มีเรื่องราวที่ต้องเขียนมากมายในสัปดาห์นี้ครับ เรื่องแรกนั้นเป็นข้อสังเกตของผมคือ ผมเห็นว่าโลกเรานั้นมีโรคร้ายใหม่ๆ เกิดขึ้นบ่อยมาก ตั้งแต่ชนิดร้ายแรงไปจนถึงที่รักษาได้โดยไม่ต้องทำอะไร โรคที่เป็นแล้วถึงตายได้อย่างไข้หวัดหมู ต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดการเข้าใจผิดว่ามันเกิดเพราะหมู โรคแบบนี้ผมก็ไม่ทราบว่ามันพัฒนามาได้อย่างไร แต่เราก็เร่งพัฒนาวัคซีนเนื่องจากมันเป็นไข้หวัดประเภทหนึ่ง ก็เชื่อว่ามันน่าจะอยู่ในวิสัยที่จะหายามาแก้ไขได้
อีกโรคหนึ่งชื่อแปลกดีคือชิคุนกุนย่า เข้าใจว่าระบาดมากทางภาคใต้ และยุงเป็นพาหะนำเชื้อมาสู่คน แต่ภาคกลางและอีสานก็พบนะ การติดโรคนี้แพร่หลายได้ เพราะว่าแม่แพร่สู่ลูกได้ด้วย
ดังนั้นใครที่ท้องอยู่ก็ควรระวังจะเสี่ยงทั้งแม่ทั้งลูก
เรื่องต่อมาก็เป็นเรื่องรถเมล์ที่สาวโยงไปถึงการ “กิน” อีกแล้วครับท่าน เป็นรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน แถมยังไม่ได้มีความจำเป็นต้องซื้อมาใช้แบบ “เร่งด่วน” และน่าจะเป็นรายการ “แดกด่วน” เหมือนการกินฟาสต์ฟูดนั่นแหละ
การเมืองไทยที่มีนักการเมืองชอบการ “แดกด่วน” ดูจะหนีไม่พ้นเสียแล้ว
การซื้อรถเมล์นี้เป็นต้นเหตุที่อาจทำให้รัฐบาลล่มได้ ถ้ายังงัดข้อกันต่อไปเรื่อยๆ
และตัวนายกรัฐมนตรีก็ให้ข้อสังเกตว่า ทำไมไม่คิด “เช่า” ดูบ้าง ไม่ก็ทำควบคู่กันไปได้ ไม่ผิดกติกา
เมื่อมีรถเมล์ปริมาณมากๆ
ค่าซ่อมบำรุงก็ต้องเพิ่มขึ้น
เขาคำนวณว่า ค่าซ่อมต่อกิโลเมตรจะถึง 7.50 บาท ติงว่าแพงครับ เพราะวิ่งกันวันละ 100 กิโลเมตร (ซึ่งน่าจะเกินครับ) ก็จะเสียค่าซ่อมประมาณวันละ 7,500 บาท เดือนละ 2 แสนกว่าบาท คันละ 2.7 ล้านต่อปี ถ้า 4,000 คันจะเสียค่าซ่อมทั้งหมดปีละแสนกว่าล้านบาท
เฉพาะค่าซ่อมนับแสนล้านบาท
ไหวเหรอ?
