ASTVผู้จัดการรายวัน – “วิษณุ เทพเจริญ”เชื่อมคอนเน็กชั่น เดินเกมเข้าสู่ตลาดหุ้นทางอ้อมผ่านไทยเกรียง กรุ๊ปฯ ซื้อหุ้นเพิ่มทุนล็อตใหญ่ 6.5 พันล้านบาท กลายร่างเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ พร้อมทุ่มเงินกว่า 2.4 พันล้านซื้อโครงการอสังหาฯในพอร์ตบริษัท ณุศาศิริ แกรนด์ฯ และหรือบริษัท เค เอ็ม พีฯ หวังปลดภาระหนี้กับแบงก์กรุงไทยฯ ด้าน“ปริพล ธนสุกาญจน์” ฟุ้งภายใน 4 ปีปิดการขายโครงการหมด
ปรากฎการณ์ที่กลุ่มณุศาศิริเดินเกมครั้งใหม่ หลังจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเก็บตัวเงียบ เพื่อสะสางโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่กลุ่มณุศาศิริ บริษัทฯอสังหาฯที่เคลื่อนการลงทุนจากจ.อุดรธานีเข้าสู่กรุงเทพฯ ซึ่งเพียงไม่กี่ปี มีโครงการที่บริหารมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท มากกว่า 20 โครงการ แต่เมื่อสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับปัญหาทางด้านการเงิน ส่งผลให้กลุ่มณุศาศิริ ต้องดิ้นปรับตัวครั้งใหญ่ เช่น เร่งก่อสร้างโครงการเพื่อส่งมอบบ้านให้ลูกค้าได้ทันตามกำหนด การเจรจากับเจ้าหนี้รายใหญ่อย่างธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ถึงภาระหนี้สินจำนวนหลายพันล้านบาท
แต่สิ่งที่ “ช็อก”วงการอสังหาฯ ก็คือ การที่กลุ่มณุศาศิริสามารถประสบความสำเร็จในการเข้าจดทะเบียนทางอ้อมในตลาดหลักทรัพย์ ( แบ็คดอร์ ลิสติ้ง Backdoor Listing) ได้
ณุศาศิริฯหาเงินซื้อหุ้น‘ไทยเกรียง’
วานนี้ (18 มิ.ย.) นายปริพล ธนสุกาญจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเกรียง กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TDT) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อ 17 มิ.ย.52ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทลดทุนจดทะเบียนจาก 1,057,210,000 บาท เป็น 532,603,858 บาท และให้เพิ่มทุนจดทะเบียน 5,967,396,142 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เป็น 6,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทจะจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวนไม่เกิน 2,663,019,290 หุ้น เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 5 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 0.35 บาท และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวนไม่เกิน3,304,376,852 หุ้น เสนอขายให้แก่ บริษัท ณุศาศิริ แกรนด์ จำกัด (มหาชน) และ/หรือ บริษัท เค เอ็ม พี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในราคาหุ้นละ 0.35 บาท (อนึ่ง ทั้งสองบริษัท มีตระกูลเทพเจริญถือหุ้นใหญ่)
พร้อมทั้ง มีมติอนุมัติให้บริษัทซื้อทรัพย์สินราคาไม่เกิน 2,490 ล้านบาท จากบริษัทณุศาศิริ แกรนด์ฯ จำนวน 4 โครงการ และซื้อจาก เค เอ็ม พีฯ เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ 1 โครงการ เพื่อให้ปลอดภาระจำนอง
การชำระราคาค่าทรัพย์สินจะแยกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก ชำระเป็นเงินสดไม่เกิน 1,500 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินมัดจำ 100 ล้านบาท และเงินกู้จากสถาบันการเงินไม่เกิน 1,400 ล้านบาท, ส่วนที่สอง ชำระเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกเสนอขายให้แก่บริษัทณุศาศิริ แกรนด์ฯ และ/หรือบริษัทเค เอ็ม พีฯ จำนวนไม่เกิน 3,304,376,852 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.35 บาท หรือคิดเป็นมูลค่า ไม่เกิน 1,156,531,898 บาท
