xs
xsm
sm
md
lg

การเสียสามจังหวัดภาคใต้ใกล้เข้ามาแล้ว!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

คอลัมน์นี้ได้แสดงความห่วงใยถึงสถานการณ์ที่เป็นไปในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาโดยลำดับว่า หากยังเป็นไปเช่นที่เป็นมา วันหนึ่งก็จะเสียดินแดนสามจังหวัดภาคใต้ และวันนี้สิ่งที่หวาดหวั่นนั้นก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งใกล้เข้ามาเต็มที

จึงจำเป็นที่จะต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่พูดมาหลายครั้งแล้ว แต่หามีผู้ใดใส่ใจรับฟังไม่! ถึงกระนั้นก็ยังต้องพูดกันต่อไปเพราะเราก็เป็นคนไทย และประเทศไทยก็เป็นของเราเหมือนกัน

การที่คนร้ายใช้อาวุธสงครามบุกเข้าไปยิงพี่น้องมุสลิมที่กำลังทำละหมาดอยู่ในมัสยิด ในพื้นที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส จนมีคนตาย 12 คน และคนเจ็บสาหัสอีก 12 คน เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และมันก็เกิดขึ้นแล้ว

มันเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวที่ติดตามมา 2 กระแส คือการมุ่งร้ายป้ายผิดให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และอีกกระแสหนึ่งคือจะมีการยกระดับความรุนแรงถึงขั้นใช้รถแก๊สเป็นคาร์บอมบ์

เรื่องของกระแสคำเล่าข่าวลือก็ว่ากันไป แต่อย่างน้อยที่สุดกระแสข่าวดังกล่าวก็ส่งผลกระเทือนใน 2 เรื่องใหญ่ คือ

เรื่องแรก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้ลบล้างคำกล่าวทั้งปวงที่ว่าการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้มาถูกทางแล้ว ได้ผลดีแล้ว สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว อย่างสิ้นเชิง และยังสะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายตรงกันข้ามสามารถปฏิบัติการได้ตามอำเภอใจในทุกพื้นที่ ในทุกเวลา และทุกระดับของสถานการณ์ สุดแท้แต่จะต้องการ

เรื่องที่สอง เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่มีขีดความสามารถที่จะรู้ได้เลยว่ากำลังสู้รบอยู่กับใคร ไม่อยู่ในฐานะที่จะรู้ “เขา” เลย แม้ว่าเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นมาถึง 5 ปี 6 เดือนแล้ว กระทั่งไม่รู้ว่าใครคือผู้ก่อเหตุร้ายคราวนี้ และย่อมเป็นที่แน่นอนว่าคงไม่สามารถจับคนร้ายได้เหมือนอย่างเคย

คัมภีร์พิชัยสงครามระบุว่า กองทัพที่กุมชัยชนะแล้วเข้าทำสงครามเพื่อให้ชัยชนะปรากฏขึ้นเท่านั้น แต่กองทัพที่ปราชัยเข้าทำสงครามเพื่อหวังจะให้ได้ชัยชนะ

นับแต่เกิดเหตุการณ์ปล้นปืนที่ค่ายทหารเจาะไอร้องเมื่อเดือนมกราคม 2547 นับถึงบัดนี้เป็นเวลา 5 ปี 6 เดือนแล้ว ภายใต้คำกล่าวที่ว่าแก้ไขปัญหาถูกทางแล้ว สถานการณ์ดีขึ้นแล้วนั้น ความจริงเป็นอย่างไรเล่า? ความจริงก็คือ

ประการแรก รัฐได้สูญเสียงบประมาณรวมกันกว่า 100,000 ล้านบาทแล้ว มันมากมายสุดจะคณา ถึงขนาดทำให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้กลายเป็นดินแดนที่รุ่งเรือง ก้าวหน้า และมีความมั่งคั่งได้แล้ว แต่ความจริงในวันนี้บรรยากาศแห่งความตายกำลังครอบงำพื้นที่นั้นอย่างหนาแน่น โดยที่ไม่มีถนนเกิดใหม่ ไม่มีการปักเสาเดินสายไฟฟ้า ไม่มีการพัฒนา ไม่มีการลงทุน ไม่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเลย

ประการที่สอง จากพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีตำรวจระดับกองบังคับการจังหวัด ก็เกิดมีศูนย์ปฏิบัติการตำรวจส่วนหน้าและล่าสุดก็ยกระดับกลายเป็นกองบัญชาการภาค 10 ของตำรวจ ที่มีอัตรากำลังถึง 20,000 คนไปแล้ว แต่ความไม่ปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน ก็ยังแน่นหนามากขึ้นกว่าเมื่อปี 2547 เสียอีก แม้กระทั่งข่าวคราวความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงกันข้ามก็ยังคงเลื่อนลอยและไม่สามารถรู้ได้ว่าฝ่ายตรงกันข้ามเป็นใคร มีสายการบัญชาการอย่างไร และแสวงหาวัตถุระเบิดมาจากที่ไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการป้องกันใดๆ เพราะในเมื่อไม่รู้ในสิ่งเหล่านี้แล้ว จะป้องกันได้อย่างไรเล่า

