xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองใหม่ไม่มีขาย อยากได้ต้องร่วมกันสร้าง

เผยแพร่:   โดย: สุวิชชา เพียราษฎร์

นับจากวันนี้การเมืองไทยจะพลิกผันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรล้วนน่าติดตามยิ่ง

โดยเฉพาะการเมืองเก่าที่กำลังถูกท้าทายและสั่นคลอนครั้งใหม่ และใหญ่ยิ่งจากเหล่าพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มีเจตนาอย่างแน่วแน่ที่จะสร้างสรรค์สังคมด้วยการเมืองใหม่

เจตนาการเข้าสู่การเมืองใหม่ที่ว่านั้นสังคมคงได้เห็นและรับทราบจากฉันทามติของหมู่มวลมหาชนที่มารวมกันในช่วงวันรำลึกเหตุการณ์ 1 ปีแห่งการต่อสู้ครั้งที่ยืดเยื้อยาวนานต่อเนื่องกันนานถึง 193 วันของพันธมิตรฯ ระหว่างวันสองวันที่ผ่านมา (24-25 พ.ค.) นี้แล้ว

ก่อนที่จะมีวันนี้ นานหลายเดือนมาแล้วนับแต่กระแสพันธมิตรฯ จะจัดตั้งพรรคการเมืองแพร่สะพัด พรรคการเมืองของพันธมิตรฯ ที่ยังไม่มีใครคาดคิดเอาไว้ล่วงหน้าก็กลายเป็นหัวข้อพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ของคนที่สนใจอย่างกว้างขวาง

เสียงวิพากษ์วิจารณ์มีทั้งเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย (รวมถึงกระบวนการใช้วิชามารของพรรคการเมืองในระบบของการเมืองเก่าและแผนชั่วร้ายของใครบางคนที่หวังจะเข้าสู่อำนาจที่ใช้วิธีลอบสังหาร ลอบกัดอย่างป่าเถื่อนกรณี คุณสนธิ ลิ้มทองกุล) เหตุและผลที่ถกกันก็เป็นกระบวนการหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย แต่เมื่อความเป็นไปชัดขึ้น และชัดเจนในที่สุด คงไม่มีใครจะให้คำตอบได้ดีเท่ากับแกนนำพันธมิตรฯ ผู้ซึ่งไม่เพียงร่วมเป็นร่วมตายกับมวลชนพันธมิตรฯ เท่านั้น หากยังเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพันธมิตรฯ

ทำไมพันธมิตรฯ ต้องมีพรรคการเมือง?

คำตอบของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ และแกนนำซึ่งกล่าวในสภาพันธมิตรฯ เมื่อวันก่อนเป็นคำอธิบายที่ผมคิดว่าดีที่สุด

“พันธมิตรฯ ตรวจสอบนักการเมืองมาตั้งแต่ปี 2548 แต่ไม่มีรัฐบาลไหนฟัง แล้วเราจะต่อสู้ในรูปแบบการเมืองข้างถนนไปอีกนานเท่าไหร่”

จากนั้นคุณสนธิบอกว่า สิ่งที่ต้องไม่ลืม คือ พรรคการเมืองมีอยู่ 2 ประเภท 1. มีรากเหง้า และ 2. ไม่มีรากเหง้า

พรรคพันธมิตรฯ มีที่ไปที่มา มีประวัติศาสตร์หลังจากประชาชนสร้างประวัติศาสตร์ชุมนุม 193 วันไปแล้ว กล่าวก็คือรากเหง้า

รากเหง้าตรงนี้ก็คือ ความแตกต่าง ซึ่งหากจะถามต่อว่า…

พรรคการเมืองของพันธมิตรฯ ต่างจากพรรคการเมืองทั่วไปอย่างไร?

คุณสนธิอธิบายว่า พรรคการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่คือการรวมตัวของพวกนักลงทุน ซึ่งไม่มีประวัติศาสตร์ ไม่มีอุดมการณ์ ซึ่งส่วนใหญ่วัดความสำเร็จจากจำนวน ส.ส.

“อย่าเอาจำนวน ส.ส.มาตัดสินใจ พันธมิตรฯ จะนึกถึงญาติวีรชน หรือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นที่ตั้ง และถ้าตั้งพรรคจริงๆ ก็จะระดมทุนจากการให้สมาชิกบริจาคเงินเข้าพรรค โดยเราจะไม่ใช้เงินเหล่านั้นมาซื้อเสียง แต่จะเอาไปสร้างเครื่องมือในการให้ความรู้และปัญญาแก่ประชาชน”

นี่เป็นเหตุและผลที่คุณสนธิ ได้อธิบายไปในวันนั้น บวกกับข้อคิดเห็นจากแกนนำคนอื่นๆ อาทิ “ลุงจำลอง” พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่กล่าวในเวทีเดียวกัน