ทั้งนี้ หุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวได้รวมถึงหุ้นส่วนที่สำรองไว้สำหรับกรณีที่บริษัทขอเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินได้น้อยกว่ายอดหนี้คงค้างของ ณุศาศิริ แกรนด์ และ/หรือ บริษัท เค เอ็ม พีฯ มีต่อธนาคารกรุงไทย ทำให้ณุศาศิริ แกรนด์ และ/หรือ เค เอ็ม พีฯ ต้องเป็นฝ่ายชำระหนี้ส่วนต่างกับธนาคาร โดยบริษัทจะชำระคืนส่วนต่างให้เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนแทน
สำหรับทรัพย์สินซึ่งเป็นโครงการที่เข้าซื้อในครั้งนี้จาก ณุศาศิริ แกรนด์ ประกอบด้วย 1.โครงการณุศาศิริ แกรนด์ คอนโด (สุขุมวิท-เอกมัย) ตั้งอยู่ที่ปากซอยสุขุมวิท 42 เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า BTS เอกมัย กรุงเทพมหานคร โดยจะซื้อพื้นที่ส่วนพลาซ่าจำนวน 50 ยูนิต มีพื้นที่ทั้งหมด 4,816.32 ตร.ม. มีภาระจำนองกับธนาคารกรุงไทยสำหรับเงินกู้ยืมคงค้าง ประมาณ 30 ล้านบาท ราคาซื้อขาย 450 ล้านบาท (ราคาประเมิน 681.76 ล้านบาท ประเมินโดย บริษัท ฟาสท์ แอนด์ แฟร์ แวลูเอชั่น จำกัด ที่ได้รับความเห็นชอบจาก สำนักงานคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
2. โครงการณุศาศิริ สาทร-วงแหวน ตั้งอยู่ที่ ถนนกัลปพฤกษ์ แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร โดยจะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 7 แปลง มีพื้นที่ทั้งหมด 1,097.30 ตร.วา ไม่มีภาระผูกพัน ราคาซื้อขาย 75 ล้านบาท (ราคาประเมิน 91.36 ล้านบาท ประเมินโดย บริษัท ฟาสท์ แอนด์ แฟร์ แวลูเอชั่น จำกัด ที่ได้รับ ความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.)
3.โครงการณุศาศิริ สาทร-ปิ่นเกล้า ตั้งอยู่ที่ ถนนราชพฤกษ์ แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร โดยจะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 19 แปลง มีพื้นที่ทั้งหมด 2,962.80 ตร.วา มีภาระจำนองกับธนาคารธนชาต สำหรับวงเงินกู้ยืม ซึ่งไม่มียอดคงค้าง ราคาซื้อขาย 165 ล้านบาท (ราคา ประเมิน 198.20 ล้านบาท ประเมินโดย บริษัท ฟาสท์ แอนด์ แฟร์ แวลูเอชั่น จำกัด ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.)
4.โครงการณุศาศิริ พระราม 2 ตั้งอยู่ติดถนนพระราม 2 หรือถนนธนบุรี-ปากท่อ ตำบลบางน้ำจืด อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร และซอยแสมดำ 14 (ปู่หลวง) ถนนอบต. พันท้ายนรสิงห์ แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร โดยจะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งโครงการ มีพื้นที่ทั้งหมด 133,319.80 ตร.วา มีภาระจำนองกับธนาคารกรุงไทย สำหรับเงินกู้ยืมคงค้างประมาณ 1,200 ล้านบาท ราคาซื้อขาย 1,410 ล้านบาท (ราคาประเมิน 1,680.45 ล้านบาท ประเมินโดย บริษัท ฟาสท์ แอนด์ แฟร์ แวลูเอชั่น จำกัด ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.)
ส่วนโครงการที่ซื้อจาก เค เอ็ม พีฯ คือ โครงการบ้านกฤษณา พระราม 5-กาญจนาภิเษก ตั้งอยู่ที่ถนนกาญจนาภิเษก ตำบลบางคูเวียง (บางคูเวียงฝั่งเหนือ) อำเภอบางกรวย จ.นนทบุรี โดยจะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 125 แปลง มีพื้นที่ทั้งหมด 10,679.10 ตร.วา มีภาระจำนองกับธนาคารกรุงไทย สำหรับเงินกู้ยืมคงค้างประมาณ 200 ล้านบาท ราคาซื้อขาย 390 ล้านบาท (ราคาประเมิน 521.55 ล้านบาท ประเมินโดย บริษัท ฟาสท์ แอนด์ แฟร์ แวลูเอชั่น จำกัด ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.)
