เอเอฟพี – กองกำลังอิรักเข้าควบคุมพื้นที่เขตเมืองใหญ่น้อยต่างๆ ทั่วประเทศอย่างเป็นทางการวันแรกวานนี้ (1) หลังจากที่ทหารสหรัฐฯ ถอนกำลังออกไปตามข้อตกลงถอนทหารที่ลงนามกันเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว แต่แล้วก็ถูกท้าทายด้วยเหตุระเบิดรถยนต์กลางตลาดในเมืองเคอร์คุก ทำให้มีผู้เสียชีวิต 33 คน และบาดเจ็บอีกเกือบร้อยคน
ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ ซึ่งคัดค้านการบุกยึดอิรักเมื่อปี 2003 ได้กล่าวถึงการถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอิรักว่าเป็น “หลักหมายสำคัญ” แต่ก็เตือนด้วยว่าภายหลังการถอนทหารอาจมีเหตุรุนแรงและเหตุนองเลือดเกิดขึ้น
ทั้งนี้ ในวันอันเป็นหลักหมายสำคัญซึ่งรัฐบาลอิรักประกาศให้เป็นวันหยุดเพื่อจัดเฉลิมฉลอง ได้เกิดเหตุระเบิดรถยนต์ที่กลางตลาดในเมืองเคอร์คุก ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจน้ำมันของอิรักและเป็นพื้นที่ซึ่งมีปัญหาความขัดแย้งกับชนกลุ่มน้อยด้วย แรงระเบิดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่คนพลุกพล่านส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 33 คน และบาดเจ็บอีก 92 คน โดยผู้เคราะห์ร้ายมีทั้งผู้หญิงและเด็ก
ทางด้านนายกรัฐมนตรีนูรี อัลมาลิกีแห่งอิรัก ได้ตอบโต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์กองทัพและตำรวจของอิรัก โดยเขากล่าวว่าทหารตำรวจอิรักนั้นมีความสามารถที่จะรับมอบภารกิจจากกองกำลังสหรัฐฯได้
“ผมถือว่าเป็นการดูถูกชาวอิรัก คนที่พูดว่ากองกำลังต่างชาติไม่มีวันถอนทหารออกไป และจะคงฐานทัพไว้ที่นี่เป็นการถาวรนั้น คือคนที่กำลังเปิดไฟเขียวให้พวกผู้ก่อการร้ายเข้ามาฆ่าประชาชน”
อัลมาลิกีเคยเตือนตั้งแต่เดือนที่แล้วว่า กลุ่มก่อการร้ายและกองกำลังต่างๆ มีแนวโน้มจะเพิ่มการโจมตีอิรักในช่วงราววันที่ 30 มิถุนายน เพื่อบ่อนทำลายความเชื่อมั่นต่อกองกำลังรักษาความมั่นคงของอิรัก ทั้งๆ ที่โดยภาพรวมแล้วเกิดเหตุโจมตีในอิรักน้อยลงกว่าเดิม เมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา ก็ได้เหตุโจมตีครั้งรุนแรงที่สุดในเมืองเคอร์คุก มีผู้เสียชีวิตถึง 72 คน
นอกจากเหตุร้ายที่เคอร์คุกแล้ว ในส่วนของสหรัฐฯเอง ปรากฏว่ามีทหาร 4 คนเสียชีวิตจากการบาดเจ็บในระหว่างสู้รบเมื่อวันจันทร์ (29) ทำให้มีจำนวนทหารที่เสียชีวิตนับตั้งแต่เข้าบุกยึดอิรักในปี 2003 รวมทั้งสิ้น 4,321 คน
“ต่อไปคงมีปัญหายุ่งยากอีกมาก เรารู้แล้วว่าจะเกิดเหตุรุนแรงในอิรักต่อไปอีก เห็นได้จากเหตุระเบิดอย่างไร้เหตุผลที่เกิดขึ้นในเมืองเคอร์คุกในวันนี้” โอบามากล่าวที่ทำเนียบขาว
“แต่นี่เป็นจังหวะก้าวที่สำคัญ ในฐานะที่อิรักเป็นประเทศที่มีเอกภาพและอธิปไตย อิรักจะสามารถควบคุมดูแลชะตากรรมของตนเอง”
ทั้งนี้ โอบามาได้ขอให้โจ ไบเดน รองประธานาธิบดี เป็นผู้ดูแลเรื่องการถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอิรัก รวมทั้งการส่งเสริมความสมานฉันท์ทางการเมืองภายในอิรักด้วย
สำหรับ รอเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอังคาร (30) ว่า เขาคาดว่าจะมี “การโจมตีในลักษณะกระจายตามที่ต่างๆ” เพราะกลุ่มอัลกออิดะห์ “จะเพิ่มระดับความรุนแรงเพื่อพยายามสร้างสถานการณ์ว่าสามารถกดดันพวกเราออกนอกเมืองได้แล้ว” และแสดงให้เห็นว่ากองกำลังของอิรักมีความอ่อนแอ
พลเอกเรย์ โอดิเอร์โน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสหรัฐฯ ในอิรัก ระบุว่าสหรัฐฯ จะยังคงกองกำลังไว้จำนวนหนึ่งในเขตเมืองต่างๆ เพื่อฝึกอบรมและเป็นที่ปรึกษาให้กับทหารอิรัก แต่เขาปฏิเสธที่จะระบุจำนวนทหารที่แน่นอน โดยอ้างว่า “ตัวเลขจะเปลี่ยนแปลงทุกวัน”
