ASTVผู้จัดการรายวัน– “บุณยสิทธิ์” บิ๊กบอสเครือสหพัฒน์ สอนมวยรัฐบาลมาร์ค แก้วิกฤติเศรษฐกิจ ชี้ 5 เดือน ประเทศไทยถังแตก ภาครัฐกู้เงิน4 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจเกาไม่ถูกที่คัน หวั่นบริหารไม่ดี เก็บภาษีไม่ได้ ประเทศกลับจนลง ชงโมเดลจีนต้นแบบค่าเงินหยวนอ่อน แนะแบงก์ชาติแทรกแซงค่าเงินบาทอ่อนตัว 40 บาทต่อดอลล่าร์ ขึ้นไป เพื่อดันภาคส่งออกฟื้น ลั่นปีนี้ชูนโยบาย ไมนัส มาร์เก็ตติง สิ้นปีหวังรายได้สหกรุ๊ป ติดลบ 5% “บุญเกียรติ” ยันเดินหน้าธุรกิจต่อเนื่อง แม้สถานการณ์เศรษฐกิจยังน่าห่วง ส่วนภาพรวมรายได้ ทำใจเท่าปีก่อนก็เยี่ยมแล้ว
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า การบริหารงานของภาครัฐภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยขาดทุนหรือถังแตก แต่ก็ต้องเข้าใจว่าภาครัฐเข้ามาบริหารงานแค่ 2-3 เดือนเท่านั้น จะเจาะจงว่าทำผิดก็ไม่ได้ ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการกู้เงิน 4 แสนล้านบาทจากต่างประเทศ เป็นสิ่งที่ภาครัฐแก้ไขปัญหาไม่ถูกจุด การกู้เงินนำมาพัฒนาดีไม่ดีอาจทำให้ประเทศจนลง มองว่าการกู้ในภายในประเทศจะดีกว่า อย่างไรก็ตามการกู้เงิน 4 แสนล้านบาท ภาครัฐต้องมีการบริหารจัดการที่ดี ถ้าไม่ดีและเก็บภาษีไม่ได้ประเทศจนลงอีก เศรษฐกิจจากนี้ก็ตัวใครตัวมัน กลุ่มรากหญ้ามีความลำบากมากขึ้น
โดยได้เสนอแนวทางให้กับภาครัฐดังนี้คือ ควรแทรกแซงค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลง เพราะขณะนี้มีแนวโน้มว่าค่าเงินบาทจะแข็งขึ้น จากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังเกิดการปฎิวัติ 19 กันยายน 2549 ค่าเงินบาทแข็งถึง 32 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ จาก 42 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ กระทบต่อการส่งออกของประเทศไทยถดถอยลงมาก และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม เพราะการเติบโตของจีดีพีของประเทศ 80% มาจากการส่งออก
ทำให้ไตรมาสแรกของปีนี้จีดีพีของประเทศติดลบ 7.1% ซึ่งที่ผ่านมาเศรษฐกิจประเทศไทยไม่ดี ภาครัฐกลับอ้างว่าเป็นเพราะวิกฤตเศรษฐกิจโลก อเมริกาอยู่ห่างจากประเทศไทยมาก
“สิ่งที่สำคัญสุด คือ การทำอย่างไรให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 40 บาทต่อดอลล่าร์ขึ้นไป ถือว่าเหมาะสมกับการค้าและการลงทุนของประเทศ เพราะทุกวันนี้การลงทุนหายไปหมด โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการต่างประเทศที่จะมาร่วมลงทุนกับสหพัฒน์ไม่มีเลย ลูกค้าเก่าก็หาย ลูกค้าใหม่ก็ไม่เข้ามาลงทุน โดยในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 สหพัฒน์เน้นซีโรมาร์เก็ตติง (ZeroMarketing) แต่สำหรับปีนี้ต้องเป็นไมนัส มาร์เก็ตติง (Minus Maeketing) คือระมัดระวังในทุกด้าน”
