เอเอฟพี – สหรัฐฯ กำลังพ่ายแพ้ในสนามสู้รบกับเส้นรอบเอวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีรายงานระบุวานนี้ (1) ว่า ปัจจุบันชาวอเมริกันถึงราวสองในสามมีน้ำหนักตัวสูงเกินกำหนด หรือกระทั่งเป็นโรคอ้วน
ทั้งนี้เป็นรายงานประจำปีครั้งที่ 6 ชื่อ "F as in Fat" ซึ่งจัดโดยกองทุนเพื่อสุขภาพแห่งอเมริการ่วมกับมูลนิธิรอเบิร์ต วู้ด จอห์นสัน ซึ่งระบุว่า ในปีที่แล้ว ประชากรในสหรัฐฯ เกือบ 25 รัฐมีอัตราการเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้น และไม่มีรัฐใดเลยที่พบว่ามีจำนวนคนเป็นโรคอ้วนลดลง
โรคอ้วนเป็นภาวะที่ค่าดัชนีมวลกายของบุคคลหนึ่งสูงกว่า 30 โดยมีวิธีคำนวณดัชนีมวลกายจากการหารน้ำหนักตัวในหน่วยกิโลกรัม ด้วยกำลังสองของส่วนสูงของเขาในหน่วยเมตร
รายงานระบุด้วยว่า “ประเทศไม่สามารถที่จะคงอัตราโรคเรื้อรังและค่ารักษาพยาบาลไว้เช่นนี้ จนกว่าเราจะหาวิธีทำให้ชาวอเมริกันมีสุขภาพดีขึ้นกว่าเดิม” ปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลในสหรัฐฯ มากกว่าหนึ่งในสี่มาจากปัญหาเกี่ยวข้องกับโรคอ้วน และยังขยับเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าตัวในทุกๆ ทศวรรษ โดยคาดว่าจะสูงถึง 956,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีในปี 2030 ซึ่งหมายความว่าค่ารักษาพยาบาลทุกๆ หนึ่งในหกดอลลาร์เป็นการใช้จ่ายเกี่ยวกับโรคอ้วน
นอกจากนั้น รายงานยังอ้างถึงผลวิจัยอื่นๆ ที่ระบุว่าคนทำงานที่เป็นโรคอ้วนจะมีการหยุดงานสูงกว่าคนทำงานที่มีน้ำหนักปกติถึง 10 เท่าตัว
มิสซิสซิปปีเป็นรัฐที่มีจำนวนผู้เป็นโรคอ้วนมากที่สุดติดต่อกันมาห้าปีแล้ว โดยมีผู้ใหญ่ราวหนึ่งในสาม และเด็กในช่วงวัย 10-17 ปี ราว 44 เปอร์เซ็นต์ กำลังป่วยเป็นโรคอ้วน และส่งผลให้รัฐนี้มีอัตราผู้ที่ไม่ออกกำลังกายและป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงมากที่สุด และเป็นรัฐที่มีผู้ป่วยเบาหวานมากเป็นอันดับสองของประเทศ
ทั้งนี้รายงานยังได้ระบุสาเหตุของแนวโน้มดังกล่าวว่าเกิดจากหลายตัวแปรด้วยกัน เช่น คนอเมริกันบริโภคอาหารที่มีปริมาณพลังงานสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 300 แคลอรีต่อวัน ซึ่งเป็นพฤติกรรมแตกต่างจากเมื่อ 25 ปีก่อน นอกจากนั้น พวกเขายังรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการน้อย และไม่ชอบเดิน แต่นิยมขับรถยนต์ไปไหนต่อไหนแม้ว่าจะเป็นระยะทางสั้นๆ ก็ตาม
ส่วนโรคอ้วนในเด็กเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่มีคุณค่า ไม่ออกกำลังกายกลางแจ้ง ใช้เวลาดูโทรทัศน์ เล่นคอมพิวเตอร์ หรือเกมต่างๆ มากไป ทำให้เด็กเสียเวลาและขาดความกระตือรือร้น เด็กอ้วนเหล่านี้ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคหัวใจ มีระดับโคเลสเตอรอลสูง และเป็นเบาหวาน อีกทั้งมีแนวโน้มจะอายุสั้นกว่าคนรุ่นพ่อแม่ด้วย
