ASTVผู้จัดการรายวัน- บอร์ดบีโอไอเปิดประเภทกิจการประกอบรถยนต์ใหม่ภายใต้เงื่อนไขสำคัญต้องเป็นเทคโนโลยีใหม่ไม่มีผลิตในไทย ลงทุนไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท ยื่นขอรับส่งเสริมฯภายในปี 2553 พร้อม คลอดมาตรการจูงใจให้บริษัทที่ได้รับส่งเสริม จดทะเบียนใน ตลท. และเอ็มเอไอได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ไม่จำกัดวงเงิน
นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานวานนี้(10มิ.ย.) ว่า ที่ประชุมฯเห็นชอบให้เปิดประเภทกิจการประกอบรถยนต์ขึ้นใหม่ เพื่อจูงใจให้ผู้ผลิตรถยนต์ย้ายฐานการผลิตจากประเทศอื่นๆ เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือจะต้อง มีปริมาณการผลิต ไม่น้อยกว่า 100,000 คันต่อปี ภายใน 5 ปีแรก ของการผลิต มีการลงทุนสร้างสายการประกอบรถยนต์ (Assembly Line)ใหม่ มีขนาดการลงทุน โดยไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้จะต้องมีการผลิตรถยนต์แบบใหม่ที่ยังไม่เคยมีการผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยมาก่อน และต้องมีรุ่นที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น รถยนต์แบบผสมที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและ ไฟฟ้า (Hybrid Electric Vehicle) หรือใช้พลังงานทดแทนในโครงการด้วย พร้อมกันนี้จะต้องเสนอแผนการลงทุนผลิตชิ้นส่วนหรือการใช้ชิ้นส่วน และจะต้องได้รับความ เห็นชอบจากคณะกรรมการ โดยไม่อนุญาตให้ขยายเวลาการดำเนินการตามที่กำหนดในบัตรส่งเสริมและการลงทุนจะต้องยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนภายในปี 2553
สำหรับสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ ประกอบด้วย ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรทุกเขต ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 5 ปี หากมีขนาดการลงทุนที่ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท และได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 6 ปี หากมีขนาดการลงทุนที่ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท ไม่ว่าจะตั้งในเขตใด ทั้งนี้ ให้ได้รับเพิ่มเติมอีก 1 ปี หากยื่นคำขอภายในปี 2552 โดยมูลค่าภาษีที่ยกเว้นไม่เกินมูลค่าเงินลงทุนของโครงการ
นางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล เลขาฯบีโอไอ กล่าวว่า บอร์ดบีโอไอมีมติเห็นชอบมาตรการจูงใจให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เพื่อเพิ่มมูลค่าตลาดและความเข้มแข็งให้กับตลาดหลักทรัพย์ของไทย
โดยมาตรการดังกล่าว จะเปิดโอกาสให้ กิจการทุกประเภทที่บีโอไอให้การส่งเสริมการลงทุน หากได้ดำเนินการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ จะได้รับสิทธิประโยชน์จากเดิมที่กำหนดวงเงินภาษีเงินได้ที่ได้รับยกเว้น เป็นไม่จำกัดวงเงินภาษี อย่างไรก็ตาม เพื่อให้มาตรการดังกล่าวมีผลในการเร่งรัดและกระตุ้นให้บริษัทที่มีศักยภาพเข้าจดทะเบียนในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ จึงกำหนดที่จะให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่บัดนี้ ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ซึ่งเป็นช่วงเวลา ที่สอดคล้องกับแผนปฎิบัติการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือ “ไทยเข้มแข็ง 2555” ของรัฐบาล
ปรับเงื่อนไขส่งเสริมบ้านบีโอไอ
ทั้งนี้ที่ประชุมฯยังเห็นชอบการปรับปรุงเงื่อนไขและราคาจำหน่ายในกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลาง หรือบ้านบีโอ ด้วยการกำหนดเงื่อนไขของผู้ประกอบการที่จะต้องจัดที่อยู่อาศัยไม่น้อยกว่า 50 หน่วยสำหรับทุกเขต โดยโครงการที่ตั้งในเขต 1 กรณีการก่อสร้างอาคารชุด จะต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 28 ตารางเมตร และจำหน่ายในราคาหน่วยละไม่เกินหนึ่งล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) กรณีการก่อสร้างบ้านแถวหรือบ้านเดี่ยวจะต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 70 ตารางเมตร และจำหน่ายในราคาหน่วยละไม่เกิน หนึ่งล้านสองแสนบาท (รวมค่าที่ดิน)
สำหรับโครงการที่ตั้งในเขต 2 และเขต 3 ยังคงเงื่อนไขเดิม คือ จะต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 31 ตารางเมตร และจำหน่ายในราคาหน่วยละไม่เกิน หกแสนบาท (รวมค่าที่ดิน)
นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานวานนี้(10มิ.ย.) ว่า ที่ประชุมฯเห็นชอบให้เปิดประเภทกิจการประกอบรถยนต์ขึ้นใหม่ เพื่อจูงใจให้ผู้ผลิตรถยนต์ย้ายฐานการผลิตจากประเทศอื่นๆ เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือจะต้อง มีปริมาณการผลิต ไม่น้อยกว่า 100,000 คันต่อปี ภายใน 5 ปีแรก ของการผลิต มีการลงทุนสร้างสายการประกอบรถยนต์ (Assembly Line)ใหม่ มีขนาดการลงทุน โดยไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้จะต้องมีการผลิตรถยนต์แบบใหม่ที่ยังไม่เคยมีการผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยมาก่อน และต้องมีรุ่นที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น รถยนต์แบบผสมที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและ ไฟฟ้า (Hybrid Electric Vehicle) หรือใช้พลังงานทดแทนในโครงการด้วย พร้อมกันนี้จะต้องเสนอแผนการลงทุนผลิตชิ้นส่วนหรือการใช้ชิ้นส่วน และจะต้องได้รับความ เห็นชอบจากคณะกรรมการ โดยไม่อนุญาตให้ขยายเวลาการดำเนินการตามที่กำหนดในบัตรส่งเสริมและการลงทุนจะต้องยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนภายในปี 2553
สำหรับสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ ประกอบด้วย ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรทุกเขต ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 5 ปี หากมีขนาดการลงทุนที่ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท และได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 6 ปี หากมีขนาดการลงทุนที่ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท ไม่ว่าจะตั้งในเขตใด ทั้งนี้ ให้ได้รับเพิ่มเติมอีก 1 ปี หากยื่นคำขอภายในปี 2552 โดยมูลค่าภาษีที่ยกเว้นไม่เกินมูลค่าเงินลงทุนของโครงการ
นางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล เลขาฯบีโอไอ กล่าวว่า บอร์ดบีโอไอมีมติเห็นชอบมาตรการจูงใจให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เพื่อเพิ่มมูลค่าตลาดและความเข้มแข็งให้กับตลาดหลักทรัพย์ของไทย
โดยมาตรการดังกล่าว จะเปิดโอกาสให้ กิจการทุกประเภทที่บีโอไอให้การส่งเสริมการลงทุน หากได้ดำเนินการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ จะได้รับสิทธิประโยชน์จากเดิมที่กำหนดวงเงินภาษีเงินได้ที่ได้รับยกเว้น เป็นไม่จำกัดวงเงินภาษี อย่างไรก็ตาม เพื่อให้มาตรการดังกล่าวมีผลในการเร่งรัดและกระตุ้นให้บริษัทที่มีศักยภาพเข้าจดทะเบียนในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ จึงกำหนดที่จะให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่บัดนี้ ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ซึ่งเป็นช่วงเวลา ที่สอดคล้องกับแผนปฎิบัติการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือ “ไทยเข้มแข็ง 2555” ของรัฐบาล
ปรับเงื่อนไขส่งเสริมบ้านบีโอไอ
ทั้งนี้ที่ประชุมฯยังเห็นชอบการปรับปรุงเงื่อนไขและราคาจำหน่ายในกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลาง หรือบ้านบีโอ ด้วยการกำหนดเงื่อนไขของผู้ประกอบการที่จะต้องจัดที่อยู่อาศัยไม่น้อยกว่า 50 หน่วยสำหรับทุกเขต โดยโครงการที่ตั้งในเขต 1 กรณีการก่อสร้างอาคารชุด จะต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 28 ตารางเมตร และจำหน่ายในราคาหน่วยละไม่เกินหนึ่งล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) กรณีการก่อสร้างบ้านแถวหรือบ้านเดี่ยวจะต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 70 ตารางเมตร และจำหน่ายในราคาหน่วยละไม่เกิน หนึ่งล้านสองแสนบาท (รวมค่าที่ดิน)
สำหรับโครงการที่ตั้งในเขต 2 และเขต 3 ยังคงเงื่อนไขเดิม คือ จะต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 31 ตารางเมตร และจำหน่ายในราคาหน่วยละไม่เกิน หกแสนบาท (รวมค่าที่ดิน)
