ในบ้านเมืองของเรานี้เคยมีคนกล่าวขวัญเกี่ยวกับเรื่องการเมืองล้มเหลวมาบ้างแล้ว และก็มีการกล่าวขวัญเกี่ยวกับเรื่องรัฐล้มเหลวมาบ้างแล้ว แต่ดูเหมือนว่ายังห่างไกลจากความจริง ดังนั้นคนทั้งหลายจึงไม่ใคร่ให้ความสนใจ คำกล่าวขวัญในเรื่องดังกล่าวจึงดูเหมือนจะค่อยๆ เลือนหายไป
แต่มาบัดนี้ได้ตรองดูสถานการณ์ที่เป็นไปในบ้านเมืองของเราแล้ว ได้กระตุ้นน้ำใจลึกให้รู้สึกว่าคำกล่าวขวัญที่ว่านั้นมันไม่ได้ห่างไกลตัวเราเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว หากรู้สึกประหนึ่งว่ามันอยู่ใกล้ตัวแค่เอื้อมมือถึงเท่านั้นเอง
เมื่อมีความรู้สึกดังนี้ก็จำเป็นอยู่เองที่จะต้องบอกกล่าวให้พี่น้องร่วมชาติได้ร่วมกันพิจารณาจากสถานการณ์ที่เป็นมาและเป็นไปในบ้านเมืองของเราว่า การเมืองบ้านเรานั้นล้มเหลวหรือไม่ และมันได้ทำให้ประเทศไทยหรือรัฐไทยล้มเหลวหรือไม่
ในเบื้องแรก มาดูกันว่าการเมืองบ้านเราล้มเหลวหรือไม่?
ในเรื่องการเมืองที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดคือการเมืองเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ที่เริ่มต้นจากการเลือกตั้ง จากเลือกตั้งก็มาสู่การบริหารบ้านเมือง จากการบริหารบ้านเมืองก็กลับไปสู่การเลือกตั้งอีก เป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้แล้วยึดถือกันว่านี่คือประชาธิปไตย
ยึดถือกันแต่วัฏจักรเช่นนั้นแล้วละทิ้งอย่างสิ้นเชิงถึงเป้าหมายแท้ของประชาธิปไตย ที่ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชนจนหมดสิ้น
ในท่ามกลางวัฏจักรเช่นนั้น หากดำเนินไปด้วยความโปร่งใส สุจริตและเที่ยงธรรม ย่อมให้ผลิตผลที่เป็นมงคลแก่บ้านเมือง คือความร่มเย็นเป็นสุขของอาณาประชาราษฎร และความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง
ความจริงที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราในวันนี้ มีข้อเท็จจริงที่อุดมสมบูรณ์ที่ใครๆ ก็รู้เห็นเป็นอย่างดีว่าวัฏจักรดังกล่าวนั้นสกปรกโสโครกโสมม ทุจริตฉ้อฉล คดในข้อ งอในกระดูกสักเพียงใด
การเลือกตั้งเต็มไปด้วยการทุจริตที่สุดจะคิดสรรหามาใช้กัน จนกลายเป็นการทุจริตที่พิสดารพันลึกที่สุดในโลก เพราะไม่มีมนุษยชาติใดในโลกนี้ที่จะสรรหาวิธีโกงการเลือกตั้งได้อย่างมหัศจรรย์ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน และทุกกระเบียดนิ้วเหมือนที่เป็นอยู่ในบ้านเมืองของเรา
มีทั้งการซื้อเสียงเลือกตั้ง มีทั้งการขนคนเหมือนวัวควายไปลงคะแนน มีทั้งการปลอมบัตร มีทั้งการปลอมตัวเปลี่ยนชื่อคนไปเลือกตั้ง มีทั้งการโกงนับคะแนน มีทั้งการซื้อกรรมการการเลือกตั้งระดับต่างๆ กระทั่งโกงการประกาศผล
การเลือกตั้งแบบนี้ได้ให้ผลิตผลคือสัตว์โลกชนิดหนึ่งซึ่งไร้จิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์และความเป็นผู้แทนของปวงชน ที่ไม่รู้บาปบุญคุณโทษหรือผิดชอบชั่วดีใดๆ และสัตว์โลกชนิดนี้แหละที่จะไปทำหน้าที่ออกกฎหมายและเลือกผู้บริหารบ้านเมือง