***ชงแบงก์ชาติแทรกแซงบาทอ่อน***
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องการให้แบงก์ชาติเข้าไปบริหารจัดการค่าเงินแบบลอยตัว ด้วยการเข้าไปซื้อดอลล่าร์ เพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง โดยได้ยกตัวอย่างประเทศจีน ก่อนหน้านี้ค่าเงิน 5 หยวนต่อดอลล่าร์ จีนทำให้ค่าเงินอ่อนตัวลงเหลือ 8 หยวนต่อดอลล่าร์ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่ดี แต่จีนกลับเป็นประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบ อีกทั้งยังมีอัตราการเติบโต ซึ่งหากสามารถทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าได้ เศรษฐกิจประเทศไทยจะเริ่มปรับดีขึ้นหลัง 6 เดือน และ 2-3 ปี ประเทศอาจไม่มีความจำเป็นต้องกู้เงินก็เป็นได้
“แบงก์ชาตินำเงินไปซื้อดอลล่าร์ และนำเงินมาให้ภาครัฐกู้ ในขณะที่ภาครัฐนำเงินมาลงทุนสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ไฟฟ้าปรมาณู ซึ่งถ้าประเทศเจริญ ประชาชนมีรายได้ การค้าการขายดี ภาครัฐก็เก็บภาษีได้มากขึ้น หากภาครัฐใช้เงิน 4 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ดี ประเทศก็ขาดทุนก็ต้องกู้อีกและจ่ายดอกเบี้ยอีก คนที่จนแล้วก็ยังจนลงไปอีกช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนก็จะมีเพิ่มขึ้น”
**ยันสิ้นปีไร้แววเศรษฐกิจฟื้น**
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 เหมือนถูกปล้น แต่สำหรับครั้งนี้เหมือนไฟไหม้ เสมือนลงเหวแล้วตีลังกา ซึ่งความเป็นจริงประเทศไทยไม่น่าจะได้รับผลกระทบมาก เพราะเป็นประเทศที่อยู่ไกลจากอเมริกา และเป็นประเทศที่มีศักยภาพใน 3 อุตสาหกรรม ได้แก่ ท่องเที่ยว การเกษตร และอุตสาหกรรม เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
อย่างไรก็ตามในสิ้นปีนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าเศรษฐกิจฟื้น และมองว่าสิ้นปีนี้จีดีพีอาจติดลบมากกว่าที่ภาครัฐประเมินไว้ก็ได้
สำหรับปีนี้นโยบายการทำตลาด ไม่เน้นทำอะไรอยู่นิ่งๆ หรือว่าเป็นหลักการบริหารที่เน้นแบบช้าๆ การลงทุนจะต้องมีความรอบคอบ และเพิ่มความถี่การทำโปรโมชัน โดยผลประกอบการสิ้นปีนี้คาดว่าติดลบ 5% และหากเศรษฐกิจไม่ดีมีแนวโน้มติดลบ 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เครือสหพัฒน์มีอัตราการเติบโต 2-3% โดยในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ รายได้ติดลบ 7% กำไรลดลง โดยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย เสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ ยอดขายลดลง ขณะที่กลุ่มอาหารยังมียอดขายที่ดี ส่วนสัดส่วนรายได้ส่งออกลดลงจาก 30% เป็น 20% และในประเทศ 70% เพิ่มเป็น 80%
***เพิ่มวันจัดงาน“สหกรุ๊ปแฟร์”
นายบุญเกียรติ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา จากที่ตัวเลขจีดีพีของประเทศ ของช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ลดลง 7.1% มองว่า เป็นเรื่องธรรมดา ในภาวะแบบนี้ ซึ่งเมื่อเทียบกับต่างประเทศแล้ว ของไทยยังถือว่าดีกว่า
ส่วนไตรมาสสองนี้ มองว่าทรงตัว เข้าสู่ไตรมาสสามเชื่อว่าจะเริ่มฟื้นตัว และพอเข้าสู่ไตรมาสสี่ ก็จะฟื้นตัวมากขึ้นไปอีก ทั้งนี้เนื่องจากมองว่ากำลังซื้อจากช่วงต้นปีที่ทรงๆไปบ้าง แต่พอเข้าสู่ไตรมาสสอง เริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้น ดูจากยอดขายทางบริษัทดีขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ มองว่า ค่าจีดีพีจะดีขึ้นจากลดลง 7.1 % เป็น 5% แทน