ที่ว่าจะช่วยให้รถเมล์ ขสมก.ไม่ขาดทุนนั้น
ผมว่ามันจะยิ่งฉิบหายมากกว่านี้นะครับ
นี่ไม่นับค่าอะไหล่อีก ยังไม่รวมค่าแรงในการซ่อมด้วยนะ
เพื่อนผมซึ่งเคยซ่อมรถเมล์และรถตู้ของโอสถสภาฯ มาแล้วบอกว่า ถ้าเป็นรถเมล์ค่าซ่อมไม่หนีคันละ 10 กว่าล้านรวมค่าอะไหล่ที่ต้องเปลี่ยน เช่น ยาง, อะไหล่, สายพานราวลิ้น, น้ำมันเกียร์, น้ำมันเครื่อง, อุปกรณ์ใช้กับแอร์ ฯลฯ
เขาว่าแค่ค่าอะไหล่ไม่รวมค่าแรงอีกหลายล้านเพราะมันต้องมีค่าโอทีด้วยคร๊าบ
เห็นหรือยังว่าถ้ามันซ่อมกัน 4,000 คัน ก็ตกอีกปีละ 4 หมื่นล้านบาท รวมค่าซ่อมทั้งหมดก็ร่วมแสนสองหมื่นล้านเข้าไปแล้ว
มีแต่เจ๊งย่อยยับอัปภาคย์แหง๋ๆ
ใครที่ว่ามีเหตุผลฟังได้นั้น ไม่ได้คิดให้ละเอียดแบบที่ผมคิดซึ่งคิดแบบถูกที่สุดแล้วนะ
เพราะมันมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกครับ ไม่ว่าค่าจ้างคนงานขับ, คนเก็บตั๋ว, ค่าแก๊ส ฯลฯ
ครม.คนใดอ่านบทความนี้ก็นำไปอธิบายให้ฟังกันด้วยจะได้คิดกันให้ดี ปีละแสน 2 หมื่นกว่าล้านมันเยอะนะมากกว่างบประมาณเกาะของเพื่อนผม (Tuvalue) เสียอีก
เห็นพูดกันว่าถ้าไอ้โครงการรถเมล์ไม่ผ่าน ครม.เจ้าพรรคที่เสนออาจถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล
เออ...ให้มันถอนไปเลย เพราะคิดผลาญงบประมาณกันแบบนี้มันไม่ควรอยู่ให้รกครม.
ทุกอย่างมันต้องโปร่งใส การที่จะโปร่งใสมันต้องแจงกันถี่ยิบละเอียดด้วยข้อมูล
และต้องทำประชาพิจารณ์ให้ประชาชนเขารับรู้ด้วย เพราะประชาชนจะเป็นผู้ใช้บริการนะครับ และยังจะต้องเสียภาษีจากงบประมาณ ซึ่งก็เอามาจากภาษีของพวกเขานั่นแหละ
ถ้าไม่มีอะไรแบบที่ผมว่ามานี้ มันจะสร้างความมั่นใจได้อย่างไร ว่ารัฐบาลนี้ไม่มีไอ้ขี้โกงร่วมอยู่ในคณะรัฐบาลด้วย
หมดเรื่องชั่วกันแล้ว ก็มาถึงเรื่องของเราๆ ท่านๆ กันบ้าง
สำหรับพวกเราที่ตามเรื่องการตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น กว่าจะเสร็จตามขั้นตอนได้นั้น ผมประมาณว่าต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือนครับ เป็นการเสร็จตามกฎหมายที่เขากำหนดนะครับ
แต่จะเสร็จถึงมีการเลือกหัวหน้าพรรคและคณะผู้บริหารได้นั้น ผมให้ 6 เดือน และการจัดตั้งสาขาได้อีกให้อีก 3 เดือนถัดจากนั้น
กว่าจะครบถ้วน พอจะเป็นรูปร่าง ถึงขั้นพร้อมจะเดินหน้าก็น่าจะ 1 ปี
พอดีได้เวลาที่รัฐบาลน่าจะยุบสภาให้มีการเลือกตั้ง
การจดทะเบียนตั้งพรรคนั้น ว่ากันว่าอาทิตย์หน้าเขาก็จะไปจดทะเบียนแล้วครับ
ก่อนจดทะเบียนเขาก็ประชุมกันก่อน เพราะว่าเป็นไปตามระเบียบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง สำหรับการยื่นขอตั้งพรรคการเมือง ว่าต้องมีประชุมกันก่อน และมีการประชุมผู้ก่อตั้งไม่น้อยกว่า 15 คน
สำหรับพันธมิตรฯ นั้นประชุมกัน 20 คน โดยมาจากหลากหลายอาชีพคละกัน แต่ให้แกนนำ 5 คนไปจดทะเบียน
