ข่าวเกี่ยวกับการรับน้องใหม่ของสถาบันแห่งหนึ่ง จนนำไปสู่ประเด็นปัญหาเรื่องอื้อฉาวของการใช้วิธีการที่ละเมิดต่อสิทธิส่วนบุคล และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดกระบวนกฎหมายอาญาที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่มีมาแล้วหลายทศวรรษ การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วยการเลิกรับน้องใหม่เป็นเรื่องที่ง่าย แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ง่ายเกินไป เพื่อจะเข้าใจปัญหาและหาทางแก้ไขจำเป็นที่จะต้องเจาะลึกถึงมูลเหตุอันแท้จริง การรับน้องใหม่นี้เป็นหนึ่งในสองสิ่งที่ผู้เขียนให้ความสนใจมาตลอดชีวิต
หนึ่งในสองเรื่องก็คือ การติดลูกกรงหน้าต่างและไม่มีบานที่เปิดได้โดยไขกุญแจเนื่องจากมีกุญแจสายยู ผลสุดท้ายข่าวที่เกิดขึ้นซ้ำซากที่คนทั้งครอบครัวถูกไฟครอกตายก็ยังมีอยู่มาจนปัจจุบันนี้ และเรื่องดังกล่าวนี้ผู้เขียนได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีเมื่อประมาณ 50 กว่าปีที่แล้ว และหลังจากนั้นผู้เขียนได้เขียนบทความซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ในเรื่องการรับน้องใหม่นั้นในขณะที่ผู้เขียนเป็นผู้บริหารของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีนักศึกษาคณะใหม่ขอให้มีการรับน้องใหม่ก็มีหลายคนเห็นด้วย แต่ในที่ประชุมสภาครั้งนั้นผู้เขียนยืนกรานไม่เห็นด้วย โดยอ้างเหตุผลที่สำคัญอย่างยิ่งยิ่งว่า
ประการแรก การรับน้องใหม่ไม่มีความชอบธรรม สะท้อนถึงความไม่เสมอภาค ประการที่สอง เป็นการส่งเสริมให้มีการสร้างวัฒนธรรมการเมืองแบบเผด็จการ ประการที่สาม เป็นการสร้างประเพณีที่ขัดต่อคำขวัญของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คือ เสรีภาพ สมภาพ และภราดรภาพ
การรับน้องใหม่ที่ถูกต้องนั้นคือการต้อนรับผู้เข้ามาสู่สถานการศึกษาเป็นครั้งแรก รุ่นพี่ซึ่งมีประสบการณ์และอาวุโสน่าจะมีการปรบมือต้อนรับให้น้องใหม่และให้แนะนำตัวเอง และรุ่นพี่ก็อาจจะกล่าวทำนองว่า เรามาอยู่ร่วมสถาบันกันแล้วซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จของรุ่นน้องที่สอบผ่านเข้ามาได้ แต่พึงตระหนักว่าการเข้ามาศึกษามาเพื่อศึกษาหาความรู้ให้เกิดภูมิปัญญา นำความรู้ไปประกอบอาชีพเลี้ยงดูครอบครัว แต่ที่สำคัญเพื่อเป็นบุคลากรอันสำคัญของสังคมและประเทศชาติที่จะต้องมีส่วนในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ เพื่อนำชาติไปสู่ความพัฒนาและเจริญรุ่งเรืองโดยไม่น้อยหน้าใคร
ในการกล่าวเช่นนี้เป็นการให้ความสำคัญกับการศึกษาต่อส่วนตัวและต่อสังคมโดยรวม และนอกจากนั้นรุ่นพี่ก็อาจจะกล่าวว่ามีอะไรก็ตามที่ขัดข้องใจ เดือดเนื้อร้อนใจทั้งเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องการเรียน รุ่นพี่หรือรุ่นอาวุโสยินดีให้ความเกื้อกูล ปรึกษาหารือได้ทุกเรื่อง และจากนั้นก็อาจจะรับประทานอาหารพูดคุยรู้จักกัน หรือแสดงความสามารถด้วยการร้องเพลง นี่คือการรับน้องใหม่ที่ถูกต้องที่สุด