อย่างไรก็ตามสินค้าในเครือ ยังพบว่ามียอดขายที่น่าพอใจ บางตัวอาจจะลดลงบ้าง บางตัวอาจจะเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อดูในภาพรวมแล้ว ยังไปได้ดีอยู่ แม้สถานการณ์เศรษฐกิจจะไม่ค่อยดี แต่ก็มองเป็นเรื่องปกติ เป็นสัจจธรรมที่ต้องเจอ ไม่นานก็จะผ่านไปได้
ทั้งนี้มองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจปีนี้ ไม่น่าหนักใจมากนัก ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบกับปีก่อน จะค่อนข้างหนักกว่ามาก โดยในแง่ของการทำงาน ก็ยังดำเนินต่อไป ขยันมากขึ้น ใช้สมองมากขึ้น การลงทุนต่างๆยังคงดำเนินไปตามแผน สิ่งไหนควรลงทุนก็ทำไป อันไหนไม่ควรเสี่ยงก็เลี่ยงไป โดยทั้งปีมองว่า รายได้จะใกล้เคียงกับปีก่อน ก็ถือว่าดีแล้วในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้
ล่าสุดเครือสหพัฒน์ จัดงาน “สหกรุ๊ป แฟร์” ครั้งที่ 13 ระหว่างวันที่ 25-28 มิ.ย. นี้ เพื่อร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจ นำสินค้าของกินของใช้มาจำหน่าย กว่า 1,000 รายการ โดยเพิ่มจำนวนบูธจากปีที่ผ่านมา 800 บูธ เป็น 850 บูธ และเพิ่มการจัดงานเป็น 4 วัน จากเดิมที่จัด 3 วัน ภายใต้คอนเซ็ปต์งานในปีนี้คือ Love to All โดยไฮไลท์ภายในงาน จะมีการเปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่หลายตัว เช่น กลุ่มอาหาร กับ i-Healti GAC เครื่องดื่มที่ส่วนผสมของ GAC หรือฟักข้าว, ฟาร์มเฮ้าส์ เปิดตัว ผลิตภัณฑ์ใหม่ ส่วนกลุ่มเสื้อผ้าสิ่งทอและรองเท้า จะมีการเปิดตัวชุดชั้นใน วาโก้ สำหรับผุ้สูงอายุ, แพน เปิดตัวรองเท้านาโน
ขณะที่กลุ่มเครื่องสำอาง-เอสแอนด์เจ เปิดตัว LCL Super Moisturizing Cream นวัตกรรมครีมบำรุงผิวที่ใช้เทคโนโลยี Liquid Crystal Lamellar Technology , BSC เปิดตัว BSC Precious Love และARTY Professional เปิดตัวคอลเลกชั่นใหม่ นอกจากนี้ทางเครือสหพัฒน์ยังจะมีการเปิดตัวธุรกิจขายตรง พร้อมทั้งเปิดรับสมัครตัวแทนจำหน่าย ภายในงานนี้
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า การบริหารงานของภาครัฐภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยขาดทุนหรือถังแตก แต่ก็ต้องเข้าใจว่าภาครัฐเข้ามาบริหารงานแค่ 2-3 เดือนเท่านั้น จะเจาะจงว่าทำผิดก็ไม่ได้ ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการกู้เงิน 4 แสนล้านบาทจากต่างประเทศ เป็นสิ่งที่ภาครัฐแก้ไขปัญหาไม่ถูกจุด การกู้เงินนำมาพัฒนาดีไม่ดีอาจทำให้ประเทศจนลง มองว่าการกู้ในภายในประเทศจะดีกว่า อย่างไรก็ตามการกู้เงิน 4 แสนล้านบาท ภาครัฐต้องมีการบริหารจัดการที่ดี ถ้าไม่ดีและเก็บภาษีไม่ได้ประเทศจนลงอีก เศรษฐกิจจากนี้ก็ตัวใครตัวมัน กลุ่มรากหญ้ามีความลำบากมากขึ้น
โดยได้เสนอแนวทางให้กับภาครัฐดังนี้คือ ควรแทรกแซงค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลง เพราะขณะนี้มีแนวโน้มว่าค่าเงินบาทจะแข็งขึ้น จากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังเกิดการปฎิวัติ 19 กันยายน 2549 ค่าเงินบาทแข็งถึง 32 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ จาก 42 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ กระทบต่อการส่งออกของประเทศไทยถดถอยลงมาก และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม เพราะการเติบโตของจีดีพีของประเทศ 80% มาจากการส่งออก
