ต้องยอมรับว่าการแสดงท่าทีเชิญ วีระ มุสิกพงศ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงมาเป็นพิธีกรในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” เป็น “เกม” ที่น่าจับตา เป็นอย่างยิ่ง และอาจถือว่าเป็นเกมรุกของฝ่ายรัฐบาลเป็นครั้งแรกๆที่มีต่อฝ่ายของ นช.ทักษิณ ชินวัตร
รู้ดีว่าการแสดงท่าทีเอ่ยปากเชิญชวน วีระ หรือใครก็ตามที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดงมาเป็นพิธีกรในรายการดังกล่าวจะสร้างความกระอักกระอ่วนไม่น้อยให้กับกลุ่มคนพวกนี้ เพราะจะทำให้สังคมมองว่ารัฐบาลและ นายกรัฐมนตรีเปิดกว้างให้กับกับทุกฝ่าย แม้กระทั่งกลุ่มที่มีความเห็นแตกต่างกัน
และยิ่งมีการแสดงท่าทีว่าจะไม่มีการปิดกั้นคำถาม เปิดไฟเขียวให้เต็มที่ก็ยิ่งได้รับการชื่นชม
ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้ามฝ่ายเสื้อแดง หากปฏิเสธก็เท่ากับว่าไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น ดีแต่ตั้งเวทีด่าคนอื่นอยู่ข้างเดียว แต่พอเขาเชิญมาให้ซักถามข้อสงสัยกลับ “หัวหด” ไม่กล้ามาเผชิญหน้า อะไรประมาณนี้
อย่างไรก็ดีหากให้พิจารณาตามความเป็นจริงเชื่อว่าฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะ “สตาร์ฟ” ของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงประเมินเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าผลจะต้องออกมาเป็นแบบนี้
นั่นคือรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า วีระ ต้องปฏิเสธแน่นอน และทุกอย่างก็เป็นไปตามคาด เพราะล่าสุด จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดงอีกคนก็ได้ออกมาแถลงแทนแล้วว่าปฏิเสธคำเชิญเป็นพิธีกร โดยอ้างเหตุผลต่างๆนานา
หากให้แยกพิจารณาเฉพาะกรณีก็ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่านาทีนี้ระดับการใช้สำนวนโวหารของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หาใครมาเทียบเทียมยาก โดยเฉพาะประเด็นการตอบคำถามอาจเรียกได้ว่าเข้าขั้นระดับ “เทพ” เลยก็ว่าได้
ที่ผ่านมาหากจำกันได้ในสมัยหนึ่งนักเล่าข่าวทางโทรทัศน์ชื่อดังอย่าง สรยุทธ์ สุทัศนจินดา ที่ได้ชื่อว่าชอบตั้งคำถามรุกเร้าผู้ที่มาร่วมรายการจนหลายคนเข็ดขยาด ไม่กล้ามาออกรายการด้วย แต่สำหรับคนอย่าง อภิสิทธิ์ กลับตรงกันข้าม เพราะเขาคุมประเด็นได้อย่างดียิ่ง ไม่ยอมให้ถูกต้อน จนมุมกลางอากาศ
ในทางตรงข้ามกลับกลายเป็นว่าฝ่ายที่รุกไล่สอนมวยกลายเป็น อภิสิทธิ์ นั่นแหละ แต่อย่างไรก็ตามนั่นเป็นความสามารถเฉพาะตัว ลอกเลียนแบบกันไม่ได้
ส่วนอีกด้านหนึ่งหากมองในมุมของฝ่าย “หัวขวด” วีระ บ้าง ย่อมรู้ดีว่าหากไปเป็นพิธีกรในรายการก็เท่ากับว่า “ฆ่าตัวเอง” และพวกพ้องรวมไปถึง “นายใหญ่” อย่าง นช.ทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย
เพราะประเด็นสำคัญที่จะต้องถูกนำมากล่าวถึงก็ล้วนแต่ “ร้อนๆ” ทั้งสิ้น ทั้งเรื่องคดีความของ ทักษิณ การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง หรือแม้แต่ประเด็นล่าสุดคือเรื่องการล่าชื่อถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษที่กำลังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอยู่ในขณะนี้ก็จะถูกหยิบยกมาพูดถึงแน่นอน ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