แต่การรับน้องใหม่ที่ผ่านๆ มามีการใช้อำนาจรุ่นพี่ ตวาดข่มขู่รุ่นน้องอย่างกับทาส บังคับให้คลานกับพื้น หรือกินข้าวต้มกับจิ้งจก หรือบางครั้งก็กินข้าวต้มกับเนื้อสุนัข มีการจับโยนลงน้ำถ้ากระด้างกระเดื่อง หรือจับโยนบก เหตุผลทั้งหมดก็อ้างว่าเพื่อให้รู้จักการเคารพอาวุโส มีความสามัคคี และรู้จักอดทนอดกลั้น จนบางครั้งรุ่นน้องได้รับบาดเจ็บและสาหัส และบ่อยครั้งเป็นอันตรายถึงกับชีวิต หลายคนต้องลาออกไป
ประเด็นต้องกล่าวให้กระจ่างซึ่งผู้เขียนได้เคยพูดมาแล้วหลายครั้ง
ประการที่หนึ่ง รุ่นพี่เข้ามาศึกษาก่อนคือผู้ซึ่งเกิดก่อน อายุมากกว่า หรือสอบเข้ามาได้ก่อน แต่รุ่นพี่ไม่มีอำนาจอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทางกฎหมายหรือโดยประเพณี เพราะประเพณีเช่นนี้เป็นประเพณีที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของสังคม อำนาจจากประเพณี (traditional authority) ของแมกซ์ เวเบอร์ นั้นจะต้องเป็นประเพณีที่เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อคนทั่วไป และต้องมีธรรมแห่งอำนาจ (moral authority) ประเพณีรับน้องที่เกิดอันตรายและนำไปสู่ความเสียหายนี้รุ่นพี่ไม่มีอำนาจและไม่มีกฎหมายใดให้สิทธิไว้ ดังนั้น จึงไม่มีสิทธิและอำนาจทั้งตามกฎหมายและตามประเพณี
ประการที่สอง การตะเพิดใส่รุ่นน้อง การสร้างความยิ่งใหญ่โดยทำให้รุ่นน้องเกิดการกลัวหงอ ตัวสั่นเหมือนลูกนก ด้วยการตวาดและตะคอก คุกคามทำร้ายร่างกาย เป็นการสร้างวัฒนธรรมสังคมและวัฒนธรรมการเมืองแบบเผด็จการ รุ่นน้องที่ไม่มีความคิดก็จะเดินตามแนวความคิดของรุ่นพี่ เกิดการสืบทอดประเพณีอันเลวทรามที่ไม่ก่อประโยชน์อันใดต่อจิตใจ ต่อทางจิตวิทยา และต่อสังคมโดยรวม นอกจากความอัปลักษณ์ของผู้ปฏิบัติและความน่าสงสารของผู้ถูกปฏิบัติ
ประการที่สาม การกระทำของรุ่นพี่ในลักษณะรุนแรงดังกล่าวที่กล้าแม้จะพูดว่า การบังคับให้กินพริก กินกระดาษเป็นเรื่องธรรมดานั้น แสดงว่าไม่เข้าใจถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มนุษย์ทุกคนนอกจากเสมอภาคต่อหน้ากันทางกฎหมาย (equality before the law) และมีความเสมอภาคทางการเมือง (one man one vote) ยังมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ (human dignity) ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ การละเมิดต่อศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์สะท้อนถึงความไม่เห็นถึงศักดิ์ศรีของผู้ถูกกระทำ ผู้ใดตระหนักถึงความมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของตน ย่อมไม่ทำลายความมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