ประการที่สาม จากการใช้กำลังฝ่ายทหารในพื้นที่ ซึ่งมีกองพลหลักอยู่ที่จังหวัดปัตตานีก็ยกระดับขึ้น จนกลายเป็นกองกำลังผสมขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีปฏิบัติการภายในประเทศ มีการใช้กำลังจากแหล่งอื่นเข้าไปเสริมสมทบ จนอาจกล่าวได้ว่าได้ทุ่มเทสรรพกำลังอย่างเต็มที่แล้ว แต่เหตุการณ์ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยกระดับความรุนแรงยิ่งขึ้นดังที่รู้เห็นกันอยู่

ที่สำคัญคือรูปแบบการใช้กำลังยังคงเป็นแบบเดิม คือการใช้คนไปล่อเป้าให้เขายิงด้วยวิธีการตั้งกำลังส่วนใหญ่ไว้ในที่ตั้ง ใช้กำลังส่วนน้อยออกไปลาดตระเวน หรือไปอารักขาครู พระ และสถานที่ราชการ ทำให้ถูกลอบทำร้าย ถูกลอบฆ่าอย่างต่อเนื่อง รูปแบบนี้คือรูปแบบของความพ่ายแพ้ ซึ่งสหรัฐอเมริกาผู้เป็นต้นแบบในการออกรูปแบบชนิดนี้ได้สรุปผลของการใช้รูปแบบใช้กำลังชนิดนี้แล้วว่าเป็นรูปแบบเพื่อความพ่ายแพ้ในการสงครามยุคใหม่

ประการที่สี่ พื้นที่สามจังหวัด สี่อำเภอของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วยหมู่บ้านประมาณ 1,500 หมู่บ้าน ในภูมิประเทศที่แตกต่าง ตั้งแต่ภูเขาสูง ควน ที่ราบระหว่างเชิงเขา พื้นที่ราบ ป่าเขารกชัฏ แหล่งน้ำ และชายทะเล ยังคงตกอยู่ในการควบคุมของ “ทหารบ้าน” ของฝ่ายตรงกันข้ามแทบจะสิ้นเชิง สามารถกุมสภาพการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ สามารถเคลื่อนย้ายกำลัง ซ่องสุมกำลัง ฝึกฝนกำลัง ออกปฏิบัติการและหลบหนีได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยเสมอมา โดยที่กำลังจำนวนมหาศาลของรัฐไม่สามารถจำกัดการเคลื่อนไหวและปฏิบัติการของฝ่ายตรงกันข้ามได้

บางพื้นที่ที่มีความสงบเงียบ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีปัญหา แต่นั่นอาจหมายความว่าฝ่ายตรงกันข้ามได้ยึดครองจนสามารถก่อตั้งอำนาจรัฐซ้อนอำนาจรัฐแล้วก็ได้ เรามีความกล้าหาญพอที่จะพูดและยอมรับความจริงกันได้สักเพียงไหนเล่า

ด้วยสี่ประการนี้ สถานการณ์จึงยังคงต้องพัฒนาต่อไป และมันจะพัฒนาไปสู่สถานการณ์ที่คนไทยพุทธ คนไทยเชื้อสายจีน ต้องหลบลี้หนีภัยออกจากพื้นที่จนหมดสิ้น และขณะนี้จำนวนประชากรเหล่านี้ก็ลดต่ำลงจนน่าวิตก คือจากปริมาณที่เคยมีถึง 350,000 คน ขณะนี้เหลืออยู่ไม่ถึง 120,000 คน เป็นตัวเลขที่ใกล้สภาพที่ทั่วทั้งพื้นที่ไม่มีคนไทยเชื้อสายอื่นเหลืออยู่อีกเลย

พลเอกณ พล บุญทับ ราชองครักษ์พิเศษ เคยนำข้อมูลมาเปิดเผยว่าบางตำบลมีชาวไทยพุทธเหลืออยู่แค่ 30 คนเท่านั้น นี่คือสภาพที่วิกฤตแล้ว แต่หามีผู้ใดเข้าใจไม่

ไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นคือสงครามประชากร ที่อาศัยธงการเมือง 3 ผืนคือ เชื้อชาติ ศาสนา มาตุภูมิ เป็นธงนำ มีเป้าหมายเพื่อขับไล่คนไทยพุทธและคนไทยเชื้อสายจีนออกจากพื้นที่ และอาศัยการยึดครองในลักษณะประชาชาติ