แต่ต้องไม่ลืมกันคือการมาเป็นพิธีกรก็คือทำหน้าที่มาถามไม่ใช่ให้มาพูด ดังนั้นก็น่าจะคาดเดาเอาไว้ล่วงหน้าฝ่ายไหนน่าจะต้อง “ร่วง” คาเวที
เมื่อมองในภาพรวมทั้งหมดแล้วปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือเกมที่ฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯอภิสิทธิ์ รวมไปถึงทีมงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่มี สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รวมอยู่ด้วยเป็นคนกำหนดขึ้นมา เพื่อรุกเข้าใส่ฝ่ายเสื้อแดง โดยมีการคาดเดาถึงคำตอบที่ทราบล่วงหน้าอยู่แล้วว่าผลจะออกมาอย่างไร
หลายคนก็มองเห็นเช่นเดียวกันว่านี่คือกลยุทธ์ด้านการตลาด สร้างภาพสมานฉันท์ในสังคม เพื่อหวังผลทางการเมืองเท่านั้น
แม้ว่าอีกมุมหนึ่งอาจเป็นความปรารถนาดีต้องการเปิดกว้างให้กับทุกฝ่ายแม้แต่ฝ่ายที่คิดเห็นตรงกันข้ามก็ยังให้โอกาสมาซักถามพูดคุย แต่ความหมายในตัวของมันเองก็คือภาพในเชิงบวกของฝ่ายที่เชิญ นั่นเอง
ทั้งที่ตามหลักการในฐานะผู้นำรัฐบาลก็ต้องควบคุมหรืออำนวยความสะดวกให้ข้อข้องใจหรือคดีความต่างๆดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรมอย่างโปร่งใส และรวดเร็วตรงไปตรงมา
เพราะไม่เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ที่จะถูกแปรเจตนาของ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่าเป็นเกมสร้างภาพทางการตลาด หรือเพื่อเพิ่มเรตติ้งรายการตัวเอง เนื่องจากเมื่อ วีระ มุสิกพงศ์ ปฏิเสธ ก็หันมาทำท่าจะเชิญ สนธิ ลิ้มทองกุล ไปเป็นพิธีกร ตั้งคำถาม
กลายเป็นว่า เมื่อ “แดง” ไม่มา ก็เชิญ “เหลือง” ก็แล้วกัน !!
รู้ดีว่าการแสดงท่าทีเอ่ยปากเชิญชวน วีระ หรือใครก็ตามที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดงมาเป็นพิธีกรในรายการดังกล่าวจะสร้างความกระอักกระอ่วนไม่น้อยให้กับกลุ่มคนพวกนี้ เพราะจะทำให้สังคมมองว่ารัฐบาลและ นายกรัฐมนตรีเปิดกว้างให้กับกับทุกฝ่าย แม้กระทั่งกลุ่มที่มีความเห็นแตกต่างกัน
และยิ่งมีการแสดงท่าทีว่าจะไม่มีการปิดกั้นคำถาม เปิดไฟเขียวให้เต็มที่ก็ยิ่งได้รับการชื่นชม
ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้ามฝ่ายเสื้อแดง หากปฏิเสธก็เท่ากับว่าไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น ดีแต่ตั้งเวทีด่าคนอื่นอยู่ข้างเดียว แต่พอเขาเชิญมาให้ซักถามข้อสงสัยกลับ “หัวหด” ไม่กล้ามาเผชิญหน้า อะไรประมาณนี้
อย่างไรก็ดีหากให้พิจารณาตามความเป็นจริงเชื่อว่าฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะ “สตาร์ฟ” ของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงประเมินเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าผลจะต้องออกมาเป็นแบบนี้
นั่นคือรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า วีระ ต้องปฏิเสธแน่นอน และทุกอย่างก็เป็นไปตามคาด เพราะล่าสุด จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดงอีกคนก็ได้ออกมาแถลงแทนแล้วว่าปฏิเสธคำเชิญเป็นพิธีกร โดยอ้างเหตุผลต่างๆนานา