จากนั้นก็จะเป็นการตั้งรัฐบาลซึ่งต้องใช้เงินซื้อกันอีก คือซื้อเสียงซื้อมือที่ยกให้ได้มาซึ่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจึงมิใช่ผู้แทนของปวงชน หากเป็นผลิตผลของสัตว์โลกชนิดที่ว่านี้เท่านั้น และจะต้องยอมอยู่ในอำนาจของสัตว์ชนิดนี้ดังกล่าวต่อไปจนกว่าจะพ้นไปจากอำนาจ
จากนั้นก็เป็นการต่อรองซื้อตำแหน่งรัฐมนตรีกัน ตลอดจนถึงตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ เพื่อประกอบกันขึ้นเป็นคณะผู้บริหารบ้านเมือง ดังนั้นคณะผู้บริหารบ้านเมืองแบบนี้จึงเป็นเพียงแค่สัตว์โลกชนิดเดียวกัน เพราะมีเหตุปัจจัยที่มาอย่างเดียวกัน
เมื่อมาประกอบกันเข้าเป็นรัฐบาลแล้ว ก็ทุจริตฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดินต่อไป เพื่อแสวงหาทุนรอนไปใช้ในการเลือกตั้งเพื่อจะกลับเข้ามามีอำนาจอีกต่อไป ทำให้วัฏฏะแห่งความชั่วร้ายก่อตัวขึ้นครบวงจรอย่างสมบูรณ์
การใช้อำนาจรัฐปล้นสะดมประเทศชาติและประชาชนได้สร้างความร่ำรวยมหาศาลจนกลายเป็นกิจการของครอบครัว แล้วดึงเอาวงศาคณาญาติตลอดจนพวกพ้องเข้ามาเสพครองอำนาจและผลประโยชน์ที่ปล้นชาติปล้นประชาชนนั้นจนอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ แล้วเกิดเป็นระบบธุรกิจการเมืองแบบครอบครัวขึ้น
ธุรกิจการเมืองแบบครอบครัวได้ขยายตัวจากวงศาคณาญาติและพวกพ้องกว้างออกไปๆ จนเลยเขตแดนของเขตเลือกตั้ง ครอบคลุมไปทั้งจังหวัดแล้วยังไม่พอ ยังขยายลามไปยังเขตพื้นที่กระทั่งเป็นภาค จนบางคนลำพองคะนองพูดว่าจังหวัดนี้เขตนี้ภาคนี้เป็นของกู จังหวัดโน้นเป็นของพวกกู เป็นต้น
การเมืองแบบนี้จึงเป็นการเมืองที่ล้มเหลว เพราะบรรดาเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงคือประชาชนนั้นได้หมดสภาพจากความเป็นคนลงไปทุกที กลายเป็นสินค้าที่หาซื้อได้ในเวลาลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และเป็นสินค้าที่มีอายุสั้นเพียงแค่ 4 นาที แค่ชั่วกาบัตรเท่านั้น หลังจากนั้นก็กลายเป็นทาสหรือสัตว์เดรัจฉานไปเลย
เพราะความทุกข์ร้อนอันใดก็ไม่มีใครเห็นว่าเป็นความทุกข์ร้อนของคนอันพึงจะได้รับการเยียวยาแก้ไข ความยากจนอันใดก็ไม่มีใครเห็นว่าเป็นความลำเค็ญของคน
ดังนั้นความยากจนขาดแคลนและล้าหลังจึงแผ่ขยายกระจายไปทั่วทั้งประเทศ
สภาพการเมืองแบบนี้นี่แหละคือการเมืองที่ล้มเหลว หรือใครจะว่าไม่จริง?
สภาพที่ล้มเหลวนั้นกำลังเน่าเฟะและผุพังลงเต็มที เพราะเมื่อพูดถึงการเมืองในวันนี้ แม้จะมีคำไทยใช้ได้หลายคำ แต่ก็ใช้อยู่จำเพาะเจาะจงไม่กี่คำ คือนักการเมืองชั่ว นักการเมืองโกง นักการเมืองปล้นชาติ นักการเมืองขายชาติเท่านั้น ไม่มีคำไทยอื่นใดที่ใช้กับนักการเมืองในปัจจุบันนี้
ในประการถัดมา การเมืองที่ล้มเหลวนี้ได้ทำให้บ้านเมืองของเรากลายเป็นรัฐที่ล้มเหลวหรือไม่?