“เราชุมนุมมา 193 วันไม่เคยนึกถึงจะตั้งพรรคการเมือง ต่อมาภายหลัง หลังจากเราประสบความสำเร็จจากการชุมนุม ทั้งการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การกดดันให้รัฐบาลหุ่นเชิดลาออกก็มีพรรคการเมืองใหม่เข้ามาเป็นรัฐบาลแต่ก็ยังทำการเมืองเก่า เราต้องการให้มีการเมืองใหม่ พรรคการเมืองอื่นก็ไม่ทำ พี่น้องพันธมิตรฯ ก็ต้องการให้เราตั้งพรรคขึ้นมาเอง”

ขณะที่อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ บอกว่า การต่อสู้ของพันธมิตรฯ ที่ผ่านมาได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ 3 อย่างคือ 1. ชนชั้นที่มีความรู้ขยายตัวอย่างกว้างขวางและตั้งตนเองเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 2. การเปิดโปงการเมืองเก่าอย่างเข้มแข็งอย่างไม่เคยมีมาก่อนของสื่อเอเอสทีวี และ 3. ปรากฎการณ์การจัดตั้งองค์กรการเมืองใหม่

“ทั้ง 3 ปรากฏการณ์นี้คือปัจจุบันที่จะพลิกโฉมประเทศไทย เป็นการขุดหลุมฝังการเมืองเก่าที่ตายไปแล้ว”

คุณพิภพ ธงไชย อีกผู้หนึ่งที่ฉายภาพได้ชัดเจนว่า พันธมิตรฯ ต่อสู้ด้วยการเสียเลือดเนื้อเสียชีวิต ด้วยความอดทนมาตลอด ถ้ามีฉันทามติตั้งพรรคการเมืองนั่นก็หมายถึง การจะร่วมกันสร้างความเป็นธรรมในทุกภาคส่วน ร่วมกันสร้างการเมืองใหม่ เพราะ ประเทศทนความฉิบหายต่อไปไม่ได้แล้ว

แน่นอนพรรคของพันธมิตรฯ อาจจะยังมีคำถามอื่นๆ และข้อสงสัยตามมาอีก เช่นเดียวกับการเผชิญหน้าต่อสู้เพื่อให้ได้การเมืองใหม่ก็ไม่ง่ายนัก ยิ่งการเมืองในระบบเก่าที่ฝังรากลึกมานานและยังฮึกเหิมอยู่ในปัจจุบัน

เราอาจจะยังต้องทนต่อภาพอันเจ็บปวดของการกระทำของนักเลือกตั้ง พรรคการเมืองเก่าๆ ที่อิงแอบหากินกับเงินงบประมาณรัฐ เงินภาษีของเราด้วยความละโมบ เราอาจจะต้องยี้แล้วยี้อีกกับข่าวน้ำเน่า คนของพรรคนั้นพรรคนี้ตบตีกัน จี้ปล้นตำแหน่งรัฐมนตรีหน้าไม่อายกันต่อไป

นั่นเพราะการเมืองใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นภายในวันสองวัน พรรคของพันธมิตรฯไม่ได้จะประสบความสำเร็จในปี 2 ปี ทว่าสิ่งที่จะตามมาหลังจากฉันทามติของพันธมิตรฯ ในการผลักดันให้มีพรรคการเมืองแล้วต่างหากที่ผมคิดว่าสำคัญมากกว่า

“พันธมิตรฯ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ พรรคการเมืองที่จะตั้งก็เป็นเครื่องมือหนึ่งในการต่อสู้ของพันธมิตรฯ ซึ่งพันธมิตรฯ ยังมีเครื่องมือหลายอย่าง” คุณสนธิที่เป็นแกนนำพันธมิตรฯ บอกซึ่งผมเชื่อว่าพันธมิตรฯ ทั้งหมดหรือคนส่วนใหญ่ก็คิดเช่นเดียวกัน

พันธมิตรฯ ไม่ได้จะมีแค่พรรคการเมืองแต่ยังมีเครื่องมืออีกหลายๆ อย่างที่สร้างการเมืองใหม่ เพื่อการเข้าสู่คำซึ่งคุณสนธิเรียกว่า “ประชาธิปไตยทางตรง”

การมีพรรคของพี่น้องพันธมิตรฯ ก็คือ หนทางอีกหนทางหนึ่งของการเข้าถึงประชาธิปไตยทางตรงของประชาชน!

นอกจากนั้นยังส่งสัญญาณไปถึงคนในสังคมได้อีกว่า การเมืองใหม่ไม่มีขาย หากอยากได้ประชาชนก็มีแต่ต้องช่วยกันสร้าง
กำลังโหลดความคิดเห็น