ประการที่สี่ รุ่นพี่ที่ใช้อำนาจที่ขาดความชอบธรรม กระทำต่อรุ่นน้องจนได้รับความบาดเจ็บหรือเสียชีวิตนั้น เป็นผู้ซึ่งก่ออาชญากรรมต่อสังคมและต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย และต่อมนุษยชาติโดยไม่รู้ตัว ที่เห็นได้เด่นชัดคือ เป็นการสร้างวัฒนธรรมการเมืองแบบเผด็จการ ทำลายศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดกฎหมายอาญาคือทำร้ายร่างกาย ซึ่งในกฎหมายรวมถึงการทำร้ายจิตใจด้วย และถ้าถึงแก่ความตายก็อาจมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา การรับน้องใหม่เช่นนี้คือการประทุษร้ายต่อมนุษยชาติ ต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย และต่อกฎหมายของบ้างเมือง
คำถามคือ อะไรเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสภาพดังกล่าว คำตอบก็อาจจะอยู่ที่ว่า การอบรมในครอบครัวที่บุพการีอาจจะไม่เข้าใจถึงความสำคัญของประเด็นในการอบรมลูกหลานให้เป็นคนมีความเคารพตนเอง และให้เกียรติผู้อื่น ซึ่งอาจจะเกิดจากความไม่รู้หรือความยากจน ด้อยการศึกษาหรือศึกษาครึ่งๆ กลางๆ ของบุพการี ที่สำคัญที่สุด คือการไม่เปิดโอกาสให้มีการพัฒนาบุคลิกภาพที่เป็นอิสระด้วยการรู้จักคิด ชั่งใจระหว่างความยุติธรรมและไม่ยุติธรรม ความดีความเลว ที่เรียกว่า อาตมันปัจเจกภาพ (selfhood) คนที่ไม่มีอาตมันปัจเจกภาพจะขาดความเชื่อมั่นในตนเอง (self-confidence) คนที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเองจะไม่เคารพตนเอง (self-esteem)
และเมื่อถูกกดดันโดยครอบครัว โรงเรียน และสังคมทั่วไปก็นำไปสู่ปมด้อย เมื่อไม่เคารพตนเองและมีปมด้อยก็พยายามหาปมเด่นเพื่อให้เกิดความเคารพตนเองด้วยการไม่เคารพผู้อื่น ไม่ให้เกียรติผู้อื่น ไม่เข้าใจและตระหนักถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาค สิทธิเสรีภาพขั้นมูลฐาน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความบกพร่องอย่างยิ่งของกระบวนการกล่อมเกลาเรียนรู้ทางสังคม ซึ่งส่งผลต่อวัฒนธรรมสังคมและวัฒนธรรมการเมืองต่อการอบรมสั่งสอนในครอบครัวและสถาบันการศึกษา จนผลออกมาเป็นรูปธรรมอันอัปลักษณ์ที่เป็นข่าวเร็วๆ นี้
เมื่อทราบสาเหตุอย่างแท้จริง ทางแก้ก็คงจะมาจากการย้อนกลับไปสู่ต้นเหตุของปัญหา และนี่เป็นสิ่งที่ยากที่สุด เพราะเมื่อหน่วยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือครอบครัวมีความบกพร่อง พิกลพิการ จากความบกพร่องของพ่อแม่ซึ่งเป็นเหยื่อของวัฒนธรรมและการศึกษา ค่านิยมและปทัสถานที่ผิดวิปริตมาตั้งแต่ต้น ก็ย่อมส่งผลไปยังลูกหลานและสังคมโดยรวมตามกฎแห่งกรรมคือเหตุและผล
การประณามรุ่นพี่ที่ทำกับรุ่นน้องว่าไม่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้ ก็คงมีเหตุผลในตัวของตัวเอง แต่จะไม่เกิดประโยชน์อะไรถ้าไม่สามารถถามหาสาเหตุที่แท้จริง รุ่นพี่ที่ทำกับรุ่นน้องก็เป็นเหยื่อของระบบถูกกระทำโดยรุ่นพี่เดิม รุ่นพี่เดิมก็เป็นเหยื่อของสภาพสังคมที่เละเทะฟอนเฟะที่เริ่มจากสถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษา และรุ่นน้องน่าจะมีความคิดที่จะระงับไม่ให้วัฏจักรดังกล่าวดำเนินต่อไป ซึ่งก็ปล่อยมาเนิ่นนานจนกระทั่งผลสุดท้ายจึงต่อสู้ด้วยการขัดขืนไม่เห็นด้วยกับวิธีการดังกล่าวดังปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