โคลนตมอันสกปรกโสมมแม้สามารถให้กำเนิดดอกบัวอันบริสุทธิ์และสูงส่งสำหรับบูชาพระรัตนตรัยได้ก็จริงอยู่ แต่การเมืองหาใช่โคลนตมไม่ หากเป็นความสกปรกโสมมล้มเหลวที่ไม่มีวันให้ผลิตผลเป็นดอกบัวได้เลย
เหตุปัจจัยเป็นเรื่องชั่วช้าสารเลว ทุจริตฉ้อฉล ปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน ไหนเลยจะให้ดอกผลที่งามงดและเป็นประโยชน์สุขแก่อาณาประชาราษฎร์หรือความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเกิดเมืองนอนของเราได้
ผลธรรมดาธรรมชาติหรือสามัญผลของการเมืองที่ฉ้อฉลปล้นชาติปล้นประชาชนจึงมีสถานเดียวเท่านั้น คือความพินาศยับเยินของบ้านเมืองและราษฎร
ในวันนี้ความจริงก็ปรากฏชัดเจนและเป็นพยานหลักฐานที่อุดมสมบูรณ์ ปราศจากข้อสงสัยใดๆ อีกแล้วว่าการเมืองที่ล้มเหลวซ้ำซากยาวนานกำลังทำให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว
ล้มเหลวอย่างไรเล่า?
ประการแรก ล้มเหลวในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ชีวิตของคนไทยในวันนี้ไม่ต่างกับผักปลาที่จะถูกฆ่าฟันทำร้ายหรือปล้นชิงวิ่งราวที่ไหนเมื่อใดก็ได้ อาวุธสงครามและเครื่องมือประหัตประหารเพื่อนร่วมชาติเกร่อเกลื่อนไปทั้งบ้านทั้งเมือง การปล้นชิงวิ่งราวเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมือง ประหนึ่งว่าบ้านเมืองไร้ขื่อแป ไร้ผู้ดูแลกฎหมายให้มีความศักดิ์สิทธิ์
ไม่ต้องพูดถึงชีวิตเลือดเนื้อของพี่น้องจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่กลายเป็นผักปลาอยู่ในวันนี้
รัฐมีหน้าที่ประการแรกสุดคือการดูแลคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของประชาชน เมื่อทำหน้าที่นี้ไม่ได้ก็ต้องกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว
ประการที่สอง ล้มเหลวในการสร้างความอยู่ดีกินดีแก่ประชาชน แผ่นดินเต็มไปด้วยคนอดอยากยากแค้นแสนเข็ญ จนราษฎรถึงกับต้องกราบทูลถวายฎีกาต่อองค์พระประมุขแทบไม่เว้นในแต่ละวัน เพียงเพื่อขอรับพระราชทานความช่วยเหลือให้ได้มีชีวิตอยู่เหมือนผู้คนเขาเท่านั้น
ความไม่เป็นธรรม การเอารัดเอาเปรียบ การทุจริตข่มเหงรังแกในการทำมาหากินแผ่ซึมซาบซ่านไปทั้งแผ่นดิน เสียงอาณาประชาราษฎรไม่ได้รับการใส่ใจดูแล ความยากจนข้นแค้นแผ่กระจายไป จนเกิดคำว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” ดังที่รู้ๆ กันอยู่
ประการที่สาม ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมเสื่อมสิ้นไปจากแผ่นดินแล้ว ในวงการศาสนาก็มีอลัชชีและพวกปาราชิกดาษดื่น ในวงราชการก็เต็มไปด้วยพวกกังฉิน ที่จ้องกินเลือดกินเนื้อประชาชน ในกระบวนการยุติธรรมก็บังเกิดนักขายความยุติธรรมดาษดื่นมากขึ้น ความกลัวชั่ว กลัวบาปสูญสิ้นไปจากใจคนแล้ว นี่คือสิ่งสะท้อนสุดท้ายของความล้มเหลวในแผ่นดินโดยที่หามีผู้ใดใส่ใจแก้ไขฟื้นฟูไม่
เอาแค่สามประการอันเป็นหน้าที่สำคัญของรัฐ ก็เห็นได้แล้วว่าการเมืองที่ล้มเหลวได้ทำให้รัฐล้มเหลวด้วย แล้วเราจะอยู่กันในท่ามกลางความล้มเหลวนี้ได้อย่างไร? นั่นก็คือถึงเวลาแล้วที่จะต้องสร้างสิ่งใหม่ขึ้นทดแทนสิ่งที่ล้มเหลวเน่าเฟะที่เป็นอยู่นี้.