ไม่เข้าใจว่ายุทธศาสตร์ที่ฝ่ายตรงกันข้ามใช้คือ ยุทธศาสตร์สงครามยืดเยื้อ และยุทธศาสตร์สงครามจรยุทธ์ในสงครามยืดเยื้อ ประสานการเคลื่อนไหวกับแนวรบสากลที่มีเป้าหมายสุดท้ายคืออาศัยองค์กรสันนิบาตประเทศอิสลามโลกหรือโอไอซีเป็นปากเสียงในการเสนอปัญหาต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่ารัฐไทยล้มเหลว ไม่สามารถดูแลรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ได้ จำเป็นจะต้องขอแบ่งแยกดินแดนเพื่อปกครองกันเองแบบที่เคยเกิดขึ้นในติมอร์ตะวันออก

เมื่อไม่เข้าใจเรื่องใหญ่ 2 เรื่องนี้ ไหนเล่าจะเข้าใจสถานการณ์และพลิกผันสถานการณ์นำความสงบสุขกลับคืนสู่ดินแดนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ มีแต่จะจมปลักดำดิ่งลงไป จนกระทั่งความปราชัยขั้นสุดท้ายมาถึง

เพราะเหตุไม่เข้าใจ 2 เรื่องนี้ จึงไม่ใฝ่ใจศึกษายุทธศาสตร์พระราชทานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระราชทานไว้ว่า เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา

พูดกันแต่ปากว่าเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา แต่ในส่วนเนื้อหาเล่า เข้าใจภูมิประวัติศาสตร์แค่ไหน เข้าใจภูมิประชากร เข้าใจภูมิประเทศ เข้าใจภูมิอากาศ เข้าใจสถานการณ์ ทั้งระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ ระดับนานาชาติเพียงไหนเล่า เมื่อไม่เข้าใจเสียแล้วจะเข้าถึงได้อย่างไร หรือเมื่อไม่สามารถเข้าถึงในเรื่องเหล่านี้แล้วจะเข้าใจได้อย่างไรเล่า

และเมื่อไม่เข้าถึง ไม่เข้าใจ การพัฒนาก็ไม่เกิดขึ้น ไม่เห็นหรือว่างบประมาณร่วม 100,000 ล้านบาทที่ถูกใช้ไปนั้นไม่ได้มีการพัฒนาใดๆ เกิดขึ้น ผลที่ได้ก็คือบรรยากาศแห่งความตายที่ปกคลุมพื้นที่นั้นอย่างแน่นหนา

บ้างก็พูดกันเรื่องการเมืองนำการทหาร แต่ถามจริงๆ เถิดว่าการเมืองที่ว่านี้คืออะไร เพราะหากไม่เข้าใจพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผู้เป็นบิดรแห่งหลักยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหาร อันเกริกก้องนับแต่อดีตถึงปัจจุบันแล้ว ไหนเลยจะเข้าใจยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหารได้ อย่างมากก็ได้แค่พูดตามๆ กันมา โดยที่ไม่มีเนื้อหาแก่นสารใด ๆ

หากอยากจะรู้และเข้าใจหลักยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหาร เพื่อนำไปใช้หรือนำไปปฏิบัติให้เป็นมรรคเป็นผล ก็พึงศึกษาค้นคว้าเอาจากหนังสือปรัชญาแผ่นดิน ซึ่งพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้รวบรวมไว้นั้นเถิด

เรื่องของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และพี่น้องมุสลิมถูกคิดว่าเป็นปัญหา ถูกมองว่าเป็นปัญหา และถูกปฏิบัติอย่างเป็นปัญหามานับร้อยปีแล้ว จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คือปัญหาและวิกฤต ซึ่งจะก้าวไปสู่การสูญเสียดินแดนในอนาคตอันไม่ไกล

หยุดเสียทีเถิดความคิดที่ปรับแต่โครงสร้าง เพิ่มแต่กำลัง หรืออัตรา หรือตำแหน่ง หรืองบประมาณ แต่จะต้องเร่งการใช้ความคิดอ่าน และสติปัญญา ความกล้าหาญตัดสินใจ ในการแก้ไขปัญหาเพื่อพิทักษ์รักษาดินแดนนี้ไว้ชั่วกัลปาวสาน

พี่น้องมุสลิมและสามจังหวัดชายแดนภาคใต้คือโอกาสอันประเสริฐของประเทศไทย ไม่ใช่ปัญหาหรือวิกฤต จึงต้องปรับความคิดส่วนนี้ให้มีความชัดเจน เพราะเมื่อคิด พูด และทำอย่างเป็นโอกาสแล้ว สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะกลายเป็นประตูทองคำของประเทศไทย

เชื่อมประเทศไทยเข้ากับโลกอิสลามอันมั่งคั่งและรุ่งเรือง ที่มีประชากรกว่า 1,500 ล้านคน เพิ่มพูนความสัมพันธ์และความร่วมมือทางการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชาติไทยและประชาชาติมุสลิมทั่วโลกด้วย.
กำลังโหลดความคิดเห็น