ทั้งนี้ หลังจากที่ ณุศาศิริ แกรนด์ และ/หรือ เค เอ็ม พีฯ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทแล้ว ทั้ง 2 บริษัทดังกล่าว มีภาระหน้าที่ในการทำคำเสนอซื้อ (Tender Offer) แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป และหลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนของการทำคำเสนอซื้อเรียบร้อยแล้ว บริษัทจะประกาศปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อพักการโอนหุ้นเพื่อให้สิทธิ Right Offering แก่ผู้ถือหุ้นเดิมต่อไป โดย ณุศาศิริ แกรนด์ และ/หรือ เค เอ็ม พีฯ จะสละสิทธิในหุ้นสามัญเพิ่มทุนนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นเดิมรักษาสัดส่วนการถือหุ้นของตนไว้
นอกจากนี้ ณุศาศิริ แกรนด์ และ/หรือ เค เอ็ม พีฯ และ/หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ และ/หรือกรรมการ และ/หรือบุคคลตามมาตรา 258 ของบุคคลดังกล่าวจะดำเนินการขจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (conflict of interest) โดยการเลิกประกอบธุรกิจแข่งขัน และ/หรือลาออกจากกรรมการ และ/หรือขายทรัพย์สินโครงการอสังหาฯ และ/หรือขายหุ้นที่มีอยู่ในบริษัท โดยจะขจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ให้หมดไปก่อนที่บริษัทจะได้รับอนุญาตให้กลับมาซื้อขายในหมวดปกติในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง
เชื่อ4 ปี ปิดการขายโครงการได้
นายปริพล กล่าวว่า หลังจากดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ทางบริษัทจะทำการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น "อั่งเปา แอสเสท" เนื่องจากอยากให้นักลงทุนต่างชาติในแถบเอเชียเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัทใหม่ จึงต้องเลือกที่เป็น Inter Asian ทั้งนี้คาดว่า บริษัทฯจะกลับเข้ามาซื้อขายในหมวดอสังหาฯได้ในไตรมาส 2 ปี 2553
" เราดูและศึกษาเลือกซื้อโครงการที่ไม่ใช่ที่ดินเปล่า แต่เป็นโครงการที่พัฒนาแล้วและพร้อมที่จะต่อยอดอีกนิดหน่อยก็ขายได้เลยภายใน 3 เดือน 6 เดือน และคาดว่าจะปิดโครงการได้ทั้งหมดภายใน 4 ปี นับจากวันที่เข้าร่วมธุรกิจกันคือปลายไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งตามประมาณการณ์คาดว่าปีนี้พลิกมาบวกทันที เพราะคนขายมีบ้านอยู่ในสต๊อกแล้ว พร้อมขาย"นายปริพล กล่าว
เก็บเงียบเจรจาเป็นปีก่อนทำ“แบ็คดอร์ฯ”
นายปริพล กล่าวว่า ทางบริษัทมีการเจรจากับทั้ง 2 บริษัทมาเป็นปี ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าซื้อสินทรัพย์ ซึ่งก่อนหน้านี้ มีหลายกลุ่มเสนอตัวเข้ามา ทั้งกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย แต่สุดท้ายก็มาลงตัวที่บริษัท ณุศาศิริฯ และเค เอ็ม พีฯ เพราะข้อเสนอและเงื่อนไขน่าสนใจที่สุด เนื่องจากขนาดโครงการไม่ใหญ่เกินไป หรือบางรายขนาดก็เล็กกินไปจนไม่เอื้อให้บริษัทกลับเข้ามาเทรดได้
"เรื่องนี้ ศึกษาดำเนินการกันมานานมาก เรามอง บริษัทพร๊อพเพอร์ตี้ที่เข้าข่ายสามารถร่วมทุนกับเราได้ แล้วก็มาลงตัวที่ 2 รายนี้ เนื่องจากมีธุรกิจที่ตรงกับความต้องการของเรา และทางผู้บริหารณุศาศิริก็อยากจะเข้าตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้วด้วย เราก็เสนอว่าก็มาเข้าผ่านไทยเกรียงฯ ก็ได้ โดยที่เราก็มีเงินสดเหลือ ทางนั้นก็มีสินทรัพย์ที่พร้อมจะสร้างรายได้ได้เลย จะเรียกว่าณุศาศิริ Backdoor Listing ก็ได้"นายปริพล กล่าว
นายปริพล กล่าวว่า ผู้ถือหุ้นจะต้องพอใจกับแผนลงทุนของบริษัท เนื่องจากเป็นทางเลือกสำคัญที่จะทำให้บริษัทสามารถจ่ายปันผลได้ก่อนเทรด หรือไม่ก็ทันทีหลังเทรด ตามนโยบายที่บริษัทกำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 60% ของกำไรสุทธิ