ทั้งนี้เป็นรายงานประจำปีครั้งที่ 6 ชื่อ "F as in Fat" ซึ่งจัดโดยกองทุนเพื่อสุขภาพแห่งอเมริการ่วมกับมูลนิธิรอเบิร์ต วู้ด จอห์นสัน ซึ่งระบุว่า ในปีที่แล้ว ประชากรในสหรัฐฯ เกือบ 25 รัฐมีอัตราการเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้น และไม่มีรัฐใดเลยที่พบว่ามีจำนวนคนเป็นโรคอ้วนลดลง
โรคอ้วนเป็นภาวะที่ค่าดัชนีมวลกายของบุคคลหนึ่งสูงกว่า 30 โดยมีวิธีคำนวณดัชนีมวลกายจากการหารน้ำหนักตัวในหน่วยกิโลกรัม ด้วยกำลังสองของส่วนสูงของเขาในหน่วยเมตร
รายงานระบุด้วยว่า “ประเทศไม่สามารถที่จะคงอัตราโรคเรื้อรังและค่ารักษาพยาบาลไว้เช่นนี้ จนกว่าเราจะหาวิธีทำให้ชาวอเมริกันมีสุขภาพดีขึ้นกว่าเดิม” ปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลในสหรัฐฯ มากกว่าหนึ่งในสี่มาจากปัญหาเกี่ยวข้องกับโรคอ้วน และยังขยับเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าตัวในทุกๆ ทศวรรษ โดยคาดว่าจะสูงถึง 956,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีในปี 2030 ซึ่งหมายความว่าค่ารักษาพยาบาลทุกๆ หนึ่งในหกดอลลาร์เป็นการใช้จ่ายเกี่ยวกับโรคอ้วน
นอกจากนั้น รายงานยังอ้างถึงผลวิจัยอื่นๆ ที่ระบุว่าคนทำงานที่เป็นโรคอ้วนจะมีการหยุดงานสูงกว่าคนทำงานที่มีน้ำหนักปกติถึง 10 เท่าตัว
มิสซิสซิปปีเป็นรัฐที่มีจำนวนผู้เป็นโรคอ้วนมากที่สุดติดต่อกันมาห้าปีแล้ว โดยมีผู้ใหญ่ราวหนึ่งในสาม และเด็กในช่วงวัย 10-17 ปี ราว 44 เปอร์เซ็นต์ กำลังป่วยเป็นโรคอ้วน และส่งผลให้รัฐนี้มีอัตราผู้ที่ไม่ออกกำลังกายและป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงมากที่สุด และเป็นรัฐที่มีผู้ป่วยเบาหวานมากเป็นอันดับสองของประเทศ
ทั้งนี้รายงานยังได้ระบุสาเหตุของแนวโน้มดังกล่าวว่าเกิดจากหลายตัวแปรด้วยกัน เช่น คนอเมริกันบริโภคอาหารที่มีปริมาณพลังงานสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 300 แคลอรีต่อวัน ซึ่งเป็นพฤติกรรมแตกต่างจากเมื่อ 25 ปีก่อน นอกจากนั้น พวกเขายังรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการน้อย และไม่ชอบเดิน แต่นิยมขับรถยนต์ไปไหนต่อไหนแม้ว่าจะเป็นระยะทางสั้นๆ ก็ตาม
ส่วนโรคอ้วนในเด็กเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่มีคุณค่า ไม่ออกกำลังกายกลางแจ้ง ใช้เวลาดูโทรทัศน์ เล่นคอมพิวเตอร์ หรือเกมต่างๆ มากไป ทำให้เด็กเสียเวลาและขาดความกระตือรือร้น เด็กอ้วนเหล่านี้ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคหัวใจ มีระดับโคเลสเตอรอลสูง และเป็นเบาหวาน อีกทั้งมีแนวโน้มจะอายุสั้นกว่าคนรุ่นพ่อแม่ด้วย