ในการนี้ทางพรรคจะหาสมาชิกให้ได้ 5,000 คน ภายใน 1 ปี และจะมี 4 สาขาย่อยพร้อมกันไปด้วย
จะเปิดประชุมพรรคในเวลา 6 เดือน อย่างเป็นทางการ
และก็พร้อมที่จะเลือกตั้งในเวลาเดียวกัน เมื่อมีประชุมพรรคครับ
อีกโรคหนึ่งชื่อแปลกดีคือชิคุนกุนย่า เข้าใจว่าระบาดมากทางภาคใต้ และยุงเป็นพาหะนำเชื้อมาสู่คน แต่ภาคกลางและอีสานก็พบนะ การติดโรคนี้แพร่หลายได้ เพราะว่าแม่แพร่สู่ลูกได้ด้วย
ดังนั้นใครที่ท้องอยู่ก็ควรระวังจะเสี่ยงทั้งแม่ทั้งลูก
เรื่องต่อมาก็เป็นเรื่องรถเมล์ที่สาวโยงไปถึงการ “กิน” อีกแล้วครับท่าน เป็นรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน แถมยังไม่ได้มีความจำเป็นต้องซื้อมาใช้แบบ “เร่งด่วน” และน่าจะเป็นรายการ “แดกด่วน” เหมือนการกินฟาสต์ฟูดนั่นแหละ
การเมืองไทยที่มีนักการเมืองชอบการ “แดกด่วน” ดูจะหนีไม่พ้นเสียแล้ว
การซื้อรถเมล์นี้เป็นต้นเหตุที่อาจทำให้รัฐบาลล่มได้ ถ้ายังงัดข้อกันต่อไปเรื่อยๆ
และตัวนายกรัฐมนตรีก็ให้ข้อสังเกตว่า ทำไมไม่คิด “เช่า” ดูบ้าง ไม่ก็ทำควบคู่กันไปได้ ไม่ผิดกติกา
เมื่อมีรถเมล์ปริมาณมากๆ
ค่าซ่อมบำรุงก็ต้องเพิ่มขึ้น
เขาคำนวณว่า ค่าซ่อมต่อกิโลเมตรจะถึง 7.50 บาท ติงว่าแพงครับ เพราะวิ่งกันวันละ 100 กิโลเมตร (ซึ่งน่าจะเกินครับ) ก็จะเสียค่าซ่อมประมาณวันละ 7,500 บาท เดือนละ 2 แสนกว่าบาท คันละ 2.7 ล้านต่อปี ถ้า 4,000 คันจะเสียค่าซ่อมทั้งหมดปีละแสนกว่าล้านบาท
เฉพาะค่าซ่อมนับแสนล้านบาท
ไหวเหรอ?
ที่ว่าจะช่วยให้รถเมล์ ขสมก.ไม่ขาดทุนนั้น
ผมว่ามันจะยิ่งฉิบหายมากกว่านี้นะครับ
นี่ไม่นับค่าอะไหล่อีก ยังไม่รวมค่าแรงในการซ่อมด้วยนะ
เพื่อนผมซึ่งเคยซ่อมรถเมล์และรถตู้ของโอสถสภาฯ มาแล้วบอกว่า ถ้าเป็นรถเมล์ค่าซ่อมไม่หนีคันละ 10 กว่าล้านรวมค่าอะไหล่ที่ต้องเปลี่ยน เช่น ยาง, อะไหล่, สายพานราวลิ้น, น้ำมันเกียร์, น้ำมันเครื่อง, อุปกรณ์ใช้กับแอร์ ฯลฯ
เขาว่าแค่ค่าอะไหล่ไม่รวมค่าแรงอีกหลายล้านเพราะมันต้องมีค่าโอทีด้วยคร๊าบ
เห็นหรือยังว่าถ้ามันซ่อมกัน 4,000 คัน ก็ตกอีกปีละ 4 หมื่นล้านบาท รวมค่าซ่อมทั้งหมดก็ร่วมแสนสองหมื่นล้านเข้าไปแล้ว
มีแต่เจ๊งย่อยยับอัปภาคย์แหง๋ๆ
ใครที่ว่ามีเหตุผลฟังได้นั้น ไม่ได้คิดให้ละเอียดแบบที่ผมคิดซึ่งคิดแบบถูกที่สุดแล้วนะ
เพราะมันมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกครับ ไม่ว่าค่าจ้างคนงานขับ, คนเก็บตั๋ว, ค่าแก๊ส ฯลฯ
ครม.คนใดอ่านบทความนี้ก็นำไปอธิบายให้ฟังกันด้วยจะได้คิดกันให้ดี ปีละแสน 2 หมื่นกว่าล้านมันเยอะนะมากกว่างบประมาณเกาะของเพื่อนผม (Tuvalue) เสียอีก
เห็นพูดกันว่าถ้าไอ้โครงการรถเมล์ไม่ผ่าน ครม.เจ้าพรรคที่เสนออาจถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล
เออ...ให้มันถอนไปเลย เพราะคิดผลาญงบประมาณกันแบบนี้มันไม่ควรอยู่ให้รกครม.