ประเด็นสำคัญคือ ถ้ารุ่นน้องขาดอาตมันปัจเจกภาพ ขาดความเชื่อมั่น ขาดความเคารพตนเอง รุ่นน้องบางส่วนอาจจะยินดีเป็นส่วนหนึ่งของระบบอันเลวร้ายโดยไม่รู้ตัว และเป็นตัวจักรสำคัญในการสืบทอดให้วงจรครบวงหมุนเวียนเปลี่ยนไปโดยไม่สิ้นสุด และสภาพดังกล่าวก็อาจไม่ยกเว้นกับครูบาอาจารย์ที่ผ่านกระบวนการดังกล่าวมา
ความสำเร็จของการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับหลายตัวแปร และตราบเท่าที่สังคมไทยยังมีปรากฏการณ์เช่นนี้ สะท้อนถึงค่านิยม ปทัสถาน สภาวะทางจิตใจ (mindset) ของประชาชนจำนวนมาก ก็อย่าหวังเลยว่าการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยจะประสบความสำเร็จ เพราะตัวแปรสำคัญที่สุดคือวัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตยไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ตั้งแต่หน่วยสำคัญที่สุดอันเป็นหน่วยพื้นฐานของสังคมคือครอบครัว
พื้นฐานของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยคือ ประชาชนต้องมีอาตมันทางการเมืองแบบประชาธิปไตย (democratic political self) ซึ่งหมายถึงการมองตัวเองว่ามีสิทธิเสรีภาพ มีความเสมอภาค มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มีความเคารพตนเอง ให้ความเคารพผู้อื่น รักษาสิทธิเสรีภาพของตนเอง เคารพและต่อสู้เพื่อสิทธิของผู้อื่น ฯลฯ
อาตมันทางการเมืองแบบประชาธิปไตยนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มจากการมีอาตมันทางการเมืองแบบปัจเจกภาพ (selfhood) และการเคารพตนเอง (self-esteem) ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะสร้างขึ้นได้ภายใต้สภาวะทางวัฒนธรรม และกระบวนการกล่อมเกลาเรียนรู้ที่มีอยู่ในสังคมขณะนี้
หนึ่งในสองเรื่องก็คือ การติดลูกกรงหน้าต่างและไม่มีบานที่เปิดได้โดยไขกุญแจเนื่องจากมีกุญแจสายยู ผลสุดท้ายข่าวที่เกิดขึ้นซ้ำซากที่คนทั้งครอบครัวถูกไฟครอกตายก็ยังมีอยู่มาจนปัจจุบันนี้ และเรื่องดังกล่าวนี้ผู้เขียนได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีเมื่อประมาณ 50 กว่าปีที่แล้ว และหลังจากนั้นผู้เขียนได้เขียนบทความซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ในเรื่องการรับน้องใหม่นั้นในขณะที่ผู้เขียนเป็นผู้บริหารของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีนักศึกษาคณะใหม่ขอให้มีการรับน้องใหม่ก็มีหลายคนเห็นด้วย แต่ในที่ประชุมสภาครั้งนั้นผู้เขียนยืนกรานไม่เห็นด้วย โดยอ้างเหตุผลที่สำคัญอย่างยิ่งยิ่งว่า
ประการแรก การรับน้องใหม่ไม่มีความชอบธรรม สะท้อนถึงความไม่เสมอภาค ประการที่สอง เป็นการส่งเสริมให้มีการสร้างวัฒนธรรมการเมืองแบบเผด็จการ ประการที่สาม เป็นการสร้างประเพณีที่ขัดต่อคำขวัญของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คือ เสรีภาพ สมภาพ และภราดรภาพ