"เราต้องทำกำไรก่อน Resume Trade อยู่แล้ว เดี๋ยวขอดูกระแสเงิน ก่อน ถ้าพร้อมเราก็จะจ่ายปันผลทันทีตามนโยบายเดิม คือ ไม่ต่ำกว่า 60% ของกำไรสุทธิ"นายปริพล กล่าว
เล็งรีแบรนด์ดิ้งโครงการในพอร์ต
นายปริพล กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะรีแบรนด์ดิ้งเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านที่ซื้อมาจากเค เอ็ม พีฯ แล้วก็จะทำการตลาดใหม่ ส่วน 4 โครงการที่ซื้อจากณุศาศิริคงไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร เพราะยังมั่นใจว่า บ้านราคาระดับพรีเมียม 13-15 ล้านบาทขึ้นไปยังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่
นอกจากนี้ ในอนาคตมีแผนจะพัฒนาโครงการแนวราบหรือคอนโดฯโลว์ไรส์( Low Rise)ด้วย โดยปัจจุบันมีผู้มาเสนอขายที่ดินอย่างต่อเนื่อง แต่คงต้องรอพิจารณาความเหมาะสม
"ก่อนที่เราจะเข้าซื้อโครงการ เราศึกษาแล้วและเชื่อว่าตลาดยังไปได้ บ้านราคาระดับพรีเมียมยังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่"นายปริพล กล่าว
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ บริษัทณุศาศิริ กรุ๊ป ได้ร่วมทุนกับบริษัท ดีเวล เดวอลปเม้นท์ จำกัด โดยมีนายถวนันท์ ธเนศเดชสุนทร ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ ด้วยทุนจดทะเบียน 120 ล้านบาท เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยในเมือง โดยโครงการแรกได้นำที่ดินของครอบครัว "ธเนศเดชสุนทร" ในซ.สุขุมวิท 65 เนื้อที่กว่า 2 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดฯ โลว์ไรส์ ภายใต้ชื่อ "D'65 Condo" จำนวน 2 อาคาร
ทั้งนี้ นางอัมพาพันธ์ ธเนศเดชสุนทร เป็นภรรยาของพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ หรือบิ๊กจ๊อด อดีตประธานคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) และอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งขณะนี้ครอบครัวของ "ธเนศเดชสุนทร" จะผันมาทำธุรกิจอสังหาฯอย่างเต็มตัว.
ปรากฎการณ์ที่กลุ่มณุศาศิริเดินเกมครั้งใหม่ หลังจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเก็บตัวเงียบ เพื่อสะสางโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่กลุ่มณุศาศิริ บริษัทฯอสังหาฯที่เคลื่อนการลงทุนจากจ.อุดรธานีเข้าสู่กรุงเทพฯ ซึ่งเพียงไม่กี่ปี มีโครงการที่บริหารมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท มากกว่า 20 โครงการ แต่เมื่อสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับปัญหาทางด้านการเงิน ส่งผลให้กลุ่มณุศาศิริ ต้องดิ้นปรับตัวครั้งใหญ่ เช่น เร่งก่อสร้างโครงการเพื่อส่งมอบบ้านให้ลูกค้าได้ทันตามกำหนด การเจรจากับเจ้าหนี้รายใหญ่อย่างธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ถึงภาระหนี้สินจำนวนหลายพันล้านบาท
แต่สิ่งที่ “ช็อก”วงการอสังหาฯ ก็คือ การที่กลุ่มณุศาศิริสามารถประสบความสำเร็จในการเข้าจดทะเบียนทางอ้อมในตลาดหลักทรัพย์ ( แบ็คดอร์ ลิสติ้ง Backdoor Listing) ได้
ณุศาศิริฯหาเงินซื้อหุ้น‘ไทยเกรียง’
วานนี้ (18 มิ.ย.) นายปริพล ธนสุกาญจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเกรียง กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TDT) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อ 17 มิ.