แต่มาบัดนี้ได้ตรองดูสถานการณ์ที่เป็นไปในบ้านเมืองของเราแล้ว ได้กระตุ้นน้ำใจลึกให้รู้สึกว่าคำกล่าวขวัญที่ว่านั้นมันไม่ได้ห่างไกลตัวเราเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว หากรู้สึกประหนึ่งว่ามันอยู่ใกล้ตัวแค่เอื้อมมือถึงเท่านั้นเอง
เมื่อมีความรู้สึกดังนี้ก็จำเป็นอยู่เองที่จะต้องบอกกล่าวให้พี่น้องร่วมชาติได้ร่วมกันพิจารณาจากสถานการณ์ที่เป็นมาและเป็นไปในบ้านเมืองของเราว่า การเมืองบ้านเรานั้นล้มเหลวหรือไม่ และมันได้ทำให้ประเทศไทยหรือรัฐไทยล้มเหลวหรือไม่
ในเบื้องแรก มาดูกันว่าการเมืองบ้านเราล้มเหลวหรือไม่?
ในเรื่องการเมืองที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดคือการเมืองเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ที่เริ่มต้นจากการเลือกตั้ง จากเลือกตั้งก็มาสู่การบริหารบ้านเมือง จากการบริหารบ้านเมืองก็กลับไปสู่การเลือกตั้งอีก เป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้แล้วยึดถือกันว่านี่คือประชาธิปไตย
ยึดถือกันแต่วัฏจักรเช่นนั้นแล้วละทิ้งอย่างสิ้นเชิงถึงเป้าหมายแท้ของประชาธิปไตย ที่ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชนจนหมดสิ้น
ในท่ามกลางวัฏจักรเช่นนั้น หากดำเนินไปด้วยความโปร่งใส สุจริตและเที่ยงธรรม ย่อมให้ผลิตผลที่เป็นมงคลแก่บ้านเมือง คือความร่มเย็นเป็นสุขของอาณาประชาราษฎร และความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง
ความจริงที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราในวันนี้ มีข้อเท็จจริงที่อุดมสมบูรณ์ที่ใครๆ ก็รู้เห็นเป็นอย่างดีว่าวัฏจักรดังกล่าวนั้นสกปรกโสโครกโสมม ทุจริตฉ้อฉล คดในข้อ งอในกระดูกสักเพียงใด
การเลือกตั้งเต็มไปด้วยการทุจริตที่สุดจะคิดสรรหามาใช้กัน จนกลายเป็นการทุจริตที่พิสดารพันลึกที่สุดในโลก เพราะไม่มีมนุษยชาติใดในโลกนี้ที่จะสรรหาวิธีโกงการเลือกตั้งได้อย่างมหัศจรรย์ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน และทุกกระเบียดนิ้วเหมือนที่เป็นอยู่ในบ้านเมืองของเรา
มีทั้งการซื้อเสียงเลือกตั้ง มีทั้งการขนคนเหมือนวัวควายไปลงคะแนน มีทั้งการปลอมบัตร มีทั้งการปลอมตัวเปลี่ยนชื่อคนไปเลือกตั้ง มีทั้งการโกงนับคะแนน มีทั้งการซื้อกรรมการการเลือกตั้งระดับต่างๆ กระทั่งโกงการประกาศผล
การเลือกตั้งแบบนี้ได้ให้ผลิตผลคือสัตว์โลกชนิดหนึ่งซึ่งไร้จิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์และความเป็นผู้แทนของปวงชน ที่ไม่รู้บาปบุญคุณโทษหรือผิดชอบชั่วดีใดๆ และสัตว์โลกชนิดนี้แหละที่จะไปทำหน้าที่ออกกฎหมายและเลือกผู้บริหารบ้านเมือง