การรับน้องใหม่ที่ถูกต้องนั้นคือการต้อนรับผู้เข้ามาสู่สถานการศึกษาเป็นครั้งแรก รุ่นพี่ซึ่งมีประสบการณ์และอาวุโสน่าจะมีการปรบมือต้อนรับให้น้องใหม่และให้แนะนำตัวเอง และรุ่นพี่ก็อาจจะกล่าวทำนองว่า เรามาอยู่ร่วมสถาบันกันแล้วซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จของรุ่นน้องที่สอบผ่านเข้ามาได้ แต่พึงตระหนักว่าการเข้ามาศึกษามาเพื่อศึกษาหาความรู้ให้เกิดภูมิปัญญา นำความรู้ไปประกอบอาชีพเลี้ยงดูครอบครัว แต่ที่สำคัญเพื่อเป็นบุคลากรอันสำคัญของสังคมและประเทศชาติที่จะต้องมีส่วนในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ เพื่อนำชาติไปสู่ความพัฒนาและเจริญรุ่งเรืองโดยไม่น้อยหน้าใคร
ในการกล่าวเช่นนี้เป็นการให้ความสำคัญกับการศึกษาต่อส่วนตัวและต่อสังคมโดยรวม และนอกจากนั้นรุ่นพี่ก็อาจจะกล่าวว่ามีอะไรก็ตามที่ขัดข้องใจ เดือดเนื้อร้อนใจทั้งเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องการเรียน รุ่นพี่หรือรุ่นอาวุโสยินดีให้ความเกื้อกูล ปรึกษาหารือได้ทุกเรื่อง และจากนั้นก็อาจจะรับประทานอาหารพูดคุยรู้จักกัน หรือแสดงความสามารถด้วยการร้องเพลง นี่คือการรับน้องใหม่ที่ถูกต้องที่สุด
แต่การรับน้องใหม่ที่ผ่านๆ มามีการใช้อำนาจรุ่นพี่ ตวาดข่มขู่รุ่นน้องอย่างกับทาส บังคับให้คลานกับพื้น หรือกินข้าวต้มกับจิ้งจก หรือบางครั้งก็กินข้าวต้มกับเนื้อสุนัข มีการจับโยนลงน้ำถ้ากระด้างกระเดื่อง หรือจับโยนบก เหตุผลทั้งหมดก็อ้างว่าเพื่อให้รู้จักการเคารพอาวุโส มีความสามัคคี และรู้จักอดทนอดกลั้น จนบางครั้งรุ่นน้องได้รับบาดเจ็บและสาหัส และบ่อยครั้งเป็นอันตรายถึงกับชีวิต หลายคนต้องลาออกไป
ประเด็นต้องกล่าวให้กระจ่างซึ่งผู้เขียนได้เคยพูดมาแล้วหลายครั้ง
ประการที่หนึ่ง รุ่นพี่เข้ามาศึกษาก่อนคือผู้ซึ่งเกิดก่อน อายุมากกว่า หรือสอบเข้ามาได้ก่อน แต่รุ่นพี่ไม่มีอำนาจอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทางกฎหมายหรือโดยประเพณี เพราะประเพณีเช่นนี้เป็นประเพณีที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของสังคม อำนาจจากประเพณี (traditional authority) ของแมกซ์ เวเบอร์ นั้นจะต้องเป็นประเพณีที่เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อคนทั่วไป และต้องมีธรรมแห่งอำนาจ (moral authority) ประเพณีรับน้องที่เกิดอันตรายและนำไปสู่ความเสียหายนี้รุ่นพี่ไม่มีอำนาจและไม่มีกฎหมายใดให้สิทธิไว้ ดังนั้น จึงไม่มีสิทธิและอำนาจทั้งตามกฎหมายและตามประเพณี
ประการที่สอง การตะเพิดใส่รุ่นน้อง การสร้างความยิ่งใหญ่โดยทำให้รุ่นน้องเกิดการกลัวหงอ ตัวสั่นเหมือนลูกนก ด้วยการตวาดและตะคอก คุกคามทำร้ายร่างกาย เป็นการสร้างวัฒนธรรมสังคมและวัฒนธรรมการเมืองแบบเผด็จการ รุ่นน้องที่ไม่มีความคิดก็จะเดินตามแนวความคิดของรุ่นพี่ เกิดการสืบทอดประเพณีอันเลวทรามที่ไม่ก่อประโยชน์อันใดต่อจิตใจ ต่อทางจิตวิทยา และต่อสังคมโดยรวม นอกจากความอัปลักษณ์ของผู้ปฏิบัติและความน่าสงสารของผู้ถูกปฏิบัติ