ทำให้ไตรมาสแรกของปีนี้จีดีพีของประเทศติดลบ 7.1% ซึ่งที่ผ่านมาเศรษฐกิจประเทศไทยไม่ดี ภาครัฐกลับอ้างว่าเป็นเพราะวิกฤตเศรษฐกิจโลก อเมริกาอยู่ห่างจากประเทศไทยมาก
“สิ่งที่สำคัญสุด คือ การทำอย่างไรให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 40 บาทต่อดอลล่าร์ขึ้นไป ถือว่าเหมาะสมกับการค้าและการลงทุนของประเทศ เพราะทุกวันนี้การลงทุนหายไปหมด โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการต่างประเทศที่จะมาร่วมลงทุนกับสหพัฒน์ไม่มีเลย ลูกค้าเก่าก็หาย ลูกค้าใหม่ก็ไม่เข้ามาลงทุน โดยในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 สหพัฒน์เน้นซีโรมาร์เก็ตติง (ZeroMarketing) แต่สำหรับปีนี้ต้องเป็นไมนัส มาร์เก็ตติง (Minus Maeketing) คือระมัดระวังในทุกด้าน”
***ชงแบงก์ชาติแทรกแซงบาทอ่อน***
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องการให้แบงก์ชาติเข้าไปบริหารจัดการค่าเงินแบบลอยตัว ด้วยการเข้าไปซื้อดอลล่าร์ เพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง โดยได้ยกตัวอย่างประเทศจีน ก่อนหน้านี้ค่าเงิน 5 หยวนต่อดอลล่าร์ จีนทำให้ค่าเงินอ่อนตัวลงเหลือ 8 หยวนต่อดอลล่าร์ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่ดี แต่จีนกลับเป็นประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบ อีกทั้งยังมีอัตราการเติบโต ซึ่งหากสามารถทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าได้ เศรษฐกิจประเทศไทยจะเริ่มปรับดีขึ้นหลัง 6 เดือน และ 2-3 ปี ประเทศอาจไม่มีความจำเป็นต้องกู้เงินก็เป็นได้
“แบงก์ชาตินำเงินไปซื้อดอลล่าร์ และนำเงินมาให้ภาครัฐกู้ ในขณะที่ภาครัฐนำเงินมาลงทุนสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ไฟฟ้าปรมาณู ซึ่งถ้าประเทศเจริญ ประชาชนมีรายได้ การค้าการขายดี ภาครัฐก็เก็บภาษีได้มากขึ้น หากภาครัฐใช้เงิน 4 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ดี ประเทศก็ขาดทุนก็ต้องกู้อีกและจ่ายดอกเบี้ยอีก คนที่จนแล้วก็ยังจนลงไปอีกช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนก็จะมีเพิ่มขึ้น”
**ยันสิ้นปีไร้แววเศรษฐกิจฟื้น**
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 เหมือนถูกปล้น แต่สำหรับครั้งนี้เหมือนไฟไหม้ เสมือนลงเหวแล้วตีลังกา ซึ่งความเป็นจริงประเทศไทยไม่น่าจะได้รับผลกระทบมาก เพราะเป็นประเทศที่อยู่ไกลจากอเมริกา และเป็นประเทศที่มีศักยภาพใน 3 อุตสาหกรรม ได้แก่ ท่องเที่ยว การเกษตร และอุตสาหกรรม เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
อย่างไรก็ตามในสิ้นปีนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าเศรษฐกิจฟื้น และมองว่าสิ้นปีนี้จีดีพีอาจติดลบมากกว่าที่ภาครัฐประเมินไว้ก็ได้
