สถานการณ์ของบ้านเมืองที่วิกฤติมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็น “วิกฤติที่สุดในโลก” ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบไทยกับประเทศอื่นๆ ที่พัฒนาไปสู่ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น ญี่ปุ่นที่เคยย่อยยับจากการแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ.2488) ส่วนสิงคโปร์และจีน ที่เพิ่งพัฒนาแต่ก็ก้าวหน้าไปกว่าไทยซึ่งพัฒนามาก่อน และตั้งใจว่าจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย แต่ขณะนี้ไทยกำลังอยู่ในสภาพที่เลวร้ายมาก ทั้งที่อยากจะเป็นประชาธิปไตย
แต่การเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2550 เป็นการเลือกตั้งที่ทำให้ประชาธิปไตยเป็นแบบจอมปลอม มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงใช้อิทธิพลของรัฐ และของผู้มีอิทธิพลต่างๆ ทำให้การเลือกตั้งที่ปรากฏออกมาไม่ได้เป็นการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
รัฐบาลก่อนหน้านี้มักอ้างว่า “เป็นประชาธิปไตยเพราะมาจากการเลือกตั้ง” ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่มาจากความไม่สุจริตด้วยการซื้อเสียง ทำให้ได้นักการเมืองที่เข้ามาเพื่อกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเอง ก่อให้เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ ทำให้ไทยต้องใช้น้ำมันราคาแพงกว่ามาเลเชีย เพราะรัฐบาลเอาการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ซึ่งถือเป็นสมบัติของชาติไปขายให้เอกชนผ่านตลาดหลักทรัพย์ นี่เป็นการทำเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมือง หรือทำเพื่อใครกันแน่ และยังจะมีความพยายามในการนำเอาทรัพย์สินอื่นๆ ของชาติไปขายอีก ความเป็นธรรมในสังคมจึงหาได้ยาก
พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรซึ่งเป็นตัวแทนของความยากจน ในขณะที่เกษตรกรญี่ปุ่นมีรายได้ดีกว่าเกษตรกรของเรามาก อย่างเช่น เนื้อวัว ญี่ปุ่นที่เรารู้จักกันว่า เนื้อโกเบ ขายได้กิโลกรัมละหลายพันบาท
จริงๆ แล้วไทยมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาภาคเกษตร คือแนวทางของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและระบบสหกรณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช หากนำไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหาอย่างจริงจัง เราคงแก้ปัญหาให้ภาคเกษตรได้ อาจจะทำให้ชาวนาสามารถขายข้าวได้เกวียนละหมื่นห้าก็ได้
ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้น ที่ก่อนหน้านี้มีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาแสดงความเรียกร้องเพื่อหาทางออก แก้ปัญหาวิกฤติของสังคมไทย นั่นก็เป็นเรื่องของปลายเหตุเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มองค์กรใดๆ ที่ออกมา ล้วนแต่เป็นปลายเหตุ
ทำไมเราไม่แก้ที่ต้นเหตุ
การที่เราเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก หรือยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ กลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองหน้าเก่าๆ คงได้มาเหมือนเดิม ซึ่งเป็นวังวนแบบเดิมที่ไม่ได้ให้ความหวังอะไรแก่ประชาชนและประเทศชาติ
ประชาชนเป็นเจ้าของบ้านเมือง ต้องมีสิทธิที่จะวางอนาคตของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามต้องมีสิทธิในการวางอนาคตของตนเอง ที่ไม่ใช่เฉพาะแค่ด้านการเมือง แต่อยากเห็นสังคมนี้เป็น “สังคมธรรมาธิปไตย”
สังคมธรรมาธิปไตย คือ สังคมที่มีความเป็นธรรม ต้องมีความเป็นธรรมมากขึ้น “มีความเป็นธรรมอย่างไร” เป็นธรรมในทุกทาง ถ้าเผื่อทุกทางเป็นธรรม บ้านเมืองสงบสุข เจริญรุ่งเรือง ความเป็นธรรมที่ต้องเป็นธรรมทั้งทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม มีธรรมะมีความถูกต้อง มีความชอบธรรมไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีการรังแกข่มเหง ไม่มีการโกงกินทุจริตคอรัปชั่น ไม่มีการไม่ดีไม่งามทั้งหลาย สังคมนี้ต้องไม่มีสิ่งที่ไม่ดีและเลวร้าย กฎหมายก็ต้องเป็นธรรม การปฏิบัติงานของรัฐก็ต้องโปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อเป้าหมายธรรมาธิปไตยคือ ประโยชน์สุขของมหาชนปวงชน