จากนั้นก็จะเป็นการตั้งรัฐบาลซึ่งต้องใช้เงินซื้อกันอีก คือซื้อเสียงซื้อมือที่ยกให้ได้มาซึ่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจึงมิใช่ผู้แทนของปวงชน หากเป็นผลิตผลของสัตว์โลกชนิดที่ว่านี้เท่านั้น และจะต้องยอมอยู่ในอำนาจของสัตว์ชนิดนี้ดังกล่าวต่อไปจนกว่าจะพ้นไปจากอำนาจ
จากนั้นก็เป็นการต่อรองซื้อตำแหน่งรัฐมนตรีกัน ตลอดจนถึงตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ เพื่อประกอบกันขึ้นเป็นคณะผู้บริหารบ้านเมือง ดังนั้นคณะผู้บริหารบ้านเมืองแบบนี้จึงเป็นเพียงแค่สัตว์โลกชนิดเดียวกัน เพราะมีเหตุปัจจัยที่มาอย่างเดียวกัน
เมื่อมาประกอบกันเข้าเป็นรัฐบาลแล้ว ก็ทุจริตฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดินต่อไป เพื่อแสวงหาทุนรอนไปใช้ในการเลือกตั้งเพื่อจะกลับเข้ามามีอำนาจอีกต่อไป ทำให้วัฏฏะแห่งความชั่วร้ายก่อตัวขึ้นครบวงจรอย่างสมบูรณ์
การใช้อำนาจรัฐปล้นสะดมประเทศชาติและประชาชนได้สร้างความร่ำรวยมหาศาลจนกลายเป็นกิจการของครอบครัว แล้วดึงเอาวงศาคณาญาติตลอดจนพวกพ้องเข้ามาเสพครองอำนาจและผลประโยชน์ที่ปล้นชาติปล้นประชาชนนั้นจนอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ แล้วเกิดเป็นระบบธุรกิจการเมืองแบบครอบครัวขึ้น
ธุรกิจการเมืองแบบครอบครัวได้ขยายตัวจากวงศาคณาญาติและพวกพ้องกว้างออกไปๆ จนเลยเขตแดนของเขตเลือกตั้ง ครอบคลุมไปทั้งจังหวัดแล้วยังไม่พอ ยังขยายลามไปยังเขตพื้นที่กระทั่งเป็นภาค จนบางคนลำพองคะนองพูดว่าจังหวัดนี้เขตนี้ภาคนี้เป็นของกู จังหวัดโน้นเป็นของพวกกู เป็นต้น
การเมืองแบบนี้จึงเป็นการเมืองที่ล้มเหลว เพราะบรรดาเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงคือประชาชนนั้นได้หมดสภาพจากความเป็นคนลงไปทุกที กลายเป็นสินค้าที่หาซื้อได้ในเวลาลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และเป็นสินค้าที่มีอายุสั้นเพียงแค่ 4 นาที แค่ชั่วกาบัตรเท่านั้น หลังจากนั้นก็กลายเป็นทาสหรือสัตว์เดรัจฉานไปเลย
เพราะความทุกข์ร้อนอันใดก็ไม่มีใครเห็นว่าเป็นความทุกข์ร้อนของคนอันพึงจะได้รับการเยียวยาแก้ไข ความยากจนอันใดก็ไม่มีใครเห็นว่าเป็นความลำเค็ญของคน
ดังนั้นความยากจนขาดแคลนและล้าหลังจึงแผ่ขยายกระจายไปทั่วทั้งประเทศ
สภาพการเมืองแบบนี้นี่แหละคือการเมืองที่ล้มเหลว หรือใครจะว่าไม่จริง?
สภาพที่ล้มเหลวนั้นกำลังเน่าเฟะและผุพังลงเต็มที เพราะเมื่อพูดถึงการเมืองในวันนี้ แม้จะมีคำไทยใช้ได้หลายคำ แต่ก็ใช้อยู่จำเพาะเจาะจงไม่กี่คำ คือนักการเมืองชั่ว นักการเมืองโกง นักการเมืองปล้นชาติ นักการเมืองขายชาติเท่านั้น ไม่มีคำไทยอื่นใดที่ใช้กับนักการเมืองในปัจจุบันนี้
ในประการถัดมา การเมืองที่ล้มเหลวนี้ได้ทำให้บ้านเมืองของเรากลายเป็นรัฐที่ล้มเหลวหรือไม่?