สำหรับปีนี้นโยบายการทำตลาด ไม่เน้นทำอะไรอยู่นิ่งๆ หรือว่าเป็นหลักการบริหารที่เน้นแบบช้าๆ การลงทุนจะต้องมีความรอบคอบ และเพิ่มความถี่การทำโปรโมชัน โดยผลประกอบการสิ้นปีนี้คาดว่าติดลบ 5% และหากเศรษฐกิจไม่ดีมีแนวโน้มติดลบ 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เครือสหพัฒน์มีอัตราการเติบโต 2-3% โดยในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ รายได้ติดลบ 7% กำไรลดลง โดยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย เสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ ยอดขายลดลง ขณะที่กลุ่มอาหารยังมียอดขายที่ดี ส่วนสัดส่วนรายได้ส่งออกลดลงจาก 30% เป็น 20% และในประเทศ 70% เพิ่มเป็น 80%
***เพิ่มวันจัดงาน“สหกรุ๊ปแฟร์”
นายบุญเกียรติ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา จากที่ตัวเลขจีดีพีของประเทศ ของช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ลดลง 7.1% มองว่า เป็นเรื่องธรรมดา ในภาวะแบบนี้ ซึ่งเมื่อเทียบกับต่างประเทศแล้ว ของไทยยังถือว่าดีกว่า
ส่วนไตรมาสสองนี้ มองว่าทรงตัว เข้าสู่ไตรมาสสามเชื่อว่าจะเริ่มฟื้นตัว และพอเข้าสู่ไตรมาสสี่ ก็จะฟื้นตัวมากขึ้นไปอีก ทั้งนี้เนื่องจากมองว่ากำลังซื้อจากช่วงต้นปีที่ทรงๆไปบ้าง แต่พอเข้าสู่ไตรมาสสอง เริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้น ดูจากยอดขายทางบริษัทดีขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ มองว่า ค่าจีดีพีจะดีขึ้นจากลดลง 7.1 % เป็น 5% แทน
อย่างไรก็ตามสินค้าในเครือ ยังพบว่ามียอดขายที่น่าพอใจ บางตัวอาจจะลดลงบ้าง บางตัวอาจจะเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อดูในภาพรวมแล้ว ยังไปได้ดีอยู่ แม้สถานการณ์เศรษฐกิจจะไม่ค่อยดี แต่ก็มองเป็นเรื่องปกติ เป็นสัจจธรรมที่ต้องเจอ ไม่นานก็จะผ่านไปได้
ทั้งนี้มองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจปีนี้ ไม่น่าหนักใจมากนัก ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบกับปีก่อน จะค่อนข้างหนักกว่ามาก โดยในแง่ของการทำงาน ก็ยังดำเนินต่อไป ขยันมากขึ้น ใช้สมองมากขึ้น การลงทุนต่างๆยังคงดำเนินไปตามแผน สิ่งไหนควรลงทุนก็ทำไป อันไหนไม่ควรเสี่ยงก็เลี่ยงไป โดยทั้งปีมองว่า รายได้จะใกล้เคียงกับปีก่อน ก็ถือว่าดีแล้วในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้
ล่าสุดเครือสหพัฒน์ จัดงาน “สหกรุ๊ป แฟร์” ครั้งที่ 13 ระหว่างวันที่ 25-28 มิ.ย. นี้ เพื่อร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจ นำสินค้าของกินของใช้มาจำหน่าย กว่า 1,000 รายการ โดยเพิ่มจำนวนบูธจากปีที่ผ่านมา 800 บูธ เป็น 850 บูธ และเพิ่มการจัดงานเป็น 4 วัน จากเดิมที่จัด 3 วัน ภายใต้คอนเซ็ปต์งานในปีนี้คือ Love to All โดยไฮไลท์ภายในงาน จะมีการเปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่หลายตัว เช่น กลุ่มอาหาร กับ i-Healti GAC เครื่องดื่มที่ส่วนผสมของ GAC หรือฟักข้าว, ฟาร์มเฮ้าส์ เปิดตัว ผลิตภัณฑ์ใหม่ ส่วนกลุ่มเสื้อผ้าสิ่งทอและรองเท้า จะมีการเปิดตัวชุดชั้นใน วาโก้ สำหรับผุ้สูงอายุ, แพน เปิดตัวรองเท้านาโน
ขณะที่กลุ่มเครื่องสำอาง-เอสแอนด์เจ เปิดตัว LCL Super Moisturizing Cream นวัตกรรมครีมบำรุงผิวที่ใช้เทคโนโลยี Liquid Crystal Lamellar Technology , BSC เปิดตัว BSC Precious Love และARTY Professional เปิดตัวคอลเลกชั่นใหม่ นอกจากนี้ทางเครือสหพัฒน์ยังจะมีการเปิดตัวธุรกิจขายตรง พร้อมทั้งเปิดรับสมัครตัวแทนจำหน่าย ภายในงานนี้