xs
xsm
sm
md
lg

การตั้งบริษัทลูกของ ร.ฟ.ท. : จุดเริ่มต้นแห่งการแปรรูป

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมา สหภาพแรงงานการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ทำการประท้วงรัฐบาลด้วยการหยุดเดินรถร้อยกว่าขบวน และเป็นเหตุให้ผู้โดยสารนับแสนคนได้รับความเดือดร้อน ทั้งการรถไฟฯ เองก็ได้รับความเสียหายจากการสูญเสียรายได้ประมาณ 5 ล้านบาท

แต่อย่างไรก็ตาม การประท้วงดังกล่าวได้ยุติลงในวันรุ่งขึ้น คือ วันที่ 24 มิถุนายน หลังจากที่ได้มีการเจรจากับพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ และได้คำตอบว่า จะมีการทบทวนมติ ครม.เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ตามที่สหภาพฯ ร้องขอ

อะไรคือเหตุให้สหภาพฯ ประท้วงมติ ครม.ดังกล่าว และถ้าปล่อยให้รัฐบาลดำเนินการโดยไม่มีการทบทวน จะมีผลกระทบในส่วนของพนักการการรถไฟฯ และประชาชนโดยรวมอย่างไร?

ในประเด็นแรกที่ว่า อะไรคือเหตุให้พนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยทำการประท้วงเข้าใจได้ไม่ยาก เพียงแต่นำรายละเอียดของมติ ครม.วันที่ 3 มิถุนายน 2552 มาศึกษา และทำการเปรียบเทียบกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในรัฐวิสาหกิจอื่น เช่น ปตท. เป็นต้น

มติ ครม.ในส่วนที่เป็นที่มาของความขัดแย้ง และก่อให้เกิดการประท้วงในข้อต่างๆ ดังต่อไปนี้

1. เห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ 1/2552 เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2552

2. อนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ดำเนินการตามที่ กนร. เสนอเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูทางการเงินของ ร.ฟ.ท.ดังนี้

2.1 ให้ปรับโครงสร้างการบริหารจัดการของ ร.ฟ.ท.โดยการจัดตั้งบริษัทเดินรถ และบริษัทบริหารทรัพย์สินแยกจาก ร.ฟ.ท.โดยให้ ร.ฟ.ท.ดำเนินการดังนี้

(1) จัดตั้งบริษัทลูก 2 บริษัท คือบริษัทเดินรถ และบริษัทบริหารทรัพย์สินที่ ร.ฟ.ท.ถือหุ้นร้อยละ 100 ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการ ทั้งนี้ให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดทุนจดทะเบียนเริ่มต้นที่เหมาะสม

(2) พิจารณาแบ่งแยกภารกิจสินทรัพย์ และหนี้สินระหว่าง ร.ฟ.ท.กับบริษัทลูกทั้ง 2 บริษัท รวมทั้งกำหนดกิจกรรมระหว่างกัน และราคาให้เหมาะสม และเสนอให้ กนร.หรือคณะรัฐมนตรีเห็นชอบอีกครั้งภายใน 150 วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการ

2.2 ให้ภาครัฐรับภาระการลงทุนโครงสร้างขั้นพื้นฐานในอนาคตของ ร.ฟ.ท.โดยให้กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณร่วมพิจารณาการรับภาระการลงทุนโครงสร้างขั้นพื้นฐานของ ร.ฟ.ท.

2.3 ให้กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณร่วมพิจารณาในการแก้ไขภาระหนี้สินของ ร.ฟ.ท.โดยใช้รายได้ของ ร.ฟ.ท.และบริษัทลูกจ่ายคืนเงินต้น และดอกเบี้ยที่กระทรวงการคลังช่วยเหลือ

2.4 ให้คณะกรรมการ ร.ฟ.ท.พิจารณาเสนอกรอบอัตรากำลัง กับยุทธศาสตร์ และแผนงานของ ร.ฟ.ท.ให้กระทรวงการคลังพิจารณาเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีทบทวนมติ ครม.เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ที่กำหนดให้ ร.ฟ.ท.งดรับพนักงานใหม่ที่เกี่ยวกับการเดินรถ และตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิพิเศษแต่ต้องไม่เกินร้อยละ 5 ของพนักงานที่เกษียณอายุ

2.5 ให้ ร.ฟ.ท.เร่งรัดเสนอแผนการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในกิจการของ ร.ฟ.ท.และบริษัทลูกภายใน 180 วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการ

2.6 นอกจากนี้ที่ประชุมได้มีข้อสังเกตเพิ่มเติมดังนี้

(1) เห็นควรให้บริษัทบริหารทรัพย์สินทำหน้าที่จัดหาเอกชนเพื่อพัฒนา และบริหารที่ดินของ ร.ฟ.ท.โดยบริษัทจะทำหน้าที่บริหารสัญญาเช่า (Management Agency) เท่านั้น และขอให้บริษัทระงับการพัฒนาไปสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Developer) อย่างเต็มรูปแบบในระยะที่ 2

(2) เห็นด้วยให้ ร.ฟ.ท.นำเสนอประมาณการทางการเงินที่ ร.ฟ.ท.จะใช้ในการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการของ ร.ฟ.ท.พร้อมกับโครงสร้างองค์การของบริษัทลูกทั้ง 2 แห่งเพิ่มเติม เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป

(3) ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาความชัดเจนของความรับผิดชอบในส่วนของการลงทุนระบบอาณัติสัญญาณ ว่าเป็นหน้าที่ของ ร.ฟ.ท.ที่ภาครัฐจะต้องเป็นผู้รับภาระหรือบริษัทเดินรถเป็นผู้รับภาระ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี

ทั้งหมดที่ยกมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมติ ครม.เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2552 และน่าจะเป็นส่วนที่เป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสหภาพแรงงานการรถไฟฯ กับรัฐบาลมากที่สุด ทั้งนี้น่าจะอนุมานโดยอาศัยปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้

1. การจัดตั้งบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจที่ผ่านมา เช่น ปตท. เป็นต้น จะจบลงด้วยการแปรรูป นำหุ้นส่วนหนึ่งออกขายให้เอกชนเข้ามาถือโดยผ่านทางตลาดหลักทรัพย์ฯ

ดังนั้นเมื่อ ร.ฟ.ท.ได้เดินเส้นทางเดียวกับ ปตท.จึงไม่มีเหตุห้ามมิให้พนักงาน ร.ฟ.ท.เข้าใจว่า ร.ฟ.ท.กำลังเป็นไปในทิศทางเดียวกับรัฐวิสาหกิจอื่นที่เริ่มต้นด้วยการตั้งบริษัทลูก และจบลงด้วยการแปรรูป

2. ความเข้าใจของพนักงาน ร.ฟ.ท.ใช่ว่าจะเกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอยไร้เหตุผล หรือเนื่องมาจากความกลัวการสูญเสียความเป็นรัฐวิสาหกิจเมื่อมีเอกชนเข้ามามีบทบาทในองค์กรด้วยการถือหุ้น หรือรับภาระในการบริหารกิจการขององค์กรในรูปของการได้รับสัมปทาน

แต่เกิดจากข้อความบางตอนในมติ ครม.เองที่ส่อเค้าว่าจะต้องเดินไปสู่ทิศทางการแปรรูปในที่สุด จะเห็นได้ในข้อ 2.2 ที่ว่าให้ภาครัฐรับภาระการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานซึ่งหมายถึงรางและอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการเดินรถ รวมไปถึงสถานีอันเป็นการเปิดช่องให้เอกชนเข้ามาลงทุนสัมปทานเดินรถโดยลงทุนตัวรถ ในทำนองเดียวกับรถไฟฟ้าของ รฟม.

นอกจากนี้ ในข้อ 2.6 (1) ก็ค่อนข้างจะส่อเค้าว่าเป็นการเปิดช่องให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในกิจการของบริษัทลูกที่ ร.ฟ.ท.ตั้งขึ้นแน่นอน

3. นอกจากการเปิดช่องให้เอกชนเข้ามามีส่วนบริหารจัดการในกิจการแล้ว ยังมีประเด็นที่ทำให้พนักงานมองเห็นการสูญเสียประโยชน์ และอำนาจการต่อรองจากการที่มติ ครม.เห็นชอบให้มีการลดจำนวนพนักงานลง ในส่วนของ ร.ฟ.ท.และเปิดทางให้บริษัทลูกมีบทบาทเพิ่มขึ้นซึ่งหมายถึงว่าถ้าเอกชนเข้ามามีส่วนในการจัดการมากขึ้นเท่าใด กำลังของพนักงานก็อ่อนลงมากเท่านั้น

ส่วนประเด็นว่า ถ้าปล่อยให้กิจการของ ร.ฟ.ท.เป็นไปตามมติ ครม.และสุดท้ายจบลงด้วยการแปรรูป ประชาชนโดยรวมได้รับผลกระทบอะไรหรือไม่นั้น มองเห็นได้ชัดเจนและทันทีก็คือ ราคาค่าโดยสารและบริการบรรทุกสิ่งของน่าจะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะเอกชนทำธุรกิจจะต้องมุ่งแสวงหากำไร

ถ้าต้องแบกรับราคาเพิ่มก็พอจะรับได้หากคุณภาพของการให้บริการดีขึ้นกว่าเดิม แต่ใครจะรับประกันในเรื่องนี้ เพราะการที่เอกชนเข้ามาดำเนินการก็มิได้หมายความว่าจะทำให้คุณภาพการให้บริการดีขึ้น ขอให้ดูรถร่วม ขสมก.เป็นตัวอย่าง ราคาแพงขึ้นแต่คุณภาพก็แตกต่างไปจากรถของ ขสมก.เอง

ด้วยเหตุนี้ ถ้ารถไฟฯ ไปอยู่ในมือของเอกชนภายใต้การดูแลของกระทรวงคมนาคมที่มักจะมีนักการเมืองเข้ามาแสวงหาประโยชน์ในทุกยุคทุกสมัย ใครจะรับประกันได้ว่าจะดีขึ้น

ดังนั้น จึงขอฝากไปถึงรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีว่า การตั้งบริษัทลูกของ ร.ฟ.ท.วันนี้ยังไม่มีการแปรรูป แต่กล้ารับประกันหรือไม่ว่าวันหน้าจะไม่มีการแปรรูปเหมือน ปตท.

กำลังโหลดความคิดเห็น