ปัจจุบันมีทหารสหรัฐฯ ประจำการอยู่ในอิรัก 133,000 นาย และสหรัฐฯ จะถอนทหารออกจากอิรักได้เสร็จสิ้นในปลายปี 2011
ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ ซึ่งคัดค้านการบุกยึดอิรักเมื่อปี 2003 ได้กล่าวถึงการถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอิรักว่าเป็น “หลักหมายสำคัญ” แต่ก็เตือนด้วยว่าภายหลังการถอนทหารอาจมีเหตุรุนแรงและเหตุนองเลือดเกิดขึ้น
ทั้งนี้ ในวันอันเป็นหลักหมายสำคัญซึ่งรัฐบาลอิรักประกาศให้เป็นวันหยุดเพื่อจัดเฉลิมฉลอง ได้เกิดเหตุระเบิดรถยนต์ที่กลางตลาดในเมืองเคอร์คุก ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจน้ำมันของอิรักและเป็นพื้นที่ซึ่งมีปัญหาความขัดแย้งกับชนกลุ่มน้อยด้วย แรงระเบิดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่คนพลุกพล่านส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 33 คน และบาดเจ็บอีก 92 คน โดยผู้เคราะห์ร้ายมีทั้งผู้หญิงและเด็ก
ทางด้านนายกรัฐมนตรีนูรี อัลมาลิกีแห่งอิรัก ได้ตอบโต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์กองทัพและตำรวจของอิรัก โดยเขากล่าวว่าทหารตำรวจอิรักนั้นมีความสามารถที่จะรับมอบภารกิจจากกองกำลังสหรัฐฯได้
“ผมถือว่าเป็นการดูถูกชาวอิรัก คนที่พูดว่ากองกำลังต่างชาติไม่มีวันถอนทหารออกไป และจะคงฐานทัพไว้ที่นี่เป็นการถาวรนั้น คือคนที่กำลังเปิดไฟเขียวให้พวกผู้ก่อการร้ายเข้ามาฆ่าประชาชน”
อัลมาลิกีเคยเตือนตั้งแต่เดือนที่แล้วว่า กลุ่มก่อการร้ายและกองกำลังต่างๆ มีแนวโน้มจะเพิ่มการโจมตีอิรักในช่วงราววันที่ 30 มิถุนายน เพื่อบ่อนทำลายความเชื่อมั่นต่อกองกำลังรักษาความมั่นคงของอิรัก ทั้งๆ ที่โดยภาพรวมแล้วเกิดเหตุโจมตีในอิรักน้อยลงกว่าเดิม เมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา ก็ได้เหตุโจมตีครั้งรุนแรงที่สุดในเมืองเคอร์คุก มีผู้เสียชีวิตถึง 72 คน
นอกจากเหตุร้ายที่เคอร์คุกแล้ว ในส่วนของสหรัฐฯเอง ปรากฏว่ามีทหาร 4 คนเสียชีวิตจากการบาดเจ็บในระหว่างสู้รบเมื่อวันจันทร์ (29) ทำให้มีจำนวนทหารที่เสียชีวิตนับตั้งแต่เข้าบุกยึดอิรักในปี 2003 รวมทั้งสิ้น 4,321 คน
“ต่อไปคงมีปัญหายุ่งยากอีกมาก เรารู้แล้วว่าจะเกิดเหตุรุนแรงในอิรักต่อไปอีก เห็นได้จากเหตุระเบิดอย่างไร้เหตุผลที่เกิดขึ้นในเมืองเคอร์คุกในวันนี้” โอบามากล่าวที่ทำเนียบขาว
“แต่นี่เป็นจังหวะก้าวที่สำคัญ ในฐานะที่อิรักเป็นประเทศที่มีเอกภาพและอธิปไตย อิรักจะสามารถควบคุมดูแลชะตากรรมของตนเอง”
ทั้งนี้ โอบามาได้ขอให้โจ ไบเดน รองประธานาธิบดี เป็นผู้ดูแลเรื่องการถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอิรัก รวมทั้งการส่งเสริมความสมานฉันท์ทางการเมืองภายในอิรักด้วย
สำหรับ รอเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอังคาร (30) ว่า เขาคาดว่าจะมี “การโจมตีในลักษณะกระจายตามที่ต่างๆ” เพราะกลุ่มอัลกออิดะห์ “จะเพิ่มระดับความรุนแรงเพื่อพยายามสร้างสถานการณ์ว่าสามารถกดดันพวกเราออกนอกเมืองได้แล้ว” และแสดงให้เห็นว่ากองกำลังของอิรักมีความอ่อนแอ
พลเอกเรย์ โอดิเอร์โน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสหรัฐฯ ในอิรัก ระบุว่าสหรัฐฯ จะยังคงกองกำลังไว้จำนวนหนึ่งในเขตเมืองต่างๆ เพื่อฝึกอบรมและเป็นที่ปรึกษาให้กับทหารอิรัก แต่เขาปฏิเสธที่จะระบุจำนวนทหารที่แน่นอน โดยอ้างว่า “ตัวเลขจะเปลี่ยนแปลงทุกวัน”
ปัจจุบันมีทหารสหรัฐฯ ประจำการอยู่ในอิรัก 133,000 นาย และสหรัฐฯ จะถอนทหารออกจากอิรักได้เสร็จสิ้นในปลายปี 2011