ย.52ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทลดทุนจดทะเบียนจาก 1,057,210,000 บาท เป็น 532,603,858 บาท และให้เพิ่มทุนจดทะเบียน 5,967,396,142 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เป็น 6,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทจะจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวนไม่เกิน 2,663,019,290 หุ้น เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 5 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 0.35 บาท และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวนไม่เกิน3,304,376,852 หุ้น เสนอขายให้แก่ บริษัท ณุศาศิริ แกรนด์ จำกัด (มหาชน) และ/หรือ บริษัท เค เอ็ม พี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในราคาหุ้นละ 0.35 บาท (อนึ่ง ทั้งสองบริษัท มีตระกูลเทพเจริญถือหุ้นใหญ่)
พร้อมทั้ง มีมติอนุมัติให้บริษัทซื้อทรัพย์สินราคาไม่เกิน 2,490 ล้านบาท จากบริษัทณุศาศิริ แกรนด์ฯ จำนวน 4 โครงการ และซื้อจาก เค เอ็ม พีฯ เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ 1 โครงการ เพื่อให้ปลอดภาระจำนอง
การชำระราคาค่าทรัพย์สินจะแยกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก ชำระเป็นเงินสดไม่เกิน 1,500 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินมัดจำ 100 ล้านบาท และเงินกู้จากสถาบันการเงินไม่เกิน 1,400 ล้านบาท, ส่วนที่สอง ชำระเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกเสนอขายให้แก่บริษัทณุศาศิริ แกรนด์ฯ และ/หรือบริษัทเค เอ็ม พีฯ จำนวนไม่เกิน 3,304,376,852 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.35 บาท หรือคิดเป็นมูลค่า ไม่เกิน 1,156,531,898 บาท
ทั้งนี้ หุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวได้รวมถึงหุ้นส่วนที่สำรองไว้สำหรับกรณีที่บริษัทขอเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินได้น้อยกว่ายอดหนี้คงค้างของ ณุศาศิริ แกรนด์ และ/หรือ บริษัท เค เอ็ม พีฯ มีต่อธนาคารกรุงไทย ทำให้ณุศาศิริ แกรนด์ และ/หรือ เค เอ็ม พีฯ ต้องเป็นฝ่ายชำระหนี้ส่วนต่างกับธนาคาร โดยบริษัทจะชำระคืนส่วนต่างให้เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนแทน
สำหรับทรัพย์สินซึ่งเป็นโครงการที่เข้าซื้อในครั้งนี้จาก ณุศาศิริ แกรนด์ ประกอบด้วย 1.โครงการณุศาศิริ แกรนด์ คอนโด (สุขุมวิท-เอกมัย) ตั้งอยู่ที่ปากซอยสุขุมวิท 42 เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า BTS เอกมัย กรุงเทพมหานคร โดยจะซื้อพื้นที่ส่วนพลาซ่าจำนวน 50 ยูนิต มีพื้นที่ทั้งหมด 4,816.32 ตร.ม. มีภาระจำนองกับธนาคารกรุงไทยสำหรับเงินกู้ยืมคงค้าง ประมาณ 30 ล้านบาท ราคาซื้อขาย 450 ล้านบาท (ราคาประเมิน 681.76 ล้านบาท ประเมินโดย บริษัท ฟาสท์ แอนด์ แฟร์ แวลูเอชั่น จำกัด ที่ได้รับความเห็นชอบจาก สำนักงานคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
2. โครงการณุศาศิริ สาทร-วงแหวน ตั้งอยู่ที่ ถนนกัลปพฤกษ์ แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร โดยจะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 7 แปลง มีพื้นที่ทั้งหมด 1,097.30 ตร.วา ไม่มีภาระผูกพัน ราคาซื้อขาย 75 ล้านบาท (ราคาประเมิน 91.36 ล้านบาท ประเมินโดย บริษัท ฟาสท์ แอนด์ แฟร์ แวลูเอชั่น จำกัด ที่ได้รับ ความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.)
3.โครงการณุศาศิริ สาทร-ปิ่นเกล้า ตั้งอยู่ที่ ถนนราชพฤกษ์ แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร โดยจะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 19 แปลง มีพื้นที่ทั้งหมด 2,962.80 ตร.วา มีภาระจำนองกับธนาคารธนชาต สำหรับวงเงินกู้ยืม ซึ่งไม่มียอดคงค้าง ราคาซื้อขาย 165 ล้านบาท (ราคา ประเมิน 198.20 ล้านบาท ประเมินโดย บริษัท ฟาสท์ แอนด์ แฟร์ แวลูเอชั่น จำกัด ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.)