ประการที่สาม การกระทำของรุ่นพี่ในลักษณะรุนแรงดังกล่าวที่กล้าแม้จะพูดว่า การบังคับให้กินพริก กินกระดาษเป็นเรื่องธรรมดานั้น แสดงว่าไม่เข้าใจถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มนุษย์ทุกคนนอกจากเสมอภาคต่อหน้ากันทางกฎหมาย (equality before the law) และมีความเสมอภาคทางการเมือง (one man one vote) ยังมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ (human dignity) ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ การละเมิดต่อศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์สะท้อนถึงความไม่เห็นถึงศักดิ์ศรีของผู้ถูกกระทำ ผู้ใดตระหนักถึงความมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของตน ย่อมไม่ทำลายความมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
ประการที่สี่ รุ่นพี่ที่ใช้อำนาจที่ขาดความชอบธรรม กระทำต่อรุ่นน้องจนได้รับความบาดเจ็บหรือเสียชีวิตนั้น เป็นผู้ซึ่งก่ออาชญากรรมต่อสังคมและต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย และต่อมนุษยชาติโดยไม่รู้ตัว ที่เห็นได้เด่นชัดคือ เป็นการสร้างวัฒนธรรมการเมืองแบบเผด็จการ ทำลายศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดกฎหมายอาญาคือทำร้ายร่างกาย ซึ่งในกฎหมายรวมถึงการทำร้ายจิตใจด้วย และถ้าถึงแก่ความตายก็อาจมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา การรับน้องใหม่เช่นนี้คือการประทุษร้ายต่อมนุษยชาติ ต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย และต่อกฎหมายของบ้างเมือง
คำถามคือ อะไรเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสภาพดังกล่าว คำตอบก็อาจจะอยู่ที่ว่า การอบรมในครอบครัวที่บุพการีอาจจะไม่เข้าใจถึงความสำคัญของประเด็นในการอบรมลูกหลานให้เป็นคนมีความเคารพตนเอง และให้เกียรติผู้อื่น ซึ่งอาจจะเกิดจากความไม่รู้หรือความยากจน ด้อยการศึกษาหรือศึกษาครึ่งๆ กลางๆ ของบุพการี ที่สำคัญที่สุด คือการไม่เปิดโอกาสให้มีการพัฒนาบุคลิกภาพที่เป็นอิสระด้วยการรู้จักคิด ชั่งใจระหว่างความยุติธรรมและไม่ยุติธรรม ความดีความเลว ที่เรียกว่า อาตมันปัจเจกภาพ (selfhood) คนที่ไม่มีอาตมันปัจเจกภาพจะขาดความเชื่อมั่นในตนเอง (self-confidence) คนที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเองจะไม่เคารพตนเอง (self-esteem)
และเมื่อถูกกดดันโดยครอบครัว โรงเรียน และสังคมทั่วไปก็นำไปสู่ปมด้อย เมื่อไม่เคารพตนเองและมีปมด้อยก็พยายามหาปมเด่นเพื่อให้เกิดความเคารพตนเองด้วยการไม่เคารพผู้อื่น ไม่ให้เกียรติผู้อื่น ไม่เข้าใจและตระหนักถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาค สิทธิเสรีภาพขั้นมูลฐาน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความบกพร่องอย่างยิ่งของกระบวนการกล่อมเกลาเรียนรู้ทางสังคม ซึ่งส่งผลต่อวัฒนธรรมสังคมและวัฒนธรรมการเมืองต่อการอบรมสั่งสอนในครอบครัวและสถาบันการศึกษา จนผลออกมาเป็นรูปธรรมอันอัปลักษณ์ที่เป็นข่าวเร็วๆ นี้
