ASTVผู้จัดการรายวัน -นายจ้าง-ลูกจ้างกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหด สวนทางเงินลงทุนพุ่ง เผยเดือนเมษายนสินทรัพย์รวมทั้งอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นกว่า 8,586.41 ล้านบาท หลังได้อานิสงส์ดัชนีหุ้นไทยทะยาน สมาคมบลจ. ไม่หยุดความพยายาม เดินหน้าหารือ สศค. อธิบายเหตุผลขอหยุดส่งเงินเข้ากองทุน
รายงานข่าวจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) เปิดเผยถึงตัวเลขเงินลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดือนล่าสุด (สิ้นสุด เมษายน 2552) ว่า ในแง่ของเงินลงทุน ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้านี้ โดยได้อานิสงส์จากการที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชียรวมถึงไทยด้วย ซึ่งจากปัจจัยบวกดังกล่าว ทำให้จำนวนเงินลงทุนทั้งอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นประมาณ 8,586.41 ล้านบาทมาอยู่ที่ 479,922.18 ล้านบาท จากเงินลงทุนรวม 471,335.77 ล้านบาทในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเงินลงทุนจะเพิ่มขึ้นแต่หากดูตัวเลขนายจ้างและจำนวนสมาชิกซึ่งเป็นลูกจ้างแล้ว จะพบว่า มีการปรับลดลงสวนทางจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจ ที่เป็นปัจจัยชะลอการขยายตัวของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เนื่องจากนายจ้างและลูกจ้างบางส่วนขอถอนตัวออกจากกองทุน เพราะไม่สามารถจ่ายเงินเข้ากองทุนอย่างต่อเนื่องได้ ประกอบกับการลดจำนวนพนักงานหรือเลิกกิจการน่าจะส่งผลกระทบต่อจำนวนนายจ้าง และจำนวนสมาชิกในระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเช่นกัน โดยจำนวนสมาชิกในเดือนเมษายนเริ่มลดลงหลังจากที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอด ล่าสุด จำนวนนายจ้างอยู่ที่ 10,017 ราย ลดลงจากเดือนก่อนซึ่งมีจำนวนนายจ้างรวม 10,028 ราย ส่วนจำนวนสมาชิกมีทั้งหมด 2,049,500 ราย ลดลงจากเดือนก่อนเช่นกันซึ่งมีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 2,061,400 ราย
ทั้งนี้ จากผลกระทบของปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้สมาคมบริษัทจัดการลงทุน ทำหนังสือถึงหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อขอให้บริษัทนายจ้างสามารถหยุดส่งเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการชั่วคราว 6 - 12 เดือนได้ เพื่อช่วยลดการยุบเลิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เช่นเดียวกับในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา โดยข้อมูลล่าสุดพบว่า นับตั้งแต่เดือนพ.ย. 51 – มี.ค. 52 มีนายจ้างที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพประสบปัญหาถึงขั้นต้องยกเลิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือปรึกษาเพื่อขอลดเงินสมทบกว่า 200 บริษัท คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 5 พันล้านบาท ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากที่สมาคมฯ รวบรวมก่อนหน้านี้ ณ วันที่ 17 ก.พ.52 มีเพียง 150 บริษัท มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 3,461.67 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีข่าวอย่างไม่เป็นทางการจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลออกมาว่า ไม่เห็นด้วยกับการหยุดส่งเงินชั่วคราว โดยเสนอให้ลดสัดส่วนลงให้อยู่ในระดับ 2-15% แทน ซึ่งเรื่องนี้ นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า ทางสมาคมบลจ.เอง ยังคงพยายามที่จะผลักดันต่อไป โดยในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เอง ก็เห็นด้วยกับการหยุดส่งเงินเข้ากองทุนชั่วคราวเช่นกัน ซึ่งหลังจากนี้ จะเข้าไปหารือและอธิบายเหตุผลให้ทาง สศค. ฟังอีกครั้ง ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรนั้น คงขึ้นอยู่กับสศค. ซึ่งเราเองคงต้องเคารพการตัดสินใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศการแข่งขันในอุตสาหกรรมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเอง ยังคงดุเดือดเช่นเดียวกับช่วงที่ผ่านมา โดยเป็นการโยกย้ายสับเปลี่ยนบริษัทจัดการกองทุนเป็นหลัก ซึ่งส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ล่าสุด พบว่าอันดับหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลง โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด ขยับขึ้นจากอันดับ 3 มาเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยเงินลงทุนรวม 71,718.36 ล้านบาท โดยมีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 11,609.50 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้านี้ซึ่งมีเงินลงทุน 60,108.85 ล้านบาท ทั้งนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ ได้เงินของทุนของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC มาบริหาร
อันดับ 2 บลจ.กสิกรไทยแชมป์เก่า มีเงินลงทุนรวม 66,227.61ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 1,336.58 ล้านบาท อันดับ 3 บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ด้วยเงินลงทุนรวม 62,039.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 1,584.62 ล้านบาท อันดับ 4 บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ด้วยเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 60,008.86 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้น 1,042.59 ล้านบาท อันดับ 5 บลจ.ทิสโก้ ด้วยเงินลงทุนรวม 59,499.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 1,494.39 ล้านบาท
อันดับ 6 บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีสินทรัพย์ลดลงสูงถึง 8,325.29 ล้านบาท มาอยู่ที่ 44,261.34 ล้านบาท ทั้งนี้ การลดลงดังกล่าวน่าจะเป็นการโยกย้ายบริษัทจัดการระหว่างกันเอง อันดับ 7 ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ด้วยสินทรัพย์รวม 38,421.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 1,628.37 ล้านบาท อันดับ 8 บริษัท อเมริกันอินเตอร์เนชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด มีเงินลงทุนลงทุนรวม 15,116.76 ล้านบาท ลดลงประมาณ 1,325.29 ล้านบาท อันดับ 9 บลจ.ฟินันซ่า มีเงินลงทุนรวม 12,376.04 ล้านบาท และอันดับ 10 บลจ.อยุธยา ด้วยเงินลงทุนรวม 10,805.18 ล้านบาท
รายงานข่าวจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) เปิดเผยถึงตัวเลขเงินลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดือนล่าสุด (สิ้นสุด เมษายน 2552) ว่า ในแง่ของเงินลงทุน ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้านี้ โดยได้อานิสงส์จากการที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชียรวมถึงไทยด้วย ซึ่งจากปัจจัยบวกดังกล่าว ทำให้จำนวนเงินลงทุนทั้งอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นประมาณ 8,586.41 ล้านบาทมาอยู่ที่ 479,922.18 ล้านบาท จากเงินลงทุนรวม 471,335.77 ล้านบาทในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเงินลงทุนจะเพิ่มขึ้นแต่หากดูตัวเลขนายจ้างและจำนวนสมาชิกซึ่งเป็นลูกจ้างแล้ว จะพบว่า มีการปรับลดลงสวนทางจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจ ที่เป็นปัจจัยชะลอการขยายตัวของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เนื่องจากนายจ้างและลูกจ้างบางส่วนขอถอนตัวออกจากกองทุน เพราะไม่สามารถจ่ายเงินเข้ากองทุนอย่างต่อเนื่องได้ ประกอบกับการลดจำนวนพนักงานหรือเลิกกิจการน่าจะส่งผลกระทบต่อจำนวนนายจ้าง และจำนวนสมาชิกในระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเช่นกัน โดยจำนวนสมาชิกในเดือนเมษายนเริ่มลดลงหลังจากที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอด ล่าสุด จำนวนนายจ้างอยู่ที่ 10,017 ราย ลดลงจากเดือนก่อนซึ่งมีจำนวนนายจ้างรวม 10,028 ราย ส่วนจำนวนสมาชิกมีทั้งหมด 2,049,500 ราย ลดลงจากเดือนก่อนเช่นกันซึ่งมีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 2,061,400 ราย
ทั้งนี้ จากผลกระทบของปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้สมาคมบริษัทจัดการลงทุน ทำหนังสือถึงหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อขอให้บริษัทนายจ้างสามารถหยุดส่งเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการชั่วคราว 6 - 12 เดือนได้ เพื่อช่วยลดการยุบเลิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เช่นเดียวกับในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา โดยข้อมูลล่าสุดพบว่า นับตั้งแต่เดือนพ.ย. 51 – มี.ค. 52 มีนายจ้างที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพประสบปัญหาถึงขั้นต้องยกเลิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือปรึกษาเพื่อขอลดเงินสมทบกว่า 200 บริษัท คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 5 พันล้านบาท ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากที่สมาคมฯ รวบรวมก่อนหน้านี้ ณ วันที่ 17 ก.พ.52 มีเพียง 150 บริษัท มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 3,461.67 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีข่าวอย่างไม่เป็นทางการจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลออกมาว่า ไม่เห็นด้วยกับการหยุดส่งเงินชั่วคราว โดยเสนอให้ลดสัดส่วนลงให้อยู่ในระดับ 2-15% แทน ซึ่งเรื่องนี้ นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า ทางสมาคมบลจ.เอง ยังคงพยายามที่จะผลักดันต่อไป โดยในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เอง ก็เห็นด้วยกับการหยุดส่งเงินเข้ากองทุนชั่วคราวเช่นกัน ซึ่งหลังจากนี้ จะเข้าไปหารือและอธิบายเหตุผลให้ทาง สศค. ฟังอีกครั้ง ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรนั้น คงขึ้นอยู่กับสศค. ซึ่งเราเองคงต้องเคารพการตัดสินใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศการแข่งขันในอุตสาหกรรมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเอง ยังคงดุเดือดเช่นเดียวกับช่วงที่ผ่านมา โดยเป็นการโยกย้ายสับเปลี่ยนบริษัทจัดการกองทุนเป็นหลัก ซึ่งส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ล่าสุด พบว่าอันดับหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลง โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด ขยับขึ้นจากอันดับ 3 มาเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยเงินลงทุนรวม 71,718.36 ล้านบาท โดยมีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 11,609.50 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้านี้ซึ่งมีเงินลงทุน 60,108.85 ล้านบาท ทั้งนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ ได้เงินของทุนของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC มาบริหาร
อันดับ 2 บลจ.กสิกรไทยแชมป์เก่า มีเงินลงทุนรวม 66,227.61ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 1,336.58 ล้านบาท อันดับ 3 บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ด้วยเงินลงทุนรวม 62,039.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 1,584.62 ล้านบาท อันดับ 4 บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ด้วยเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 60,008.86 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้น 1,042.59 ล้านบาท อันดับ 5 บลจ.ทิสโก้ ด้วยเงินลงทุนรวม 59,499.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 1,494.39 ล้านบาท
อันดับ 6 บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีสินทรัพย์ลดลงสูงถึง 8,325.29 ล้านบาท มาอยู่ที่ 44,261.34 ล้านบาท ทั้งนี้ การลดลงดังกล่าวน่าจะเป็นการโยกย้ายบริษัทจัดการระหว่างกันเอง อันดับ 7 ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ด้วยสินทรัพย์รวม 38,421.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 1,628.37 ล้านบาท อันดับ 8 บริษัท อเมริกันอินเตอร์เนชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด มีเงินลงทุนลงทุนรวม 15,116.76 ล้านบาท ลดลงประมาณ 1,325.29 ล้านบาท อันดับ 9 บลจ.ฟินันซ่า มีเงินลงทุนรวม 12,376.04 ล้านบาท และอันดับ 10 บลจ.อยุธยา ด้วยเงินลงทุนรวม 10,805.18 ล้านบาท