โคลนตมอันสกปรกโสมมแม้สามารถให้กำเนิดดอกบัวอันบริสุทธิ์และสูงส่งสำหรับบูชาพระรัตนตรัยได้ก็จริงอยู่ แต่การเมืองหาใช่โคลนตมไม่ หากเป็นความสกปรกโสมมล้มเหลวที่ไม่มีวันให้ผลิตผลเป็นดอกบัวได้เลย
เหตุปัจจัยเป็นเรื่องชั่วช้าสารเลว ทุจริตฉ้อฉล ปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน ไหนเลยจะให้ดอกผลที่งามงดและเป็นประโยชน์สุขแก่อาณาประชาราษฎร์หรือความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเกิดเมืองนอนของเราได้
ผลธรรมดาธรรมชาติหรือสามัญผลของการเมืองที่ฉ้อฉลปล้นชาติปล้นประชาชนจึงมีสถานเดียวเท่านั้น คือความพินาศยับเยินของบ้านเมืองและราษฎร
ในวันนี้ความจริงก็ปรากฏชัดเจนและเป็นพยานหลักฐานที่อุดมสมบูรณ์ ปราศจากข้อสงสัยใดๆ อีกแล้วว่าการเมืองที่ล้มเหลวซ้ำซากยาวนานกำลังทำให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว
ล้มเหลวอย่างไรเล่า?
ประการแรก ล้มเหลวในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ชีวิตของคนไทยในวันนี้ไม่ต่างกับผักปลาที่จะถูกฆ่าฟันทำร้ายหรือปล้นชิงวิ่งราวที่ไหนเมื่อใดก็ได้ อาวุธสงครามและเครื่องมือประหัตประหารเพื่อนร่วมชาติเกร่อเกลื่อนไปทั้งบ้านทั้งเมือง การปล้นชิงวิ่งราวเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมือง ประหนึ่งว่าบ้านเมืองไร้ขื่อแป ไร้ผู้ดูแลกฎหมายให้มีความศักดิ์สิทธิ์
ไม่ต้องพูดถึงชีวิตเลือดเนื้อของพี่น้องจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่กลายเป็นผักปลาอยู่ในวันนี้
รัฐมีหน้าที่ประการแรกสุดคือการดูแลคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของประชาชน เมื่อทำหน้าที่นี้ไม่ได้ก็ต้องกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว
ประการที่สอง ล้มเหลวในการสร้างความอยู่ดีกินดีแก่ประชาชน แผ่นดินเต็มไปด้วยคนอดอยากยากแค้นแสนเข็ญ จนราษฎรถึงกับต้องกราบทูลถวายฎีกาต่อองค์พระประมุขแทบไม่เว้นในแต่ละวัน เพียงเพื่อขอรับพระราชทานความช่วยเหลือให้ได้มีชีวิตอยู่เหมือนผู้คนเขาเท่านั้น
ความไม่เป็นธรรม การเอารัดเอาเปรียบ การทุจริตข่มเหงรังแกในการทำมาหากินแผ่ซึมซาบซ่านไปทั้งแผ่นดิน เสียงอาณาประชาราษฎรไม่ได้รับการใส่ใจดูแล ความยากจนข้นแค้นแผ่กระจายไป จนเกิดคำว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” ดังที่รู้ๆ กันอยู่
ประการที่สาม ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมเสื่อมสิ้นไปจากแผ่นดินแล้ว ในวงการศาสนาก็มีอลัชชีและพวกปาราชิกดาษดื่น ในวงราชการก็เต็มไปด้วยพวกกังฉิน ที่จ้องกินเลือดกินเนื้อประชาชน ในกระบวนการยุติธรรมก็บังเกิดนักขายความยุติธรรมดาษดื่นมากขึ้น ความกลัวชั่ว กลัวบาปสูญสิ้นไปจากใจคนแล้ว นี่คือสิ่งสะท้อนสุดท้ายของความล้มเหลวในแผ่นดินโดยที่หามีผู้ใดใส่ใจแก้ไขฟื้นฟูไม่
เอาแค่สามประการอันเป็นหน้าที่สำคัญของรัฐ ก็เห็นได้แล้วว่าการเมืองที่ล้มเหลวได้ทำให้รัฐล้มเหลวด้วย แล้วเราจะอยู่กันในท่ามกลางความล้มเหลวนี้ได้อย่างไร? นั่นก็คือถึงเวลาแล้วที่จะต้องสร้างสิ่งใหม่ขึ้นทดแทนสิ่งที่ล้มเหลวเน่าเฟะที่เป็นอยู่นี้.