นายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวแสดงความไม่เห็นด้วยที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์เป็นพื้นที่แรกในภาคอีสาน เพราะเท่ากับว่า ไปพึ่งบารมีของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งไม่เป็นผลดีสำหรับพรรคเก่าแก่ที่อยู่มานานถึง 63 ปีอย่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคควรเดินหน้าทำพื้นที่ภาคอีสานด้วยตัวเองเนื่องจากเท่าที่สัมผัสชาวบ้านก็พบว่า ประชาชนรักนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีและนายอภิสิทธิ์ รวมทั้งชื่นชม นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ที่พรรคได้ส.ส.น้อยเพราะว่ายังขาดการลงไปทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งต้องทำเรื่องนี้ต่อ ไม่ใช่ให้พรรคภูมิใจไทยทำพื้นที่ภาคอีสานให้
ถ้าเป็นจริงตามข่าวที่บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์มอบให้พรรคภูมิใจไทย ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน ผมจะลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพราะไม่มีประโยชน์ที่จะทำงานกับพรรคต่อไปและจะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต ผมคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์มีศักดิ์ศรี เราต้องทำงานการเมืองโดยยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ซึ่งในพื้นที่ภาคอีสาน ผมยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ยีงมีโอกาส เพียงแต่ต้องทุ่มเทมากขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตนรีจะลงพื้นที่ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปที่จ.บุรีรัมย์ แต่ควรจะเป็นจ.อุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมาหรือแม้แต่จ.อำนาจเจริญ ส่วนความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงก็ปล่อยให้เคลื่อนไหวไปเพราะเป็นธรรมชาติ แต่ไม่ใช่ให้มาเป็นอุปสรรคในการทำงานของรัฐบาล
นายสุทัศน์ กล่าวด้วยว่า ไม่จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกับนายกรัฐมนตรี ในเรื่องนี้เพราะแสดงความเห็นต่อสาธารณชนก็เพียงพอแล้ว ตนเป็นคนตรงไปตรงมา ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้เป็นเพราะรับงานหรือรับเงินจากพรรคเพื่อไทยมาสั่นคลอนพรรคประชาธิปัตย์เพราะการรับประทานอาหารร่วมกับนายสมชาย วงศ์สวัสด์ อดีตนายกฯ เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนก็ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องการเมือง เพียงแต่เป็นความสนิทสนม ส่วนตัว นอกจากนี้ตนก็มีศักดิ์ศรีเพียงพอที่จะไม่รับงานพรรคการเมืองมาทำร้ายพรรคตัวเอง
ทางด้านนายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.อุบลราชธานี อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจกับท่าทีของนายสุทัศน์เพราะในการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษา พรรคเป็นประธาน ทุกคนก็เข้าใจตรงกันว่าพรรคไม่เคยคิดทิ้งพื้นที่ภาคอีสาน ให้ใครมาดูแลแทน โดยยังได้มีการมอบหมายความรับผิดชอบดูแลพื้นที่รายจังหวัดที่คิดว่า พรรคมีความหวังด้วยเช่น จ.นครราชสีมาให้พ.อ.วินัย สมพงษ์ และนายไกรศักดิ์ ชุหะวัณ รองหัวหน้าพรรคเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนจ.ชัยภูมิให้นายพุทธิพงษ์ สงวนวงศ์ชัย ดูแล สำหรับนายสุทัศน์ได้รับมอบหมายให้ดูแล จ.อำนาจเจริญ มุกดาหารและ ขอนแก่น ส่วนนายอิสสระ สมชัย รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดู จ.สุรินทร์ ส่วนตนรับผิดชอบจ.อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ดและศรีสะเกษ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลของนายสุทัศน์ ที่ออกมาคัดค้านการลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ส่วนที่ว่าน้อยใจเพราะจะให้นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทยดูแลพื้นที่อีสานก็ไม่จริง
นายสุทัศน์ น่าจะเข้าใจดีเรื่องของรัฐบาลก็ส่วนหนึ่ง เรื่องของพรรคก็อีกส่วนหนึ่ง ท่านรู้อยู่แล้วว่าผมมีจุดยืนอย่างไรในเรื่องของพรรค สมัยหนึ่งที่กระแสพรรคถูกต่อต้านมาก ผมเป็นคนยืนยันว่าผมไปอีสานจะใส่เสื้อพรรค ไม่ถอดออก นายสุทัศน์คงจำได้ ฉะนั้นตรงนี้ไม่มีเรื่องของพรรค เรื่องของพรรค พรรคจะดูแล พรรคจะแข่งขันและเตรียมการ แต่เรื่องของรัฐบาลสิ่งที่เกิดขึ้น ผมได้ปรารภกับพรรคร่วมรัฐบาลว่าในเมื่อมีการวิพากษ์วิจารณ์กันถึงปัญหาการประสานงานกัน ผมก็ปรารภกับรัฐมนตรีที่เป็นพรรคร่วมว่าไปลงพื้นที่ด้วยกัน และขอให้พรรคต่างๆ เสนอมาในการที่จะจัดลงพื้นที่ด้วยกัน จึงได้ให้นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ไปดู ท่านก็เสนอมาก็แค่นั้นเอง ไม่มีอะไร
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าการลงพื้นที่บุรีรัมย์ ไม่ได้พึ่งบารมีใคร แต่เป็นการจัดโปรแกรมก็เท่านั้นเอง และไม่ได้ลงจังหวัดเดียวต้องไปลงให้ทั่ว ส่วนที่ไม่ได้ค้างเพราะติดงาน
ตอนนี้พูดกันไปเรื่อย พยายามจะสร้างภาพ เช่น ภาคเหนือจะไม่ต้อนรับทำไมไม่คิดตอนเลือกตั้งซ่อมพรรคประชาธิปัตย์ชนะที่ลำพูน ฉะนั้นอันนี้ต้องเข้าใจอย่าไปหลงตามคำโฆษณาชวนเชื่อเสมอไป
นายกรัฐมนตรี ยังเชื่อว่าในภาคอีสานพรรคประชาธิปัตย์น่าจะมี ส.ส.เพิ่ม แม้จะไม่ง่าย ส่วนกลุ่มคนเสื้อแดงไม่คิดว่าจะเป็นอุปสรรค์ แม้การที่มีกลุ่มคนขัดขวางไม่ให้รัฐบลหรือพรรคการเมืองลงไปทำกิจกรรมในพื้นที่ถือว่าไม่เป็นประชาธิปไตย สำหรับจุดขายของพรรคประชาธิปัตย์ในภาคอีสานคือผลงานที่จะออกมา แต่ต้องรอเวลานิด เนื่องจากโครงการไทยเข้มแข็งจะส่งผลอย่างมากโดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสาน เรื่องแหล่งน้ำเป็นเรื่องสำคัญ
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวอย่างมีอารมย์เมื่อถูกถามถึงกรณีที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ประธานคณะทำงานรมว.มหาดไทย น้องชายนายเนวิน ที่ระบุว่าจะทนอยู่กับรัฐบาลแค่งบประมาณปี 53 ผ่านและมีการใช้เงินกู้ 8 แสนล้านบาทเท่านั้นว่า ที่จริงถ้าเขาทนไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่ ไม่บังคับหรอกครับ และความจริงควรจะคุยกับผู้รับผิดชอบโดยตรง ที่เป็นผู้บังคับบัญชาของเขาว่า งานที่เราทำอยู่ในขณะนี้มีเหตุผลในการทำงานอย่างไร ทุกคนจะเอาตามใจชอบไม่ได้หรอกครับ ในการทำงาน และตัวผมเองจะมานึกเอาตามใจชอบไม่ได้ ต้องดูภาพรวมและข้อจำกัดในเรื่องต่าง ๆ ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ เป็นอย่างไร ไม่บังคับให้ทนหรอกครับ ถ้าไม่อยากทนอยู่ก็ไม่ต้องอยู่ และคงจะไม่คุยถ้าเป็นเรื่องของที่ปรึกษาหรือคณะทำงานของรัฐมนตรี แต่จะคุยกับรัฐมนตรีว่า ถ้าใครไม่สมัครใจทำงาน ก็ไม่ต้องให้ทำงาน ผมจะทำงานกับผู้สมัครใจ
นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ได้คุยกับนายศักดิ์สยามแล้วท่านบอกว่าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น เป็นเพียงการหยอกล้อสื่อมวลชนเท่านั้น ขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลยังคงร่วมกันแก้ปัญหาประเทศ
ถ้าเป็นจริงตามข่าวที่บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์มอบให้พรรคภูมิใจไทย ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน ผมจะลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพราะไม่มีประโยชน์ที่จะทำงานกับพรรคต่อไปและจะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต ผมคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์มีศักดิ์ศรี เราต้องทำงานการเมืองโดยยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ซึ่งในพื้นที่ภาคอีสาน ผมยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ยีงมีโอกาส เพียงแต่ต้องทุ่มเทมากขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตนรีจะลงพื้นที่ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปที่จ.บุรีรัมย์ แต่ควรจะเป็นจ.อุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมาหรือแม้แต่จ.อำนาจเจริญ ส่วนความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงก็ปล่อยให้เคลื่อนไหวไปเพราะเป็นธรรมชาติ แต่ไม่ใช่ให้มาเป็นอุปสรรคในการทำงานของรัฐบาล
นายสุทัศน์ กล่าวด้วยว่า ไม่จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกับนายกรัฐมนตรี ในเรื่องนี้เพราะแสดงความเห็นต่อสาธารณชนก็เพียงพอแล้ว ตนเป็นคนตรงไปตรงมา ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้เป็นเพราะรับงานหรือรับเงินจากพรรคเพื่อไทยมาสั่นคลอนพรรคประชาธิปัตย์เพราะการรับประทานอาหารร่วมกับนายสมชาย วงศ์สวัสด์ อดีตนายกฯ เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนก็ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องการเมือง เพียงแต่เป็นความสนิทสนม ส่วนตัว นอกจากนี้ตนก็มีศักดิ์ศรีเพียงพอที่จะไม่รับงานพรรคการเมืองมาทำร้ายพรรคตัวเอง
ทางด้านนายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.อุบลราชธานี อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจกับท่าทีของนายสุทัศน์เพราะในการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษา พรรคเป็นประธาน ทุกคนก็เข้าใจตรงกันว่าพรรคไม่เคยคิดทิ้งพื้นที่ภาคอีสาน ให้ใครมาดูแลแทน โดยยังได้มีการมอบหมายความรับผิดชอบดูแลพื้นที่รายจังหวัดที่คิดว่า พรรคมีความหวังด้วยเช่น จ.นครราชสีมาให้พ.อ.วินัย สมพงษ์ และนายไกรศักดิ์ ชุหะวัณ รองหัวหน้าพรรคเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนจ.ชัยภูมิให้นายพุทธิพงษ์ สงวนวงศ์ชัย ดูแล สำหรับนายสุทัศน์ได้รับมอบหมายให้ดูแล จ.อำนาจเจริญ มุกดาหารและ ขอนแก่น ส่วนนายอิสสระ สมชัย รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดู จ.สุรินทร์ ส่วนตนรับผิดชอบจ.อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ดและศรีสะเกษ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลของนายสุทัศน์ ที่ออกมาคัดค้านการลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ส่วนที่ว่าน้อยใจเพราะจะให้นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทยดูแลพื้นที่อีสานก็ไม่จริง