เมื่อทราบสาเหตุอย่างแท้จริง ทางแก้ก็คงจะมาจากการย้อนกลับไปสู่ต้นเหตุของปัญหา และนี่เป็นสิ่งที่ยากที่สุด เพราะเมื่อหน่วยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือครอบครัวมีความบกพร่อง พิกลพิการ จากความบกพร่องของพ่อแม่ซึ่งเป็นเหยื่อของวัฒนธรรมและการศึกษา ค่านิยมและปทัสถานที่ผิดวิปริตมาตั้งแต่ต้น ก็ย่อมส่งผลไปยังลูกหลานและสังคมโดยรวมตามกฎแห่งกรรมคือเหตุและผล
การประณามรุ่นพี่ที่ทำกับรุ่นน้องว่าไม่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้ ก็คงมีเหตุผลในตัวของตัวเอง แต่จะไม่เกิดประโยชน์อะไรถ้าไม่สามารถถามหาสาเหตุที่แท้จริง รุ่นพี่ที่ทำกับรุ่นน้องก็เป็นเหยื่อของระบบถูกกระทำโดยรุ่นพี่เดิม รุ่นพี่เดิมก็เป็นเหยื่อของสภาพสังคมที่เละเทะฟอนเฟะที่เริ่มจากสถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษา และรุ่นน้องน่าจะมีความคิดที่จะระงับไม่ให้วัฏจักรดังกล่าวดำเนินต่อไป ซึ่งก็ปล่อยมาเนิ่นนานจนกระทั่งผลสุดท้ายจึงต่อสู้ด้วยการขัดขืนไม่เห็นด้วยกับวิธีการดังกล่าวดังปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
ประเด็นสำคัญคือ ถ้ารุ่นน้องขาดอาตมันปัจเจกภาพ ขาดความเชื่อมั่น ขาดความเคารพตนเอง รุ่นน้องบางส่วนอาจจะยินดีเป็นส่วนหนึ่งของระบบอันเลวร้ายโดยไม่รู้ตัว และเป็นตัวจักรสำคัญในการสืบทอดให้วงจรครบวงหมุนเวียนเปลี่ยนไปโดยไม่สิ้นสุด และสภาพดังกล่าวก็อาจไม่ยกเว้นกับครูบาอาจารย์ที่ผ่านกระบวนการดังกล่าวมา
ความสำเร็จของการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับหลายตัวแปร และตราบเท่าที่สังคมไทยยังมีปรากฏการณ์เช่นนี้ สะท้อนถึงค่านิยม ปทัสถาน สภาวะทางจิตใจ (mindset) ของประชาชนจำนวนมาก ก็อย่าหวังเลยว่าการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยจะประสบความสำเร็จ เพราะตัวแปรสำคัญที่สุดคือวัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตยไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ตั้งแต่หน่วยสำคัญที่สุดอันเป็นหน่วยพื้นฐานของสังคมคือครอบครัว
พื้นฐานของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยคือ ประชาชนต้องมีอาตมันทางการเมืองแบบประชาธิปไตย (democratic political self) ซึ่งหมายถึงการมองตัวเองว่ามีสิทธิเสรีภาพ มีความเสมอภาค มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มีความเคารพตนเอง ให้ความเคารพผู้อื่น รักษาสิทธิเสรีภาพของตนเอง เคารพและต่อสู้เพื่อสิทธิของผู้อื่น ฯลฯ
อาตมันทางการเมืองแบบประชาธิปไตยนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มจากการมีอาตมันทางการเมืองแบบปัจเจกภาพ (selfhood) และการเคารพตนเอง (self-esteem) ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะสร้างขึ้นได้ภายใต้สภาวะทางวัฒนธรรม และกระบวนการกล่อมเกลาเรียนรู้ที่มีอยู่ในสังคมขณะนี้