4.โครงการณุศาศิริ พระราม 2 ตั้งอยู่ติดถนนพระราม 2 หรือถนนธนบุรี-ปากท่อ ตำบลบางน้ำจืด อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร และซอยแสมดำ 14 (ปู่หลวง) ถนนอบต. พันท้ายนรสิงห์ แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร โดยจะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งโครงการ มีพื้นที่ทั้งหมด 133,319.80 ตร.วา มีภาระจำนองกับธนาคารกรุงไทย สำหรับเงินกู้ยืมคงค้างประมาณ 1,200 ล้านบาท ราคาซื้อขาย 1,410 ล้านบาท (ราคาประเมิน 1,680.45 ล้านบาท ประเมินโดย บริษัท ฟาสท์ แอนด์ แฟร์ แวลูเอชั่น จำกัด ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.)
ส่วนโครงการที่ซื้อจาก เค เอ็ม พีฯ คือ โครงการบ้านกฤษณา พระราม 5-กาญจนาภิเษก ตั้งอยู่ที่ถนนกาญจนาภิเษก ตำบลบางคูเวียง (บางคูเวียงฝั่งเหนือ) อำเภอบางกรวย จ.นนทบุรี โดยจะซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 125 แปลง มีพื้นที่ทั้งหมด 10,679.10 ตร.วา มีภาระจำนองกับธนาคารกรุงไทย สำหรับเงินกู้ยืมคงค้างประมาณ 200 ล้านบาท ราคาซื้อขาย 390 ล้านบาท (ราคาประเมิน 521.55 ล้านบาท ประเมินโดย บริษัท ฟาสท์ แอนด์ แฟร์ แวลูเอชั่น จำกัด ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.)
ทั้งนี้ หลังจากที่ ณุศาศิริ แกรนด์ และ/หรือ เค เอ็ม พีฯ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทแล้ว ทั้ง 2 บริษัทดังกล่าว มีภาระหน้าที่ในการทำคำเสนอซื้อ (Tender Offer) แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป และหลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนของการทำคำเสนอซื้อเรียบร้อยแล้ว บริษัทจะประกาศปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อพักการโอนหุ้นเพื่อให้สิทธิ Right Offering แก่ผู้ถือหุ้นเดิมต่อไป โดย ณุศาศิริ แกรนด์ และ/หรือ เค เอ็ม พีฯ จะสละสิทธิในหุ้นสามัญเพิ่มทุนนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นเดิมรักษาสัดส่วนการถือหุ้นของตนไว้
นอกจากนี้ ณุศาศิริ แกรนด์ และ/หรือ เค เอ็ม พีฯ และ/หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ และ/หรือกรรมการ และ/หรือบุคคลตามมาตรา 258 ของบุคคลดังกล่าวจะดำเนินการขจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (conflict of interest) โดยการเลิกประกอบธุรกิจแข่งขัน และ/หรือลาออกจากกรรมการ และ/หรือขายทรัพย์สินโครงการอสังหาฯ และ/หรือขายหุ้นที่มีอยู่ในบริษัท โดยจะขจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ให้หมดไปก่อนที่บริษัทจะได้รับอนุญาตให้กลับมาซื้อขายในหมวดปกติในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง
เชื่อ4 ปี ปิดการขายโครงการได้
นายปริพล กล่าวว่า หลังจากดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ทางบริษัทจะทำการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น "อั่งเปา แอสเสท" เนื่องจากอยากให้นักลงทุนต่างชาติในแถบเอเชียเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัทใหม่ จึงต้องเลือกที่เป็น Inter Asian ทั้งนี้คาดว่า บริษัทฯจะกลับเข้ามาซื้อขายในหมวดอสังหาฯได้ในไตรมาส 2 ปี 2553
" เราดูและศึกษาเลือกซื้อโครงการที่ไม่ใช่ที่ดินเปล่า แต่เป็นโครงการที่พัฒนาแล้วและพร้อมที่จะต่อยอดอีกนิดหน่อยก็ขายได้เลยภายใน 3 เดือน 6 เดือน และคาดว่าจะปิดโครงการได้ทั้งหมดภายใน 4 ปี นับจากวันที่เข้าร่วมธุรกิจกันคือปลายไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งตามประมาณการณ์คาดว่าปีนี้พลิกมาบวกทันที เพราะคนขายมีบ้านอยู่ในสต๊อกแล้ว พร้อมขาย"นายปริพล กล่าว