นั่นคือ ธรรมาธิปไตยอย่างแท้จริง สังคมนี้ก็จะมีความสุข ไม่มีเรื่องร้องเรียน ไม่มีเรื่องขัดแย้ง ไม่มีความไม่สงบสุขในสังคม ประชาชนก็จะทำมาหากินอย่าราบรื่น มีสันติสุขและก็ชีวิตที่ดีขึ้นเป็นลำดับ
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์
อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต
แต่การเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2550 เป็นการเลือกตั้งที่ทำให้ประชาธิปไตยเป็นแบบจอมปลอม มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงใช้อิทธิพลของรัฐ และของผู้มีอิทธิพลต่างๆ ทำให้การเลือกตั้งที่ปรากฏออกมาไม่ได้เป็นการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
รัฐบาลก่อนหน้านี้มักอ้างว่า “เป็นประชาธิปไตยเพราะมาจากการเลือกตั้ง” ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่มาจากความไม่สุจริตด้วยการซื้อเสียง ทำให้ได้นักการเมืองที่เข้ามาเพื่อกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเอง ก่อให้เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ ทำให้ไทยต้องใช้น้ำมันราคาแพงกว่ามาเลเชีย เพราะรัฐบาลเอาการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ซึ่งถือเป็นสมบัติของชาติไปขายให้เอกชนผ่านตลาดหลักทรัพย์ นี่เป็นการทำเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมือง หรือทำเพื่อใครกันแน่ และยังจะมีความพยายามในการนำเอาทรัพย์สินอื่นๆ ของชาติไปขายอีก ความเป็นธรรมในสังคมจึงหาได้ยาก
พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรซึ่งเป็นตัวแทนของความยากจน ในขณะที่เกษตรกรญี่ปุ่นมีรายได้ดีกว่าเกษตรกรของเรามาก อย่างเช่น เนื้อวัว ญี่ปุ่นที่เรารู้จักกันว่า เนื้อโกเบ ขายได้กิโลกรัมละหลายพันบาท
จริงๆ แล้วไทยมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาภาคเกษตร คือแนวทางของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและระบบสหกรณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช หากนำไปประยุกต์ใช้แก้ปัญหาอย่างจริงจัง เราคงแก้ปัญหาให้ภาคเกษตรได้ อาจจะทำให้ชาวนาสามารถขายข้าวได้เกวียนละหมื่นห้าก็ได้
ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้น ที่ก่อนหน้านี้มีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาแสดงความเรียกร้องเพื่อหาทางออก แก้ปัญหาวิกฤติของสังคมไทย นั่นก็เป็นเรื่องของปลายเหตุเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มองค์กรใดๆ ที่ออกมา ล้วนแต่เป็นปลายเหตุ
ทำไมเราไม่แก้ที่ต้นเหตุ
การที่เราเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก หรือยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ กลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองหน้าเก่าๆ คงได้มาเหมือนเดิม ซึ่งเป็นวังวนแบบเดิมที่ไม่ได้ให้ความหวังอะไรแก่ประชาชนและประเทศชาติ
ประชาชนเป็นเจ้าของบ้านเมือง ต้องมีสิทธิที่จะวางอนาคตของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามต้องมีสิทธิในการวางอนาคตของตนเอง ที่ไม่ใช่เฉพาะแค่ด้านการเมือง แต่อยากเห็นสังคมนี้เป็น “สังคมธรรมาธิปไตย”
สังคมธรรมาธิปไตย คือ สังคมที่มีความเป็นธรรม ต้องมีความเป็นธรรมมากขึ้น “มีความเป็นธรรมอย่างไร” เป็นธรรมในทุกทาง ถ้าเผื่อทุกทางเป็นธรรม บ้านเมืองสงบสุข เจริญรุ่งเรือง ความเป็นธรรมที่ต้องเป็นธรรมทั้งทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม มีธรรมะมีความถูกต้อง มีความชอบธรรมไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีการรังแกข่มเหง ไม่มีการโกงกินทุจริตคอรัปชั่น ไม่มีการไม่ดีไม่งามทั้งหลาย สังคมนี้ต้องไม่มีสิ่งที่ไม่ดีและเลวร้าย กฎหมายก็ต้องเป็นธรรม การปฏิบัติงานของรัฐก็ต้องโปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อเป้าหมายธรรมาธิปไตยคือ ประโยชน์สุขของมหาชนปวงชน
นั่นคือ ธรรมาธิปไตยอย่างแท้จริง สังคมนี้ก็จะมีความสุข ไม่มีเรื่องร้องเรียน ไม่มีเรื่องขัดแย้ง ไม่มีความไม่สงบสุขในสังคม ประชาชนก็จะทำมาหากินอย่าราบรื่น มีสันติสุขและก็ชีวิตที่ดีขึ้นเป็นลำดับ
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์
อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต