เอเอฟพี/ เอเจนซี – ปริศนาเกี่ยวกับสาเหตุการตกของเครื่องบินแอร์ฟรานซ์ที่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก บริเวณนอกชายฝั่งบราซิล กลับยิ่งลึกลับขึ้นไปอีกเมื่อวานนี้(5) ภายหลังเจ้าหน้าที่แดนแซมบ้ายอมรับว่าสิ่งของต่างๆ ที่พวกเขาดึงขึ้นจากทะเลนั้น พอตรวจสอบดูแล้วกลับไม่ได้เป็นเศษซากของเครื่องแอร์บัส เอ 330 เคราะห์ร้าย สำหรับทางด้านทีมสอบสวนของฝรั่งเศส วานนี้ก็ได้เปิดเผยเบาะแสทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ชิ้นแรก ซึ่งอาจสาวไปถึงสาเหตุการประสบเคราะห์ของเครื่องบินมรณะลำดังกล่าว
หน่วยกู้ภัยทางทะเลทั้งของฝรั่งเศสและบราซิล ยังคงเร่งทำงานอย่างหนักเพื่อติดตามค้นหาซากเครื่องบินแอร์บัสลำนี้
"เราต้องทำงานแข่งกับเวลา" โดมินิค บุสส์โร รัฐมนตรีคมนาคมของฝรั่งเศสกล่าว ขณะเข้าสู่วันที่ 5 ภายหลังเที่ยวบินโดยสารเอเอฟ447 ซึ่งเดินทางจากเมืองริโอ เด จาไนโรในบราซิลไปยังกรุงปารีสของฝรั่งเศส ประสบอุบัติเหตุตกลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกท่ามกลางพายุกรรโชกหนัก พร้อมกับผู้โดยสารและลูกเรือ 228 ชีวิต
เนื่องจากยังไม่พบกล่องดำของเครื่องบิน ซึ่งเก็บบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ตลอดการเดินทาง ทีมสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวจึงมุ่งเป้าไปที่ข้อความอัตโนมัติ ที่ส่งมาจากเครื่องบินลำเกิดเหตุ ก่อนที่จะขาดการติดต่อและหายไปจากจอเรดาร์อย่างปริศนาเมื่อวันจันทร์(1)
หน่วยงานสอบสวนความปลอดภัยทางอากาศของฝรั่งเศสแถลงในวันศุกร์(5)ว่า เครื่องบินแอร์บัส เอ330 - 200 ลำนี้ มีอุปกรณ์หลายตัวที่ใช้ตรวจวัดความเร็ว แต่จากการวิเคราะห์ข้อความอัตโนมัติต่างๆ ที่เครื่องบินลำดังกล่าวส่งออกมา ปรากฏว่าระดับความเร็วที่วัดจากอุปกรณ์ต่างๆ นั้นมีความแตกต่างกันมาก
ก่อนหน้านั้น หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ฉบับวันพฤหัสบดี(4)รายงานว่า ผู้ผลิตเครื่องบินแอร์บัสออกคำเตือนถึงสายการบินต่าง ๆ ว่า เหล่านักบินควรปฏิบัติตาม "ขั้นตอนที่กำหนดไว้" หากสงสัยว่า เครื่องแสดงความเร็วไม่ทำงาน
คำเตือนดังกล่าวมีขึ้น หลังจากเริ่มมีการคาดการว่า เครื่องบินมรณะลำนี้อาจตกลงสู่มหาสมุทร เนื่องจากบินฝ่าพายุด้วยความเร็วเกินกว่าที่ควรใช้
นิวยอร์กไทมส์รายงานด้วยว่า แอร์บัสแจ้งกับลูกค้าว่า "มีความไม่สอดคล้องกันระหว่างความเร็วต่าง ๆ" ที่วัดจากเครื่องบินแอร์ฟรานซ์ลำที่ประสบอุบัติเหตุ
จนถึงขณะนี่ ภารกิจทางทะเลเพื่อติดตามค้นหาซากเครื่องบินของสายการบินแอร์ฟรานซ์ลำนี้ ดำเนินอยู่ตรงบริเวณที่มีการยืนยันว่า พบเศษชิ้นส่วนของเครื่องบินลำดังกล่าว
อย่างไรก็ดี พลจัตวารามอน การ์โดโซผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศของบราซิลแถลงกับผู้สื่อข่าวเมื่อคืนวันพฤหัสบดี(4) ว่า "จนถึงตอนนี้ ยังไม่พบเศษชิ้นส่วนใด ๆ จากเที่ยวบินมรณะลำนี้เลย"
การแถลงคราวนี้นับเป็นการกลับลำจากที่เขาเคยแถลงก่อนหน้านี้ว่า แท่นวางของกับทุ่นลอยน้ำอีก 2 อันที่ทหารเรือเก็บกู้ขึ้นมาจากมหาสมุทรแอตแลนติกนั้น เป็นเศษซากชิ้นส่วนแรกๆของเครื่องบินมรณะลำดังกล่าว
พลจัตวาการ์โดโซยอมรับในคืนวันพฤหัสบดีว่า จริง ๆ แล้ว วัตถุเหล่านั้นเป็นเพียง "ขยะ" ในทะเลเท่านั้น ซึ่งอาจจะมาจากเรือลำใดลำหนึ่ง เช่นเดียวกับรอยน้ำมันขนาดใหญ่ ซึ่งตอนแรกเชื่อกันว่าเป็นคราบน้ำมันจากเครื่องบินแอร์ฟรานซ์ลำที่ประสบอุบัติเหตุ ก็อาจมาจากเรือลำใดลำหนึ่ง
กองเรือจากกองทัพเรือบราซิลกำลังติดตามค้นหาเศษชิ้นส่วนของเครื่องบินมรณะลำดังกล่าว อาทิ ที่นั่งโดยสารและวัตถุขนาดใหญ่ ซึ่งคล้ายคลึงกับส่วนลำตัวของเครื่องบิน ที่เครื่องบินของกองทัพอากาศแถลงว่าพบเห็นเมื่อวันอังคารและวันพุธที่ผ่านมา
แต่สำหรับความหวังที่จะพบร่างผู้เสียชีวิตนั้นกำลังริบหรี่ลงทุกที ขณะเข้าสู่วันที่ 5 ของภารกิจค้นหา โดยทางกองทัพบราซิลก็เปลี่ยนเป้าหมายมาอยู่ที่การตามหาซากเครื่องบินแอร์บัสเอ330-200 เป็นหลัก
"เวลาที่ผ่านไปทุก ๆ ขณะ ความเป็นไปได้ที่จะพบศพผู้โดยสารกำลังริบหรี่ลงตามไปด้วย" พลจัตวาการ์โดโซบอก
"ในตอนแรกเรามุ่งเน้นที่การค้นหาศพหรือผู้รอดชีวิต แต่ตอนนี้เรามุ่งเป้ามาที่การค้นหาเศษชิ้นส่วน ที่เป็นประโยชน์ต่อการสอบสวน"
เนลซัน โจบิม รัฐมนตรีกลาโหมบราซิลเคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่า "แน่นอนอยู่แล้ว" เศษชิ้นส่วนซึ่งทางเครื่องบินทหารของบราซิลมองเห็นนั้น ต้องมาจากเครื่องบินแอร์ฟรานซ์ลำดังกล่าว พร้อมกับฟันธงว่า บริเวณใกล้ ๆ แถวนั้น น่าจะเป็นจุดที่เครื่องบินตกลงสู่มหาสมุทร
ด้านรัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบการสอบสวนอุบัติเหตุครั้งนี้ ได้ส่งทีมสอบสวนไปยังบราซิล เพื่อตรวจสอบวัตถุทุกชนิดที่เก็บกู้ขึ้นมาจากบริเวณดังกล่าว ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่ง 1,000 กิโลเมตร และนำกลับไปที่ฝรั่งเศส
ทฤษฎีอื่น ๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเพื่อคลี่คลายปมปริศนาที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินมรณะลำนี้ มีตั้งแต่ฟ้าผ่าอย่างรุนแรงพร้อม ๆ กับพายุลมกรรโชกแรงตรงบริเวณดังกล่าวขณะเกิดเหตุ จนถึงความผิดพลาดของนักบิน ตลอดจนปัจจัยต่าง ๆ ประกอบกัน
เครื่องบินมรณะลำนี้ไม่ได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ โดยมีเพียงข้อมูลอัตโนมัติเป็นชุดๆ ถูกส่งออกมา ซึ่งน่าจะแสดงว่า ระบบต่างๆ ของเครื่องบินกำลังปิดลงระบบแล้วระบบเล่า หลังจากที่เครื่องบินอาจจะแตกเป็นเสี่ยง หรือดำดิ่งลงมหาสมุทร
หน่วยกู้ภัยทางทะเลทั้งของฝรั่งเศสและบราซิล ยังคงเร่งทำงานอย่างหนักเพื่อติดตามค้นหาซากเครื่องบินแอร์บัสลำนี้
"เราต้องทำงานแข่งกับเวลา" โดมินิค บุสส์โร รัฐมนตรีคมนาคมของฝรั่งเศสกล่าว ขณะเข้าสู่วันที่ 5 ภายหลังเที่ยวบินโดยสารเอเอฟ447 ซึ่งเดินทางจากเมืองริโอ เด จาไนโรในบราซิลไปยังกรุงปารีสของฝรั่งเศส ประสบอุบัติเหตุตกลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกท่ามกลางพายุกรรโชกหนัก พร้อมกับผู้โดยสารและลูกเรือ 228 ชีวิต
เนื่องจากยังไม่พบกล่องดำของเครื่องบิน ซึ่งเก็บบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ตลอดการเดินทาง ทีมสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวจึงมุ่งเป้าไปที่ข้อความอัตโนมัติ ที่ส่งมาจากเครื่องบินลำเกิดเหตุ ก่อนที่จะขาดการติดต่อและหายไปจากจอเรดาร์อย่างปริศนาเมื่อวันจันทร์(1)
หน่วยงานสอบสวนความปลอดภัยทางอากาศของฝรั่งเศสแถลงในวันศุกร์(5)ว่า เครื่องบินแอร์บัส เอ330 - 200 ลำนี้ มีอุปกรณ์หลายตัวที่ใช้ตรวจวัดความเร็ว แต่จากการวิเคราะห์ข้อความอัตโนมัติต่างๆ ที่เครื่องบินลำดังกล่าวส่งออกมา ปรากฏว่าระดับความเร็วที่วัดจากอุปกรณ์ต่างๆ นั้นมีความแตกต่างกันมาก
ก่อนหน้านั้น หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ฉบับวันพฤหัสบดี(4)รายงานว่า ผู้ผลิตเครื่องบินแอร์บัสออกคำเตือนถึงสายการบินต่าง ๆ ว่า เหล่านักบินควรปฏิบัติตาม "ขั้นตอนที่กำหนดไว้" หากสงสัยว่า เครื่องแสดงความเร็วไม่ทำงาน
คำเตือนดังกล่าวมีขึ้น หลังจากเริ่มมีการคาดการว่า เครื่องบินมรณะลำนี้อาจตกลงสู่มหาสมุทร เนื่องจากบินฝ่าพายุด้วยความเร็วเกินกว่าที่ควรใช้
นิวยอร์กไทมส์รายงานด้วยว่า แอร์บัสแจ้งกับลูกค้าว่า "มีความไม่สอดคล้องกันระหว่างความเร็วต่าง ๆ" ที่วัดจากเครื่องบินแอร์ฟรานซ์ลำที่ประสบอุบัติเหตุ
จนถึงขณะนี่ ภารกิจทางทะเลเพื่อติดตามค้นหาซากเครื่องบินของสายการบินแอร์ฟรานซ์ลำนี้ ดำเนินอยู่ตรงบริเวณที่มีการยืนยันว่า พบเศษชิ้นส่วนของเครื่องบินลำดังกล่าว
อย่างไรก็ดี พลจัตวารามอน การ์โดโซผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศของบราซิลแถลงกับผู้สื่อข่าวเมื่อคืนวันพฤหัสบดี(4) ว่า "จนถึงตอนนี้ ยังไม่พบเศษชิ้นส่วนใด ๆ จากเที่ยวบินมรณะลำนี้เลย"
การแถลงคราวนี้นับเป็นการกลับลำจากที่เขาเคยแถลงก่อนหน้านี้ว่า แท่นวางของกับทุ่นลอยน้ำอีก 2 อันที่ทหารเรือเก็บกู้ขึ้นมาจากมหาสมุทรแอตแลนติกนั้น เป็นเศษซากชิ้นส่วนแรกๆของเครื่องบินมรณะลำดังกล่าว
พลจัตวาการ์โดโซยอมรับในคืนวันพฤหัสบดีว่า จริง ๆ แล้ว วัตถุเหล่านั้นเป็นเพียง "ขยะ" ในทะเลเท่านั้น ซึ่งอาจจะมาจากเรือลำใดลำหนึ่ง เช่นเดียวกับรอยน้ำมันขนาดใหญ่ ซึ่งตอนแรกเชื่อกันว่าเป็นคราบน้ำมันจากเครื่องบินแอร์ฟรานซ์ลำที่ประสบอุบัติเหตุ ก็อาจมาจากเรือลำใดลำหนึ่ง
กองเรือจากกองทัพเรือบราซิลกำลังติดตามค้นหาเศษชิ้นส่วนของเครื่องบินมรณะลำดังกล่าว อาทิ ที่นั่งโดยสารและวัตถุขนาดใหญ่ ซึ่งคล้ายคลึงกับส่วนลำตัวของเครื่องบิน ที่เครื่องบินของกองทัพอากาศแถลงว่าพบเห็นเมื่อวันอังคารและวันพุธที่ผ่านมา
แต่สำหรับความหวังที่จะพบร่างผู้เสียชีวิตนั้นกำลังริบหรี่ลงทุกที ขณะเข้าสู่วันที่ 5 ของภารกิจค้นหา โดยทางกองทัพบราซิลก็เปลี่ยนเป้าหมายมาอยู่ที่การตามหาซากเครื่องบินแอร์บัสเอ330-200 เป็นหลัก
"เวลาที่ผ่านไปทุก ๆ ขณะ ความเป็นไปได้ที่จะพบศพผู้โดยสารกำลังริบหรี่ลงตามไปด้วย" พลจัตวาการ์โดโซบอก
"ในตอนแรกเรามุ่งเน้นที่การค้นหาศพหรือผู้รอดชีวิต แต่ตอนนี้เรามุ่งเป้ามาที่การค้นหาเศษชิ้นส่วน ที่เป็นประโยชน์ต่อการสอบสวน"
เนลซัน โจบิม รัฐมนตรีกลาโหมบราซิลเคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่า "แน่นอนอยู่แล้ว" เศษชิ้นส่วนซึ่งทางเครื่องบินทหารของบราซิลมองเห็นนั้น ต้องมาจากเครื่องบินแอร์ฟรานซ์ลำดังกล่าว พร้อมกับฟันธงว่า บริเวณใกล้ ๆ แถวนั้น น่าจะเป็นจุดที่เครื่องบินตกลงสู่มหาสมุทร
ด้านรัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบการสอบสวนอุบัติเหตุครั้งนี้ ได้ส่งทีมสอบสวนไปยังบราซิล เพื่อตรวจสอบวัตถุทุกชนิดที่เก็บกู้ขึ้นมาจากบริเวณดังกล่าว ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่ง 1,000 กิโลเมตร และนำกลับไปที่ฝรั่งเศส
ทฤษฎีอื่น ๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเพื่อคลี่คลายปมปริศนาที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินมรณะลำนี้ มีตั้งแต่ฟ้าผ่าอย่างรุนแรงพร้อม ๆ กับพายุลมกรรโชกแรงตรงบริเวณดังกล่าวขณะเกิดเหตุ จนถึงความผิดพลาดของนักบิน ตลอดจนปัจจัยต่าง ๆ ประกอบกัน
เครื่องบินมรณะลำนี้ไม่ได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ โดยมีเพียงข้อมูลอัตโนมัติเป็นชุดๆ ถูกส่งออกมา ซึ่งน่าจะแสดงว่า ระบบต่างๆ ของเครื่องบินกำลังปิดลงระบบแล้วระบบเล่า หลังจากที่เครื่องบินอาจจะแตกเป็นเสี่ยง หรือดำดิ่งลงมหาสมุทร