ทุกอย่างมันต้องโปร่งใส การที่จะโปร่งใสมันต้องแจงกันถี่ยิบละเอียดด้วยข้อมูล
และต้องทำประชาพิจารณ์ให้ประชาชนเขารับรู้ด้วย เพราะประชาชนจะเป็นผู้ใช้บริการนะครับ และยังจะต้องเสียภาษีจากงบประมาณ ซึ่งก็เอามาจากภาษีของพวกเขานั่นแหละ
ถ้าไม่มีอะไรแบบที่ผมว่ามานี้ มันจะสร้างความมั่นใจได้อย่างไร ว่ารัฐบาลนี้ไม่มีไอ้ขี้โกงร่วมอยู่ในคณะรัฐบาลด้วย
หมดเรื่องชั่วกันแล้ว ก็มาถึงเรื่องของเราๆ ท่านๆ กันบ้าง
สำหรับพวกเราที่ตามเรื่องการตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น กว่าจะเสร็จตามขั้นตอนได้นั้น ผมประมาณว่าต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือนครับ เป็นการเสร็จตามกฎหมายที่เขากำหนดนะครับ
แต่จะเสร็จถึงมีการเลือกหัวหน้าพรรคและคณะผู้บริหารได้นั้น ผมให้ 6 เดือน และการจัดตั้งสาขาได้อีกให้อีก 3 เดือนถัดจากนั้น
กว่าจะครบถ้วน พอจะเป็นรูปร่าง ถึงขั้นพร้อมจะเดินหน้าก็น่าจะ 1 ปี
พอดีได้เวลาที่รัฐบาลน่าจะยุบสภาให้มีการเลือกตั้ง
การจดทะเบียนตั้งพรรคนั้น ว่ากันว่าอาทิตย์หน้าเขาก็จะไปจดทะเบียนแล้วครับ
ก่อนจดทะเบียนเขาก็ประชุมกันก่อน เพราะว่าเป็นไปตามระเบียบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง สำหรับการยื่นขอตั้งพรรคการเมือง ว่าต้องมีประชุมกันก่อน และมีการประชุมผู้ก่อตั้งไม่น้อยกว่า 15 คน
สำหรับพันธมิตรฯ นั้นประชุมกัน 20 คน โดยมาจากหลากหลายอาชีพคละกัน แต่ให้แกนนำ 5 คนไปจดทะเบียน
ในการนี้ทางพรรคจะหาสมาชิกให้ได้ 5,000 คน ภายใน 1 ปี และจะมี 4 สาขาย่อยพร้อมกันไปด้วย
จะเปิดประชุมพรรคในเวลา 6 เดือน อย่างเป็นทางการ
และก็พร้อมที่จะเลือกตั้งในเวลาเดียวกัน เมื่อมีประชุมพรรคครับ