เก็บเงียบเจรจาเป็นปีก่อนทำ“แบ็คดอร์ฯ”
นายปริพล กล่าวว่า ทางบริษัทมีการเจรจากับทั้ง 2 บริษัทมาเป็นปี ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าซื้อสินทรัพย์ ซึ่งก่อนหน้านี้ มีหลายกลุ่มเสนอตัวเข้ามา ทั้งกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย แต่สุดท้ายก็มาลงตัวที่บริษัท ณุศาศิริฯ และเค เอ็ม พีฯ เพราะข้อเสนอและเงื่อนไขน่าสนใจที่สุด เนื่องจากขนาดโครงการไม่ใหญ่เกินไป หรือบางรายขนาดก็เล็กกินไปจนไม่เอื้อให้บริษัทกลับเข้ามาเทรดได้
"เรื่องนี้ ศึกษาดำเนินการกันมานานมาก เรามอง บริษัทพร๊อพเพอร์ตี้ที่เข้าข่ายสามารถร่วมทุนกับเราได้ แล้วก็มาลงตัวที่ 2 รายนี้ เนื่องจากมีธุรกิจที่ตรงกับความต้องการของเรา และทางผู้บริหารณุศาศิริก็อยากจะเข้าตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้วด้วย เราก็เสนอว่าก็มาเข้าผ่านไทยเกรียงฯ ก็ได้ โดยที่เราก็มีเงินสดเหลือ ทางนั้นก็มีสินทรัพย์ที่พร้อมจะสร้างรายได้ได้เลย จะเรียกว่าณุศาศิริ Backdoor Listing ก็ได้"นายปริพล กล่าว
นายปริพล กล่าวว่า ผู้ถือหุ้นจะต้องพอใจกับแผนลงทุนของบริษัท เนื่องจากเป็นทางเลือกสำคัญที่จะทำให้บริษัทสามารถจ่ายปันผลได้ก่อนเทรด หรือไม่ก็ทันทีหลังเทรด ตามนโยบายที่บริษัทกำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 60% ของกำไรสุทธิ
"เราต้องทำกำไรก่อน Resume Trade อยู่แล้ว เดี๋ยวขอดูกระแสเงิน ก่อน ถ้าพร้อมเราก็จะจ่ายปันผลทันทีตามนโยบายเดิม คือ ไม่ต่ำกว่า 60% ของกำไรสุทธิ"นายปริพล กล่าว
เล็งรีแบรนด์ดิ้งโครงการในพอร์ต
นายปริพล กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะรีแบรนด์ดิ้งเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านที่ซื้อมาจากเค เอ็ม พีฯ แล้วก็จะทำการตลาดใหม่ ส่วน 4 โครงการที่ซื้อจากณุศาศิริคงไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร เพราะยังมั่นใจว่า บ้านราคาระดับพรีเมียม 13-15 ล้านบาทขึ้นไปยังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่
นอกจากนี้ ในอนาคตมีแผนจะพัฒนาโครงการแนวราบหรือคอนโดฯโลว์ไรส์( Low Rise)ด้วย โดยปัจจุบันมีผู้มาเสนอขายที่ดินอย่างต่อเนื่อง แต่คงต้องรอพิจารณาความเหมาะสม
"ก่อนที่เราจะเข้าซื้อโครงการ เราศึกษาแล้วและเชื่อว่าตลาดยังไปได้ บ้านราคาระดับพรีเมียมยังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่"นายปริพล กล่าว
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ บริษัทณุศาศิริ กรุ๊ป ได้ร่วมทุนกับบริษัท ดีเวล เดวอลปเม้นท์ จำกัด โดยมีนายถวนันท์ ธเนศเดชสุนทร ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ ด้วยทุนจดทะเบียน 120 ล้านบาท เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยในเมือง โดยโครงการแรกได้นำที่ดินของครอบครัว "ธเนศเดชสุนทร" ในซ.สุขุมวิท 65 เนื้อที่กว่า 2 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดฯ โลว์ไรส์ ภายใต้ชื่อ "D'65 Condo" จำนวน 2 อาคาร
ทั้งนี้ นางอัมพาพันธ์ ธเนศเดชสุนทร เป็นภรรยาของพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ หรือบิ๊กจ๊อด อดีตประธานคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) และอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งขณะนี้ครอบครัวของ "ธเนศเดชสุนทร" จะผันมาทำธุรกิจอสังหาฯอย่างเต็มตัว.