หากให้แยกพิจารณาเฉพาะกรณีก็ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่านาทีนี้ระดับการใช้สำนวนโวหารของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หาใครมาเทียบเทียมยาก โดยเฉพาะประเด็นการตอบคำถามอาจเรียกได้ว่าเข้าขั้นระดับ “เทพ” เลยก็ว่าได้
ที่ผ่านมาหากจำกันได้ในสมัยหนึ่งนักเล่าข่าวทางโทรทัศน์ชื่อดังอย่าง สรยุทธ์ สุทัศนจินดา ที่ได้ชื่อว่าชอบตั้งคำถามรุกเร้าผู้ที่มาร่วมรายการจนหลายคนเข็ดขยาด ไม่กล้ามาออกรายการด้วย แต่สำหรับคนอย่าง อภิสิทธิ์ กลับตรงกันข้าม เพราะเขาคุมประเด็นได้อย่างดียิ่ง ไม่ยอมให้ถูกต้อน จนมุมกลางอากาศ
ในทางตรงข้ามกลับกลายเป็นว่าฝ่ายที่รุกไล่สอนมวยกลายเป็น อภิสิทธิ์ นั่นแหละ แต่อย่างไรก็ตามนั่นเป็นความสามารถเฉพาะตัว ลอกเลียนแบบกันไม่ได้
ส่วนอีกด้านหนึ่งหากมองในมุมของฝ่าย “หัวขวด” วีระ บ้าง ย่อมรู้ดีว่าหากไปเป็นพิธีกรในรายการก็เท่ากับว่า “ฆ่าตัวเอง” และพวกพ้องรวมไปถึง “นายใหญ่” อย่าง นช.ทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย
เพราะประเด็นสำคัญที่จะต้องถูกนำมากล่าวถึงก็ล้วนแต่ “ร้อนๆ” ทั้งสิ้น ทั้งเรื่องคดีความของ ทักษิณ การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง หรือแม้แต่ประเด็นล่าสุดคือเรื่องการล่าชื่อถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษที่กำลังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอยู่ในขณะนี้ก็จะถูกหยิบยกมาพูดถึงแน่นอน ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
แต่ต้องไม่ลืมกันคือการมาเป็นพิธีกรก็คือทำหน้าที่มาถามไม่ใช่ให้มาพูด ดังนั้นก็น่าจะคาดเดาเอาไว้ล่วงหน้าฝ่ายไหนน่าจะต้อง “ร่วง” คาเวที
เมื่อมองในภาพรวมทั้งหมดแล้วปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือเกมที่ฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯอภิสิทธิ์ รวมไปถึงทีมงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่มี สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รวมอยู่ด้วยเป็นคนกำหนดขึ้นมา เพื่อรุกเข้าใส่ฝ่ายเสื้อแดง โดยมีการคาดเดาถึงคำตอบที่ทราบล่วงหน้าอยู่แล้วว่าผลจะออกมาอย่างไร
หลายคนก็มองเห็นเช่นเดียวกันว่านี่คือกลยุทธ์ด้านการตลาด สร้างภาพสมานฉันท์ในสังคม เพื่อหวังผลทางการเมืองเท่านั้น
แม้ว่าอีกมุมหนึ่งอาจเป็นความปรารถนาดีต้องการเปิดกว้างให้กับทุกฝ่ายแม้แต่ฝ่ายที่คิดเห็นตรงกันข้ามก็ยังให้โอกาสมาซักถามพูดคุย แต่ความหมายในตัวของมันเองก็คือภาพในเชิงบวกของฝ่ายที่เชิญ นั่นเอง
ทั้งที่ตามหลักการในฐานะผู้นำรัฐบาลก็ต้องควบคุมหรืออำนวยความสะดวกให้ข้อข้องใจหรือคดีความต่างๆดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรมอย่างโปร่งใส และรวดเร็วตรงไปตรงมา
เพราะไม่เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ที่จะถูกแปรเจตนาของ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่าเป็นเกมสร้างภาพทางการตลาด หรือเพื่อเพิ่มเรตติ้งรายการตัวเอง เนื่องจากเมื่อ วีระ มุสิกพงศ์ ปฏิเสธ ก็หันมาทำท่าจะเชิญ สนธิ ลิ้มทองกุล ไปเป็นพิธีกร ตั้งคำถาม
กลายเป็นว่า เมื่อ “แดง” ไม่มา ก็เชิญ “เหลือง” ก็แล้วกัน !!