นายสุทัศน์ น่าจะเข้าใจดีเรื่องของรัฐบาลก็ส่วนหนึ่ง เรื่องของพรรคก็อีกส่วนหนึ่ง ท่านรู้อยู่แล้วว่าผมมีจุดยืนอย่างไรในเรื่องของพรรค สมัยหนึ่งที่กระแสพรรคถูกต่อต้านมาก ผมเป็นคนยืนยันว่าผมไปอีสานจะใส่เสื้อพรรค ไม่ถอดออก นายสุทัศน์คงจำได้ ฉะนั้นตรงนี้ไม่มีเรื่องของพรรค เรื่องของพรรค พรรคจะดูแล พรรคจะแข่งขันและเตรียมการ แต่เรื่องของรัฐบาลสิ่งที่เกิดขึ้น ผมได้ปรารภกับพรรคร่วมรัฐบาลว่าในเมื่อมีการวิพากษ์วิจารณ์กันถึงปัญหาการประสานงานกัน ผมก็ปรารภกับรัฐมนตรีที่เป็นพรรคร่วมว่าไปลงพื้นที่ด้วยกัน และขอให้พรรคต่างๆ เสนอมาในการที่จะจัดลงพื้นที่ด้วยกัน จึงได้ให้นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ไปดู ท่านก็เสนอมาก็แค่นั้นเอง ไม่มีอะไร
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าการลงพื้นที่บุรีรัมย์ ไม่ได้พึ่งบารมีใคร แต่เป็นการจัดโปรแกรมก็เท่านั้นเอง และไม่ได้ลงจังหวัดเดียวต้องไปลงให้ทั่ว ส่วนที่ไม่ได้ค้างเพราะติดงาน
ตอนนี้พูดกันไปเรื่อย พยายามจะสร้างภาพ เช่น ภาคเหนือจะไม่ต้อนรับทำไมไม่คิดตอนเลือกตั้งซ่อมพรรคประชาธิปัตย์ชนะที่ลำพูน ฉะนั้นอันนี้ต้องเข้าใจอย่าไปหลงตามคำโฆษณาชวนเชื่อเสมอไป
นายกรัฐมนตรี ยังเชื่อว่าในภาคอีสานพรรคประชาธิปัตย์น่าจะมี ส.ส.เพิ่ม แม้จะไม่ง่าย ส่วนกลุ่มคนเสื้อแดงไม่คิดว่าจะเป็นอุปสรรค์ แม้การที่มีกลุ่มคนขัดขวางไม่ให้รัฐบลหรือพรรคการเมืองลงไปทำกิจกรรมในพื้นที่ถือว่าไม่เป็นประชาธิปไตย สำหรับจุดขายของพรรคประชาธิปัตย์ในภาคอีสานคือผลงานที่จะออกมา แต่ต้องรอเวลานิด เนื่องจากโครงการไทยเข้มแข็งจะส่งผลอย่างมากโดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสาน เรื่องแหล่งน้ำเป็นเรื่องสำคัญ
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวอย่างมีอารมย์เมื่อถูกถามถึงกรณีที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ประธานคณะทำงานรมว.มหาดไทย น้องชายนายเนวิน ที่ระบุว่าจะทนอยู่กับรัฐบาลแค่งบประมาณปี 53 ผ่านและมีการใช้เงินกู้ 8 แสนล้านบาทเท่านั้นว่า ที่จริงถ้าเขาทนไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่ ไม่บังคับหรอกครับ และความจริงควรจะคุยกับผู้รับผิดชอบโดยตรง ที่เป็นผู้บังคับบัญชาของเขาว่า งานที่เราทำอยู่ในขณะนี้มีเหตุผลในการทำงานอย่างไร ทุกคนจะเอาตามใจชอบไม่ได้หรอกครับ ในการทำงาน และตัวผมเองจะมานึกเอาตามใจชอบไม่ได้ ต้องดูภาพรวมและข้อจำกัดในเรื่องต่าง ๆ ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ เป็นอย่างไร ไม่บังคับให้ทนหรอกครับ ถ้าไม่อยากทนอยู่ก็ไม่ต้องอยู่ และคงจะไม่คุยถ้าเป็นเรื่องของที่ปรึกษาหรือคณะทำงานของรัฐมนตรี แต่จะคุยกับรัฐมนตรีว่า ถ้าใครไม่สมัครใจทำงาน ก็ไม่ต้องให้ทำงาน ผมจะทำงานกับผู้สมัครใจ
นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ได้คุยกับนายศักดิ์สยามแล้วท่านบอกว่าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น เป็นเพียงการหยอกล้อสื่อมวลชนเท่านั้น ขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลยังคงร่วมกันแก้ปัญหาประเทศ