่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าบรรดาพันธมิตรฯ โดยเฉพาะแกนนำแม้ลึกๆ ใจจะยังเกินร้อย แต่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลและโซ่ตรวนที่อำนาจรัฐหยิบยื่นให้จนแทบกระดิกกระเดี้ยไม่ได้
จะว่าไปที่ผ่านมาพันธมิตรฯ ก็เหมือนมือที่กำคมมีด ยามใดที่ผู้มีอำนาจกระตุกด้ามมีดเลือดก็ไหลโกรกทุกทีไป พันธมิตรฯ ไม่น้อยจึงไม่ยอมที่จะกำคมมีดอีกต่อไป
8) ...ฯลฯ...
...................................
นั่นเป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งที่กรุ่นอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของผม ผมซึ่งก็เหมือนกับผู้คนอีกมากมายที่อยากเห็นสังคมสมานฉันท์ข้ามพ้นเรื่องสีเสื้อ การแบ่งเป็นฝักฝ่ายกันอย่างไร้เหตุผลในบางเรื่อง
แต่ถึงอย่างไร ผมก็ไม่เห็นด้วยหากเราจะข้ามพ้นเรื่องการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาที่ท้าทายและกดดันต่อสถาบันด้วยการเมินเฉย ปิดหูปิดตา ปล่อยให้พระองค์ท่านหรือสถาบันต้องถอดสลักระเบิดโดยลำพัง
เราต้องช่วยกัน โดยเฉพาะรัฐบาลท่านต้องไม่นิ่งดูดาย!!
samr_rod@hotmail.com